คบชู้สู่ชาย?
ไม่ว่าเสวี่ยเชียนเหิน อวี้เป๋าเป่าหรือพวกหนานกงหั่ว กู้อวิ๋นถิงล้วนยากจะเชื่ออยู่บ้าง นี่ไม่ได้หมายความว่าหลิงหงจินทรยศสำนักอย่างนั้นหรือ
นี่คือสิ่งที่ไม่อาจให้อภัยและยอมทนเด็ดขาด!
ทันใดนั้นสายตาที่พวกเขามองหลิงหงจินล้วนเปลี่ยนไป
ทว่าหลิงหงจินไม่อาจโต้แย้ง การถูกสายตากระทู้ถามขนาดนี้จับจ้อง ในใจประหนึ่งถูกมีดเฉือน โกรธจนเบื้องหน้าดำมืดจวนเป็นลม
“เรื่องนี้เป็นความจริงรึ” เสวี่ยเชียนเหินยังไม่เชื่อ
ถึงอย่างไรหลิงหงจินก็เป็นศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทั้งก้าวสู่มกุฎมรรคา มีอนาคตส่องสว่างหาใดเปรียบ จะเลือกสมคบศัตรูได้อย่างไร
“ไม่เห็นรึ เทพมารหลินนี่ถูกหลิงหงจินพามา ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้ว่าฐานที่มั่นของพวกเราอยู่เมืองแสงอุดรได้อย่างไร” จางเจิงเอ่ยเย็นชา
“สิ่งที่เห็นไม่แน่ว่าจะจริง บางทีอาจมีเงื่อนงำอื่น ข้าไม่มีทางเชื่อจุดนี้” อวี้เป๋าเป่าขมวดคิ้ว นางรู้สึกว่าเรื่องนี้เหนือคาดหมายและไร้สาระเกินไป ไม่อาจยอมรับ
“ทำไม หรือพวกเจ้าคิดว่าข้าหลอกพวกเจ้ารึ” จางเจิงไม่สบอารมณ์ สีหน้าเปลี่ยนเป็นเย็นชา
เห็นพวกเขาโต้แย้งพัลวัน หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ สื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิง แค้นชำระแค้น เจ้าหลอกข้า ข้าก็หลอกพวกเขา ถือว่าเราสะสางบัญชีกันแล้ว แต่ตอนนี้เห็นทีต้องลำบากเจ้าหน่อยแล้ว’
สะสางบัญชี?
ไม่มีทาง!
หลิงหงจินโกรธจนแทบกระอักเลือด ไหนเลยจะยอมรับคำพูดหลินสวิน
ทว่ายังไม่รอนางตอบสนอง ก็ถูกหลินสวินเก็บเข้าไปในเจดีย์สมบัติไร้อักษร กักขังเอาไว้
“ทุกท่านทะเลาะกันเสร็จหรือยัง” หลินสวินเอ่ยถาม
ขณะกล่าวพลังเขาพลันเปลี่ยนแปลง เงาร่างที่เดิมราบเรียบพ้นโลกีย์มีความหยิ่งผยองยากปกปิดเพิ่มขึ้นมา
พรึ่บ!
