Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1015 หอเกลาจิต

ตอนที่ 1015 หอเกลาจิต

ตอนที่ 1015 หอเกลาจิต
ทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก เป็นเกียรติยศสูงสุดครั้งหนึ่ง

ขอเพียงเป็นผู้ที่สามารถนำชื่อไปอยู่บนนั้นได้ ล้วนสามารถดังขึ้นทันตาเห็น กลายเป็นที่รู้จักคุ้นเคยของผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน

สิ่งนี้มีผลดีเหลือคณนาต่อการเพิ่มพูนชื่อเสียงของตัวเอง

บางครั้งชื่อเสียงก็หมายถึงการยอมรับและอำนาจอย่างหนึ่ง อีกทั้งตั้งแต่โบราณก็มีคำกล่าวว่า ผู้ที่ยิ่งมีชื่อเสียงมาก โชควาสนาที่จะได้รับก็ยิ่งมาก

แต่หลินสวินเพียงแค่ชำเลืองมองพู่กันที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าตนนั้นแล้วหันกายจากไป เดินออกไปตามอำเภอใจและสุขุมเยือกเย็น

ที่เขามาครั้งนี้เพื่อชิงชัยกับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อน ใช้สิ่งนี้สันนิษฐานความแตกต่างระหว่างตนกับอวิ๋นชิ่งไป๋ในสิบปีให้หลัง

สำหรับการทิ้งชื่อไว้บนแผ่นหยก ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินต้องการ

……

กระบวนผนึกของชั้นที่เก้าดับไป ทำให้โลกภายนอกเงียบเชียบไปครู่หนึ่ง บรรยากาศชวนตื่นตะลึงไร้รูปเข้าปกคลุมทั้งที่นั้นพร้อมกัน

ผู้ฝึกปราณทุกคนต่างเบิกตากว้าง มองนิ่งไปยังชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่นั้น สีหน้าเหม่อลอย จิตวิญญาณสั่นสะท้าน

เซียวชิงเหอก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน ในดวงตามีรังสีประหลาดน่าหวั่นกลัวหาใดเทียบสายแล้วสายเล่าผุดขึ้นมา ภายในใจของเขาก็มีคลื่นกระหน่ำซัดสาดขึ้นเช่นกัน

ครึ่งเค่อ!

ฝ่าผ่านชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แล้ว!

แต่เมื่อสิบปีก่อน สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ที่นี่ก่อนปิดด่านก็คือหนึ่งเค่อ!

นี่ก็หมายความว่า ก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เพียงทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น อีกทั้งในแง่เวลาผ่านด่านทั้งหมดยังลดลงไปครึ่งหนึ่ง!

ผลลัพธ์เช่นนี้น่าตื่นตะลึงเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย มีแรงสั่นสะเทือนที่สามารถพลิกคว่ำการรับรู้ได้

ในนครหยกขาว กระทั่งทั้งดินแดนรกร้างโบราณ อวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเหมือนตำนานไร้พ่ายผู้หนึ่ง เขาเมื่อสิบปีก่อนสามารถใช้คำว่า ‘โดดเด่นเหนือหล้า เบ่งบานเหนือใคร’ มาบรรยายได้แล้ว!

หลายปีนี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้กล้าหมายจะทำลายตำนานที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นกับมือ แต่ไม่มีใครเป็นข้อยกเว้นสักคน ต่างคว้าน้ำเหลวกันหมด

อย่างเซียวชิงเหอก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ล้มเหลว

และผู้แข็งแกร่งที่ยอดเยี่ยมและสะดุดตายิ่งกว่าเขาก็มี แต่ก็เพลี่ยงพล้ำในชั้นที่เก้าของหอลองกระบี่แห่งนี้เช่นกัน!

ทว่าในวันนี้เอง สถิตินี้ถูกทำลายลงแล้ว!