พริบตานั้นทุกสายตาต่างมองมายังหลินสวิน สีหน้าประหลาดใจและไม่เข้าใจ ล้วนคิดไม่ถึงว่าถูกปิดล้อมรอบด้านแล้ว หลินสวินยังสงบใจเหมือนคนไม่เป็นอะไรเช่นนี้
“ไม่รู้จักดีชั่ว!” มีคนปรามาส
“หลินสวิน ความตายมาเยือนแล้วยังกล้าเอ็ดตะโร คิดว่าพวกข้าไม่กล้าสังหารเจ้าจริงรึ” หนานกงหั่วกล่าวดุดันที่สุด เขาแค้นหลินสวินเข้ากระดูก
“หลินสวิน ปล่อยศิษย์น้องหลิงมาพูดให้ชัดเจนก่อน หากเจ้าให้ความร่วมมือ พวกข้าอาจเมตตาเปิดหนทางรอดชีวิตแก่เจ้า” อวี้เป๋าเป่าสูดหายใจลึกเอ่ยปาก นางไม่มีทางเชื่อว่าหลิงหงจินจะทรยศสำนัก
“ศิษย์พี่ฉู่เป่ยไห่กล่าวไม่ผิด เจ้าแข็งแกร่งมาก กระทำการอหังการไม่หวั่นเกรง มีท่วงท่าแห่งเทพมาร แต่วันนี้เกรงว่าเจ้าคงไม่อาจหนีพ้น สิ่งเดียวที่ข้าไม่เข้าใจคือใครให้ความกล้าแก่เจ้า ถึงได้กล้าวิ่งมาหาที่ตายยังเมืองแสงอุดรตัวคนเดียว”
เสวี่ยเชียนเหินเองก็เอ่ยปาก สายตาปรากฏแววเยียบเย็น
จากที่เขาสังเกต หลินสวินสงบนิ่งและเยือกเย็นมาตั้งแต่ต้นจนจบ นี่ทำให้ในใจเขาลอบรู้สึกพิกลอยู่บ้าง
“หาที่ตาย?” หลินสวินยิ้มเยาะ “ในสายตาพวกเจ้าข้าเป็นได้แค่ฝ่ายถูกกระทำต้องวิ่งหนี ไม่อาจโต้กลับหรือ”
“โต้กลับ?”
ได้ยินเหตุผลนี้ ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ไม่น้อยต่างหยุดอึ้งค้าง มองหลินสวินด้วยท่าทีมองดูคนปัญญาอ่อน
“เจ้าหมอนี่บ้าหรือโง่กันแน่”
“ตัวคนเดียวจะโจมตีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเรากลับรึ ต่อให้เป็นอริยะก็ล้วนไม่กล้าคุยโวเช่นนี้กระมัง”
“หลงระเริงไม่รู้ประสา!”
เสียงเยาะหยันเหยียดหยามดังระงมไม่ขาดหู
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ในบริเวณที่ห่างออกไปของเมืองแสงอุดร ผู้ฝึกปราณมากมายเกาะกลุ่มรวมกันเฝ้าดูทุกอย่างที่นี่ไกลๆ
แต่เมื่อได้ยิน ‘การโต้กลับ’ ที่หลินสวินเอ่ยถึงก็แทบจะคิดว่าฟังผิดไป
ในลานกำลังคนของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เยอะมาก ไม่ขาดศิษย์แกนหลักแห่งยุคอย่างพวกเสวี่ยเชียนเหิน เปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณทั่วไปใครจะกล้ากล่าววาจาโอ้อวดเช่นนี้
ยิ่งไปกว่านั้น แคว้นกู่ชางนี่คือเขตอิทธิพลของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์!
เทพมารหลินตัวคนเดียวถูกปิดล้อมเป็นชั้นๆ ยังกล้าคุยโวไม่กระดาก นี่ทำให้พวกเขาต่างสงสัย ว่าเจ้าหมอนี่รู้ตัวว่าใกล้ตายจึงเริ่มกล่าวเพ้อเจ้อใช่หรือไม่
ทว่าจนถึงตอนนี้สีหน้าหลินสวินเรียบเฉย ไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ แม้เพียงเสี้ยว
“ได้ยินว่ายามสังหารอสูรเฒ่าแรดดำ เจ้าเคยใช้กระบวนผนึกมรรคราชันกระบวนหนึ่ง หรือเจ้ายังคิดใช้ลูกไม้เดิม”
เสวี่ยเชียนเหินเห็นหลินสวินนิ่งเฉยเช่นนี้ ในใจรู้สึกไม่สงบยิ่งกว่าเดิม จึงกล่าวเสียงเย็นชาทำการหยั่งเชิงในบัดดล
ทันทีที่กล่าววาจานี้ออกไป ผู้คนไม่น้อยตรงนั้นในใจพลันสั่นสะท้าน พวกเขาล้วนเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน
แต่ประโยคต่อมาของเสวี่ยเชียนเหิน กลับทำให้พวกเขาเป่าปากโล่งอก
“บอกเจ้าก่อนเลยว่าอุบายเช่นนี้ไม่มีผลกับพวกเรา ในเมื่อพวกเรามาจับตายเจ้า แน่นอนว่าต้องเตรียมการพร้อมสรรพ ไม่มีทางปล่อยโอกาสให้เจ้าอีก” เสวี่ยเชียนเหินแววตาดุจดาบคม กวาดมองหลินสวินอย่างเยียบเย็น
กลับเห็นหลินสวินกล่าว “จัดการพวกเจ้า ไม่ต้องใช้กระบวนผนึกมรรคราชันเลย ข้าคนเดียวก็พอแล้ว”
สาเหตุที่เขาไม่ลงมือทันทีก็เพราะกำลังลอบสังเกตการณ์ กระทั่งแน่ใจว่าในเมืองแสงอุดรนี้ไร้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันคอยควบคุม ในใจเขาจึงนิ่งสงบยิ่งกว่าเดิม
“เจ้าคนเดียวรึ”
เสวี่ยเชียนเหินเลิกคิ้ว ในใจเขาแม้รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ยินวาจานี้ของหลินสวินก็ยังอดรู้สึกขบขันไม่ได้ เจ้าเด็กนี่ช่างกำเริบเสิบสานถึงขั้นรนหาที่ตาย
“ถูกต้อง” หลินสวินพยักหน้า
เสวี่ยเชียนเหินเพิ่งหมายจะพูดอะไร จางเจิงก็ตะโกนตัดบทอย่างไร้ความอดทน “ยักแย่ยักยัน เชื่องช้าเอื่อยเฉื่อยอยู่นั่น ก็แค่เหยื่อรนหาที่ตายคนหนึ่ง ควรค่าต่อการระวังเช่นนี้หรือ”
ขณะกล่าวเขาก้าวออกมา เงาร่างแผ่กลิ่นอายเฉียบคมดุดันหาใดเปรียบ พุ่งทะยานเหนือท้องนภา พลานุภาพพลันเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งถึงขีดสุด
“หลินสวิน ก่อนหน้านี้ข้าเคยบอกว่าจะส่งเจ้าไปตายด้วยตัวเอง ตอนนี้จงไสหัวมารับความตายซะ!” เขาตวาดลั่น เสียงสะเทือนเก้าสวรรค์ก้องสะท้อนไปไกล
“จางเจิงนี่สมกับเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎสมญา ‘กระบี่เขย่าขวัญ’ แค่มาดอาจหาญนี้ก็เรียกได้ว่าไร้เทียมทาน” ห่างออกไป ผู้คนมากมายดวงตาเป็นประกาย
“ได้ยินว่าในศิษย์แกนหลักแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ พลังต่อสู้ของจางเจิงอยู่ในห้าอันดับแรก!”
“เทพมารหลินนั่นแม้แข็งแกร่ง แต่เจอจางเจิงที่ก้าวสู่ขอบเขตมกุฎเหมือนเขาเกรงว่าคงถูกกำราบ ถึงอย่างไรคนหนึ่งมีถิ่นเกิดจากบ้านนอก อีกคนหนึ่งเป็นผู้สืบทอดสำนักโบราณ แม้ปราณเท่าเทียมกันแต่รากฐานกลับต่างกันมาก”
เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นไม่หยุด
เสวี่ยเชียนเหินถูกจางเจิงกล่าวตัดบทอีกครั้ง ในใจขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไม่น้อย
เขาไม่พูดมากอีก จางเจิงออกจู่โจมก็สามารถฉวยโอกาสนี้หยั่งเชิงความสามารถของหลินสวินสักหน่อย!
ผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์คนอื่นๆ กอดอกยิ้มเย็น พวกเขาไม่คิดว่าเทพมารหลินจะสามารถเป็นคู่ต่อกรของจางเจิงได้
บางที หลายวันนี้เขาอาจหนีรอดการตามล่าครั้งแล้วครั้งเล่า
บางที แม้ยอดบุคคลในหมู่ราชันกึ่งระดับเหวินสิงโจวจะเคยเสียเปรียบในมือเขามาก่อน
แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่สำคัญ เพราะผู้ออกศึกคือจางเจิง ยอดผู้กล้าที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎซึ่งปลิดชีพเด็ดขาดผู้หนึ่ง!
ภายใต้กระบี่เขาเคยดื่มเลือดราชันกึ่งระดับมาเช่นกัน ซ้ำไม่ใช่แค่เพียงคนเดียว!
ทว่าน่าเสียดาย พวกเขาต่างไม่รู้ว่าเมื่อคืนวานลี่จั้นหนานที่มีความคิดเหมือนพวกเขา เพียงสามหมัดก็ถูกหลินสวินสังหารแล้ว…
นี่ก็คือเหตุผลที่หลินสวินมาเมืองแสงอุดรเปิดฉากโต้กลับทันที ก็เพื่อฉวยโอกาสโจมตียามพวกเขายังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนอง!
“มัวอึ้งอะไร หากกลัวตายตอนนี้ก็คุกเข่าซะ ข้ารับรองว่าจะไม่ลงมือกับเจ้าอีก เลี่ยงไม่ให้กระบี่ข้าแปดเปื้อน!” จางเจิงตวาดลั่น ผมยาวแผ่สยาย กลิ่นอายดุดันยิ่งกว่าเดิม
“ระวังอย่าพูดเกินจริงไป”
หลินสวินโฉบทะยานเหนืออากาศเข้ามา มองจางเจิงจากไกลๆ กลิ่นอายราบเรียบไร้ความพิเศษ ดั่งเมฆเคลื่อนคล้อยบนขอบฟ้า
“เป็นบุคคลที่ก้าวสู่มกุฎเหมือนกัน ข้าย่อมไม่มีทางดูถูกเจ้า แต่ว่ากันตามจริง ในสายตาข้าเจ้าก็แค่คนที่ตายไปแล้ว”
จางเจิงแววตาดุจกระบี่ กลิ่นอายพิฆาต ทั่วร่างอบอวลเจตกระบี่ดุดัน
ชิ้ง!
กระบี่โลหิตแคบยาวแต่เจิดจ้าเล่มหนึ่งปรากฏในมือเขา ปลายกระบี่โค้งงอแปลกประหลาดประหนึ่งเคียว ให้ความรู้สึกเหี้ยมโหดอำมหิต
ยอดศาสตรามรรคราชัน… เลือดวิจิตร!
ทันทีที่กระบี่นี้ปรากฏจางเจิงพลันแฝงท่วงท่าพญามารถือกระบี่ แผ่ไอสังหารกระหายเลือดพาให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก
“เช่นนั้นก็ให้ข้าเห็นความสามารถของผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์อย่างพวกเจ้าหน่อยเถอะ หวังว่าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย
ฟุ่บ!
จางเจิงออกเคลื่อนไหว
ชั่วพริบตาประดุจมีจางเจิงนับร้อยพันคนบุกโจมตีพร้อมกัน เจตกระบี่สีเลือดหลากสายดั่งลมคลั่งฝนกระหน่ำ ซัดสาดจากทุกทิศทาง ปกคลุมฟ้าดินแถบนี้จนมิด
ที่นี่ราวกลายเป็นนรกกระบี่ในชั่วพริบตา เจตกระบี่แต่ละสายต่างแดงก่ำดั่งโลหิต ก่อเกิดกลิ่นอายเฉียบคมหาใดเปรียบ เฉือนแหวกอากาศอย่างง่ายดาย ตัดกระชากเป็นรอยแยกนับไม่ถ้วน
คนไม่น้อยพลันหยุดหายใจ วิชากระบี่มารโลหิตสลาตัน!
นี่เป็นถึงวิชามรรคชั้นเลิศของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ทันทีที่จางเจิงใช้วิชานี้ออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ได้ดูถูกคู่ต่อสู้เช่นกัน
‘เจ้าหมอนี่นับว่ารอบคอบ’ เสวี่ยเชียนเหินและอวี้เป๋าเป่าต่างแอบผงกศีรษะ เป็นขอบเขตมกุฎเหมือนกัน แน่นอนว่าพวกเขามองออกเพียงปราดเดียวว่าจางเจิงหาได้เก็บงำไม่
“นี่คือวิชากระบี่ของเจ้าหรือ ก็ไม่เห็นจะเท่าไหร่”
หลินสวินสีหน้าเป็นปกติ ไม่หลบไม่หลีก ยื่นมือไปกดลงกลางอากาศ ทะเลเพลิงเจิดจ้าผืนหนึ่งแผ่ขยายออกมา ดวงดาวมากมายปะทุแผดเผาอยู่ภายใน
ชั่วพริบตาเจตกระบี่สีเลือดที่มืดฟ้ามัวดินถูกปกคลุม จากนั้นจึงมอดไหม้หลอมละลายหายลับไป
‘สมเป็นเทพมารหลิน แข็งแกร่งจริงๆ’ พวกเสวี่ยเชียนเหินในดวงตาฉายแววประหลาด หากเทพมารหลินถูกกำราบทันทีคงผิดปกติ
ทว่าการที่หลินสวินสามารถสลายกระบวนท่าสังหารเช่นนี้อย่างง่ายดาย ก็ทำให้พวกเสวี่ยเชียนเหินรู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง
‘มิน่าเขาถึงกล้ามาโต้กลับอย่างแข็งกร้าวเช่นนี้ ที่แท้ก็ครองพลังต่อสู้ชวนประหวั่นระดับนี้นี่เอง เพียงแต่สุดท้ายเขาก็ตัวคนเดียว ไหนเลยวันนี้จะรอดพ้นไปได้’ กู้อวิ๋นถิงสีหน้าซับซ้อน ทั้งสะท้านเรื่องพลังต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลินสวิน ทั้งกังวลสถานการณ์ของเขา
และไกลออกไปก็มีผู้ฝึกปราณมากมายกำลังชมการต่อสู้เช่นกัน
นี่เป็นการปะทะระหว่างบุคคลขอบเขตมกุฎสองคน ไม่ว่าใครแพ้ใครชนะก็เพียงพอจะสร้างความอึกทึกครั้งใหญ่ในแคว้นกู่ชางแล้ว
“ธารโลหิตประหัตมาร!”
ท่ามกลางเสียงตะโกนสะเทือนสวรรค์ อานุภาพของจางเจิงดุจมารกระบี่ เลือดวิจิตรในมือพัดโหมเจตกระบี่ไพศาลยาวพันจั้ง แหวกสังหารมาเยือน
กระบี่นี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร ธารโลหิตปราณกระบี่สายหนึ่งควบทะยาน แผ่กว้างทรงพลัง
ท่ามกลางความเลือนราง ทุกคนล้วนนึกว่าเป็นธารโลหิตอเวจีปรากฏบนโลกมนุษย์ ทำให้ฟ้าดินเกิดสีแดงประหลาดน่าสะพรึง
คนไม่น้อยพลันสั่นไปทั้งตัว สัมผัสถึงไอชั่วร้ายปะทะใบหน้า ชวนขนพองสยองเกล้า
………………