เพียงคิดก็รู้ว่า เมื่อข่าวนี้กระจายออกไปจะต้องทำให้ทั้งนครหยกขาวตกอยู่ในความอึกทึกครึกโครม และทำให้ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าหันมองเพราะสิ่งนี้

เขาเป็นใคร

นี่เป็นสิ่งที่พวกเซียวชิงเหอสนใจที่สุด

แม้ที่ทำลายจะเป็นสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่นี่ก็สามารถพิสูจน์ได้ว่าเด็กหนุ่มคนนั้นแข็งแกร่งและโดดเด่นเพียงไหน!

เงาร่างของหลินสวินเดินออกมาจากหอลองกระบี่ท่ามกลางความเงียบงัน

สายตาที่มองมาทุกคู่ล้วนเจือไปด้วยความยำเกรงจากภายในใจอย่างไม่อาจเก็บกลั้นได้ นี่เป็นท่าทีที่ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงผู้หนึ่งสมควรได้ดื่มด่ำ

รวมถึงเซียวชิงเหอ สีหน้าก็แปรเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึม

เขามาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา เป็นคนในขอบเขตมกุฎที่โดดเด่นสะดุดตาผู้หนึ่งเช่นกัน แต่เขารู้ดีว่าเมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาจากหอลองกระบี่ผู้นั้น ตนก็ด้อยกว่าขั้นหนึ่งอยู่ดี จะไม่ยอมรับก็ไม่ได้

“ขอถามว่าคุณชายมีนามว่ากระไร” เมื่อหลินสวินเดินออกมา ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งก็ทำใจกล้า อดไม่ได้ต้องเข้าไปถามอย่างนอบน้อม

“คุณชาย ไม่ทราบว่าอาจารย์ของท่านมาจากสำนักหรือพรรคใด”

ทันใดนั้นเสียงอื้ออึงต่างๆ ดังขึ้น พวกเขาต่างสงสัยยิ่ง เด็กหนุ่มที่เหมือนอัจฉริยะฟ้าประทานเช่นนี้ สามารถดึงดูดความสนใจของพวกเขาได้

แต่หลินสวินไม่พูดสักคำ ไม่นานก็หายไป ไม่ใช่เพราะหยิ่งทระนงเกินไป เพิกเฉยทุกคน แต่เพราะมีเรื่องที่ต้องการปกปิด

ที่นี่คือนครหยกขาว เป็นอาณาเขตของสำนักกระบี่เทียมฟ้า เขาก็ไม่อาจเปิดเผยฐานะของตัวเองได้ในตอนนี้

“เจ้าหมอนี่เป็นใครกันแน่”

ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นกลับไม่มีใครกล้าไม่พอใจหรือบ่นออกมา หยิ่งทระนงแล้วอย่างไร ไม่เห็นผู้ใดในสายตาแล้วอย่างไร

คนเขามีพลังเช่นนี้!

ถ้าหากเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีชื่อไม่สมตัวผู้หนึ่งกล้าแสดงกิริยาเช่นนี้ เกรงว่าต้องถูกทับถมด้วยคำต่อว่าต่อขานแน่

“เขาทั้งฝ่าผ่านด่านได้สำเร็จและทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วย บนแผ่นหยกฝ่าด่านของหอลองกระบี่จะต้องทิ้งชื่อเขาไว้แน่!”

“ผู้อาวุโส ขอให้พวกข้าดูสักครั้งหนึ่งเถอะ” ผู้ฝึกปราณมากมายต่างมองไปที่ชายชราผู้เฝ้าหอลองกระบี่แห่งนี้ สีหน้าเจือไปด้วยความวิงวอน

เซียวชิงเหอก็เอ่ยปากขอร้องด้วย

ชายชรารู้ว่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังได้ ไม่ช้าก็เร็วก็ต้องถูกรู้เข้า ดังนั้นแม้เขาลังเลเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็พยักหน้ารับปาก

แต่ผลลัพธ์กลับทำให้ทุกคนนิ่งอึ้ง

บนอันดับหนึ่งของแผ่นหยก ว่างเปล่าไร้ชื่อ!

“ข้าต้องสืบให้ได้ว่าเจ้าเป็นใคร!” เซียวชิงเหอถูกกระตุ้นความสงสัยอย่างแรงกล้า หันกายแล้วจากไปอย่างรีบร้อน

……

‘ที่ข้ากับเจ้าต่างกันมีเพียงเวลา!’

บนถนนอันพลุกพล่าน หลินสวินมุ่งหน้า ในใจกำลังครุ่นคิด

สิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋ซึ่งมีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติโลดแล่นในดินแดนรกร้างโบราณ ปลิดชีพราชันกึ่งระดับไปร้อยกว่าคน ตั้งแต่ตอนนั้นก็มีฉายา ‘อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน’

และในตอนนั้น เขาสร้างสถิติตระการตาที่สุดตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันในหอลองกระบี่ กระทั่งก่อนวันนี้ยังไม่เคยถูกทำลาย

วันนี้ในอีกสิบปี หลินสวินทำลายสถิตินี้ ทั้งยังใช้เวลาผ่านด่านน้อยกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ถึงครึ่งหนึ่ง

นี่พิสูจน์ว่าหลินสวินในวันนี้มีพลังต่อสู้เหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนแล้วอย่างไม่ต้องสงสัย!

ที่ควรรู้คือ ตอนสร้างสถิตินี้เมื่อสิบปีก่อน อวิ๋นชิ่งไป๋อายุสามสิบปีแล้ว

แต่วันนี้ในสิบปีต่อมา ตอนทำลายสถิตินี้ หลินสวินอายุยี่สิบปี

ไม่ว่าจะเป็นด้านอายุหรือพลังต่อสู้ หลินสวินล้วนเหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น!

‘ปิดด่านสิบปี เบื้องหลังพลังที่สะสมมาเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดการณ์ได้มากที่สุด…’ หลินสวินไม่มีความคิดดูเบา

สถิติที่ทำลายไปก่อนหน้านี้ สุดท้ายก็เป็นสิ่งที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อน

แต่ตอนนี้ผ่านมาราวสิบปีแล้ว พลังต่อสู้ของอวิ๋นชิ่งไป๋จะแข็งแกร่งขึ้นถึงขั้นไหนอีก

หลินสวินยังจำได้ อวิ๋นชิ่งไป๋ได้พูดไว้ก่อนปิดด่านว่า ‘วิถีกระบี่แห่งข้า ยามเสาะหาหนทางหลุดพ้นถึงขีดสุดจะกำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์ แต่ตอนนี้โอกาสยังไม่เหมาะ!’

วาจาเช่นนี้มีความกล้าที่สามารถทำให้ผู้คนในโลกหน้าเปลี่ยนสีได้ ถ้าไม่ใช่ผู้อยู่ในขอบเขตมกุฎ ย่อมไม่กล้าพูดจาลำพองเช่นนี้

หลายคนในโลกต่างกำลังคาดเดาว่าอวิ๋นชิ่งไป๋จะหลอมมรรคกลายเป็นราชันได้ตอนไหนกันแน่

แต่หลินสวินกลับพอจะเดาออกว่า อวิ๋นชิ่งไป๋ปิดด่านสิบปีมานี้ ย่อมไม่ต้องการบรรลุระดับราชัน แต่กำลังสั่งสมพลัง พัฒนาตัวเอง เตรียมพร้อมอย่างสมบูรณ์เพื่อรอโอกาสครั้งหนึ่ง

โอกาสอะไร

ง่ายมาก เมื่อมหายุคมาเยือน โอกาสได้กลายเป็น ‘มกุฎราชัน’ จึงจะอุบัติขึ้น!

มีเพียงทำเช่นนี้ถึงทำให้อวิ๋นชิ่งไป๋ทำความปรารถนา ‘กำราบนิรันดร์กาล อยู่เหนือปวงสวรรค์’ ให้เป็นจริง!

‘ระดับกระบวนแปรจุติขั้นสมบูรณ์ ต่อให้สะสมและหล่อหลอมอีกสิบปี สุดท้ายในแง่พลังปราณก็พัฒนาไม่ได้อีก’

‘เขาต้องการชิงชัยในมหายุค ต้องเคี่ยวกรำพลังยุทธ์ พลังจิตวิญญาณ พลังสภาวะจิต และพลังมหามรรค… จนถึงขั้นสมบูรณ์ มีเพียงทำเช่นนี้ถึงจะสามารถกำราบศัตรูในระดับเดียวกันบนโลก ณ ปัจจุบันต่อไปได้เหมือนแต่ก่อน!’

แม้หลินสวินไม่เคยพบอวิ๋นชิ่งไป๋มาก่อน แต่กลับสามารถอนุมานได้ว่าหลายปีนี้เขาทำอะไรอยู่

เพราะกลับไปพิจารณาถึงรากฐาน เขากับอวิ๋นชิ่งไป๋มีจุดที่เหมือนกันมากมาย กำลังไล่ตามมรรคาที่ไม่เคยมีมาก่อนเหมือนกัน กำลังเสาะหาพลังเหนือปุถุชนถึงที่สุด สามารถช่วงชิงความเป็นหนึ่งเหนือมหามรรคกับเหล่าอริยบุคคลทั้งอดีตและปัจจุบัน!

สิ่งเดียวที่ไม่เหมือนกันก็อาจจะอยู่ที่ บนมรรคานี้ อวิ๋นชิ่งไป๋ล่วงหน้าเขาไปหลายปี!

เวลา ก็คือเบื้องหลัง!

สามารถทำให้ทะเลกว้างเปลี่ยนเป็นผืนดิน ทำให้หญิงงามแปรเปลี่ยนเป็นโครงกระดูก และสามารถทำให้บุคคลแห่งยุคในปัจจุบันอย่างอวิ๋นชิ่งไป๋แปรสภาพอย่างน่าตกตะลึง

‘เวลา!’ หลินสวินลอบกำหมัดแน่น

ครึ่งชั่วยามผ่านไป

เงาร่างของหลินสวินปรากฏขึ้นหน้าหอหินเก่าแก่เต็มไปด้วยรอยขีดข่วนหลังหนึ่ง

หอนี้สูงร้อยฉื่อ มีนามว่า ‘เกลาจิต’

เช่นเดียวกับหอลองกระบี่ หอเกลาจิตก็ถือเป็นหนึ่งใน ‘สิบสองหอห้าเมือง’ ภายในมีแดนลับเกลาจิตด่านหนึ่ง

แดนลับเกลาจิตจะสร้างการเคี่ยวกรำและทดสอบที่ต่างกันไปตามผู้ฝึกปราณที่มีพลังปราณต่างๆ กัน

พูดง่ายๆ ก็คือ หอนี้ สิ่งที่ขัดเกลาก็คือสภาวะจิตแห่งการฝึกปราณ

ไม่เหมือนกับหอลองกระบี่ หอเกลาจิตถือเป็นสถานที่ฝึกจิต ไม่ใช่ใครก็มีคุณสมบัติเข้าไปได้ง่ายๆ

แน่นอนว่าคุณสมบัติในการเข้าสู่หอเกลาจิตก็ไม่ได้ธรรมดา ผู้ที่ไม่ใช่ผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้า ต้องจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้น

แกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้น สิ่งนี้สำหรับผู้ฝึกปราณแล้วย่อมไม่ใช่สิ่งเล็กน้อย!

ดังนั้นแม้หอเกลาจิตนี้จะมีชื่อเสียงยิ่ง แต่ในยามปกติกลับมีผู้ฝึกปราณมารับการทดสอบเกลาจิตน้อยนัก

แต่หลินสวินไม่สนใจ เขามาที่นี่เพราะต้องการดูเสียหน่อย ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนมีพลังสภาวะจิตที่แกร่งกล้าปานใด

ตอนนี้หน้าหอเกลาจิตก็เงียบเหงาเช่นกัน มีเพียงผู้ฝึกปราณประปราย แต่ล้วนเป็นนักเดินทาง กำลังทัศนาความสง่างามของหอเกลาจิต

ซ่า!

สะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันชิ้นก็แปรสภาพเป็นกระแสน้ำหลาก ไหลเข้าไปในปากของรูปปั้นสัตว์เทพผีซิวที่อยู่หน้าหอเกลาจิตตัวหนึ่ง

ครู่ต่อมาประตูหินที่ปิดสนิทของหอเกลาจิตก็เปิดออกช้าๆ ท่ามกลางคลื่นประหลาดระลอกหนึ่ง

หลินสวินไม่ร่ำไร เงาร่างวูบไหวก่อนหายเข้าไปภายใน

“เจ้าหมอนี่ถึงกับเข้าไปในหอเกลาจิต!”

เงาร่างของเซียวชิงเหอปรากฏขึ้น จ้องมองหลินสวินที่หายลับไปในหอเกลาจิต ในใจอดไม่อยู่คาดเดาขึ้นมาอย่างใจกล้า ‘หรือว่า เขายังคิดจะไปทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋เคยสร้างไว้เมื่อสิบปีก่อนในด้านพลังสภาวะจิตอีก’

เมื่อคิดถึงตรงนี้เขากลับรู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่มีสาเหตุ ร้ายกาจ! และไม่รู้ด้วยว่าเขาจะทำสำเร็จหรือไม่…

การทดสอบในแดนลับเกลาจิต เพ่งเป้าที่พลังสภาวะจิต

อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นอาศัยสภาวะจิตที่แข็งกล้าของตน ทะลวงด่านทดสอบสิบแปดชั้นของหอเกลาจิต สร้างสถิติขึ้นมาใหม่ เหนือล้ำยิ่งกว่าอดีตและปัจจุบันเช่นกัน!

สภาวะจิตยิ่งแข็งแกร่ง ยิ่งแน่วแน่กับการเสาะหามหามรรค ก็ยิ่งไม่ถูกของนอกกายยั่วยวนได้ง่าย ดูเหมือนพลังคลุมเครือและลี้ลับอย่างหนึ่ง แต่ถ้าคิดจะครอบครองความสำเร็จยิ่งใหญ่บนวิถีแห่งมหามรรค สภาวะจิตมั่นคงหรือไม่นั้นมีประโยชน์สำคัญยิ่ง

เซียวชิงเหอมาจากตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา ในสำนักที่เขาอยู่มีจดหมายอริยะมากมาย ในนั้นที่พูดถึงมากที่สุดก็คือ สภาวะจิตเป็นตัวกำหนดความสำเร็จสูงต่ำในอริยมรรคอย่างยิ่ง!

“ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ขอเพียงมีผู้ที่ผ่านด่านแดนลับเกลาจิต จะเกิดเสียงระฆังมรรคขับขานจิต ยามผ่านการเคี่ยวกรำหกด่าน ระฆังมรรคขับขานจิตถึงจะดังขึ้นครั้งหนึ่ง ยามฝ่าได้สิบสองด่าน จะดังขึ้นสองครั้ง…”

“จากจุดนี้ ยิ่งระฆังมรรคขับขานจิตดังขึ้นมากครั้งเท่าไร ก็หมายถึงพลังสภาวะจิตยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น”

“เสียงระฆังนี้ไม่ธรรมดา หากได้ยินได้ฟังจะมีประโยชน์ในการ ‘ชำระล้างจิตมรรค ขัดเกลาจิตวิญญาณ!’”

ใกล้กันนักเดินทางคนหนึ่งกำลังอธิบายเรื่องหอเกลาจิตจนน้ำลายแตกฟอง ดึงดูดให้ผู้ฝึกปราณไม่น้อยมารับฟัง

“อัศจรรย์ปานนี้จริงหรือ” มีคนสงสัย

แกร๊ง!

ก็ในตอนนี้เอง เสียงระฆังราวระฆังกลองบอกโมงยามดังขึ้นครั้งหนึ่ง กระจายออกมาจากในหอเกลาจิต

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท