มีกลิ่นอายของความโบราณแผ่ซ่านออกมาจากม้วนหยก อย่างน้อยก็น่าจะมีอายุยาวนานนับหมื่นปี แต่เนื่องจากเสียหายไปส่วนหนึ่ง ข้อมูลที่อยู่ด้านในจึงไม่ครบถ้วน แต่หลัวซิวก็ยังได้ข้อมูลสำคัญมาจากด้านในเรื่องหนึ่ง
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณ บนม้วนหยกไม่ได้เอ่ยถึง เพียงแค่พูดถึงสิ่งมีชีวิตวิญญาณจำนวนมากในที่นี่ ผู้บันทึกม้วนหยกก็บังเอิญพบกับที่นี่เช่นกัน
โดยมีจุดศูนย์กลางของหุบเขาจิตนภาเป็นศูนย์กลาง มีค่ายกลขนาดใหญ่ตั้งอยู่ที่นั่น วิญญาณทุกดวงถูกค่ายกลขนาดใหญ่สะกด ไม่สามารถออกไปจากดินแดนแห่งนี้ วิญญาณธรรมดาเฝ้าอยู่นอกหุบเขา วิญญาณเทพจิตอยู่ในหุบเขา
ในส่วนที่ลึกที่สุดของหุบเขาจิตนภา เป็นจุดศูนย์กลางของค่ายกล มีการดูดซับพลังวิญญาณที่บริสุทธิ์มาอย่างยาวนาน ตอนนี้กำลังก่อตัวขึ้นเป็นช่องจิต!
ตอนที่เจ้าของม้วนหยกพบสถานที่แห่งนี้ ช่องจิตที่อยู่ตรงจุดศูนย์กลางของค่ายกลยังไม่ก่อตัวขึ้นเป็นรูปร่าง ดังนั้นเขาจึงบันทึกม้วนหยกม้วนนี้ หวังว่าหลังจากที่ช่องจิตก่อตัวขึ้นสำเร็จ ค่อยกลับมาเอามัน
“ช่องจิต?”
หลัวซิวอ่านถึงตรงนี้ บนใบหน้าปรากฏให้เห็นอารมณ์ของความตกใจ เขาเคยได้ยินจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด มีเพียงผู้แข็งแกร่งนิรันดร์ที่ก้าวข้ามระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ เทพจิตจะมีการเปลี่ยนรูปร่างเป็นช่องจิตต่อไป
“นี่มันเป็นไปไม่ได้! ผู้แข็งแกร่งนิรันดร์หลอมรวมช่องจิตนั่นเป็นเพราะได้รับการยอมรับจากผังกฎดั้งเดิม แค่สามารถดูดซับพลังวิญญาณที่หลอมรวม แต่ไม่สามารถควบแน่นผังกฎดั้งเดิม เป็นไปไม่ได้ที่จะหลอมรวมออกมาเป็นช่องจิต!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำปฏิเสธเนื้อหาที่อยู่ในม้วนหยกทันที
เนื่องจากม้วนหยกได้รับความเสียหาย มีข้อมูลมากมายไม่สมบูรณ์ หลัวซิวจึงทำได้แต่อ่านเนื้อหาบางส่วนมาสรุป
“ไม่ว่าจะเป็นช่องจิตที่แท้จริงหรือเปล่า พลังวิญญาณบริสุทธิ์ที่ถูกหลอมรวมมานานนับหมื่นปี ต้องเป็นโชคลาภที่ดีมากอย่างแน่นอน” ดวงตาของหลัวซิวลุกวาวเป็นประกายทันที
“เจ้าหนูบ้าไปแล้วเหรอ ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีช่องจิตจริงหรือไม่ ถึงมี ในหุบเขาจิตนภายังมีวิญญาณระดับเทพจิตมากมายอาศัยอยู่ เจ้าเข้าไปก็เท่ากับรนหาที่ตาย!” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดเตือน
“ข้ามีปีกทิพย์ไร้มลทิน ถ้าข้าสู้วิญญาณระดับจักรพรรดิยุทธ์ไม่ได้ อย่างน้อยก็สามารถหนีอย่างรวดเร็ว” หลัวซิวกัดฟันพูด
“แล้วถ้าหากด้านในมีวิญญาณระดับมกุฏยุทธ์ล่ะ? และไม่แน่ในส่วนลึกของหุบเขาจิตนภาอาจจะมีวิญญาณระดับมหายุทธ์ หรือแม้กระทั่งวิญญาณระดับเจ้ายุทธ์จักร!”
“ท่านพูดถูกแล้ว แต่มีโชคลาภแบบนี้วางอยู่ตรงหน้า ถ้าหากข้าไม่ไขว่คว้า ไม่เท่ากับว่าพลาดโอกาสนี้ไปแล้วเหรอ?” แววตาของหลัวซิวหวั่นไหว
เขารู้ดีว่าหลังจากที่ก้าวเข้าหุบเขาจิตนภา ชีวิตของเขาจะตกอยู่ในความอันตราย แต่โชคลาภเช่นนี้ มันมาพร้อมกับความอันตรายเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว โชคลาภยิ่งมาก ความอันตรายก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
“เจ้ารอจนกระทั่งผลการฝึกตนของเจ้าสูงกว่านี้แล้วค่อยมาที่นี่ใหม่” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำไม่เห็นด้วยกับความคิดที่บ้าคลั่งของหลัวซิว
หลัวซิวกลับส่ายหัวอย่างกะทันหัน “เรื่องในอนาคตมันไม่แน่นอน ในเมื่อเจ้าของม้วนหยกเคยพบที่นี่ ลู่เจิ้งเซี๋ยงก็ตามเบาะแสนี้มาจนเจอที่นี่ มันยากที่จะรับประกันว่าไม่มีคนอื่นจะมาพบที่นี่อีก ถึงเวลาโชคลาภที่อยู่ด้านใน อาจจะไม่ใช่ของข้าอีกแล้ว”
หลัวซิวเป็นคนที่ค่อนข้างมีหลักการ เมื่อไหร่ที่ตัดสินใจเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เขาไม่มีทางเปลี่ยนแปลงท่าทีของตนเองอย่างง่ายดาย
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดเกลี้ยกล่อม จึงทำได้แต่ถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้าหนูเจ้านี่มันบ้าไปแล้ว แม้แต่ข้าก็ต้องนับถือในความกล้าของเจ้า”
หลังจากที่ตัดสินใจเรียบร้อย หลัวซิวสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พูดกับเหยียนเยว่เอ๋อร์ “ข้าตั้งใจจะเข้าไปดูในหุบเขาจิตนภาสักหน่อย เจ้ารอข้าอยู่ที่ข้างนอก”
“อะไรนะ? นี่มันอันตรายเกินไปแล้ว” ปฏิกิริยาของเหยียนเยว่เอ๋อร์แทบจะเหมือนกับจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำทุกประการ
หลัวซิวรู้ดี นางและจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำล้วนแต่เป็นห่วงความปลอดภัยของตนเอง
“ไม่ต้องเป็นห่วง ข้ารู้จักแยกแยะ ข้ามีกฎเบญจธาตุและปีกทิพย์ไร้มลทิน ถึงเจอกับภัยอันตราย การหนีไม่ใช่ปัญหาสำหรับข้า” หลัวซิวพูดปลอบใจนาง
“ข้าจะไปกับเจ้า” เหยียนเยว่เอ๋อร์พูดอย่างไม่ลังเล
“ไม่ได้ หากพวกเราไปด้วยกัน มันจะทำให้จิตใจของข้าวอกแวก ถึงตอนนั้นมันจะยิ่งอันตรายมากขึ้น” หลัวซิวส่ายหัว
เหยียนเยว่เอ๋อร์รู้จักนิสัยของหลัวซิว รู้ดีว่าเมื่อไหร่ที่เขาตัดสินใจ ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน
“ได้ ข้าจะรอเจ้าอยู่ที่ข้างนอก แต่ถ้าผ่านไปนานแล้วเจ้ายังไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปตามหาเจ้า”
ท้ายที่สุด เหยียนเยว่เอ๋อร์ก็ยินยอมให้หลัวซิวเข้าไปในหุบเขาจิตนภา และนางก็รู้ด้วยว่าหลัวซิวมีไพ่ตายมากมาย ดูจากภายนอกผลการฝึกตนไม่ได้สูงมาก แต่ความแข็งแกร่งของเขากลับเหนือกว่าตนเองเล็กน้อย
ก่อนไป หลัวซิวสร้างค่ายกลขึ้นด้านนอกหุบเขาสองชั้น ชั้นแรกเป็นค่ายกลสังหาร ชั้นที่สองเป็นค่ายกลคุ้มกัน เหยียนเยว่เอ๋อร์และไป๋หลงเซวียนที่ได้รับบาดเจ็บอยู่ในค่ายกล
หลัวซิวมอบธงค่ายกลที่ใช้ควบคุมค่ายกลให้เหยียนเยว่เอ๋อร์ ถ้าหากไป๋หลิงเซวียนได้สติแล้วมีจิตใจคิดคด ถึงเวลานั่นสามารถใช้ค่ายกลสยบอีกฝ่ายได้อย่างง่ายดาย
หลังจากทำเรื่องพวกนี้เรียบร้อย หลัวซิวไม่ลังเลอีก ร่างกายสั่นไหว ไปปรากฏตัวขึ้นในหุบเขาจิตนภา หายลับตาไปในท่ามกลางหมอกควัน
การเคลื่อนไหวของเขาเร็วมาก ในระหว่างบิน ใต้เท้าของเขามีเงาของมังกรเขียวปรากฏขึ้น ด้วยวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ร่างกายของเขาพุ่งผ่านหมอกในหุบเขาไปอย่างรวดเร็ว
ตราสำนึกขยายออกเป็นวงกว้างคอยเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวโดยรอบอยู่ตลอดเวลา เมื่อไหร่ที่พบกลิ่นอายการเคลื่อนไหวของวิญญาณ เขาจะใช้ปีกทิพย์ไร้มลทินทันที อาศัยความเร็วในการเคลื่อนไหวเพียงแค่พริบตาเดียว ถึงจะเป็นการโจมตีของวิญญาณ ก็มีโอกาสสูงมากที่จะหลบพ้น
ในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป หลัวซิวพบกับการโจมตีของวิญญาณเทพจิตสี่ข้าง เขาสามารถหลบการโจมตีสามในสี่ครั้งได้สำเร็จ อาศัยความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทิน สามารถสะบัดหลุดจากการไล่ล่าของวิญญาณเทพจิตอย่างรวดเร็ว
ในมุมหนึ่งที่ไม่รู้จักของหุบเขา หลัวซิวพลิกมือเรียกยาฟื้นพลังจิตออกมาจากแหวนเก็บของ จมูกและดวงตาของเขามีร่องรอยของเลือดสีแดงไหลออกมา ดูแล้วค่อนข้างน่าตกใจ
นี่เป็นเพราะเมื่อกี้เขาโดนวิญญาณเทพจิตดวงหนึ่งลอบโจมตี ทำให้วิญญาณหยั่งรู้ได้รับความเสียหาย
วิญญาณเทพจิตที่โจมตีเขาเป็นวิญญาณที่มีรูปร่างมังกรเจียวเหมือนกับก่อนหน้านี้ที่ไล่ล่าเขา ลู่เจิ้งเซี๋ยงและคนอื่นออกจากหุบเขาจิตนภา เป็นระดับจักรพรรดิยุทธ์ขั้นแปด!
แต่ท้ายที่สุดหลัวซิวอาศัยความเร็วของปีกทิพย์ไร้มลทินหนีพ้นจากการไล่ล่าของวิญญาณรูปร่างมังกรเจียว มาจนถึงสถานที่ค่อนข้างปลอดภัยแห่งหนึ่ง
“เจ้าหนูหลัว ระวังเท้าของเจ้า”
หลังจากกลืนยาฟื้นพลังจิต ในขณะที่หลัวซิวกำลังจะก้าวเท้าจากไป เสียงของจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำดังขึ้นในวิญญาณหยั่งรู้อย่างกะทันหัน
“ทำไมเหรอ?” ร่างกายของเขาหยุดชะงัก ถามด้วยความสงสัย
“ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยสังเกตเห็นค่ายกลของสถานที่แห่งนี้เลย จากที่เจ้าอ่านคำเตือนจากม้วนหยกเมื่อกี้ ข้าสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของค่ายกลบางอย่าง ตำแหน่งที่เจ้าอยู่ มันเป็นหนึ่งในทิศทางของค่ายกล เมื่อไหร่ที่เจ้าเดินสุ่มสี่สุ่มห้า เจ้าจะไปสัมผัสโดนล่องลอยของค่ายกล และพวกวิญญาณที่อยู่ในค่ายกลก็จะสามารถสัมผัสได้ถึงการมีอยู่ของเจ้า หลังจากนั้นจะหันมาจู่โจมใส่เจ้า” จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูด
“นี่คือค่ายกลอะไร?” หลัวซิวถามด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด
จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำเป็นปรมาจารย์ค่ายกลในยุคบรรพกาล แม้กระทั่งเขาก็ยังไม่สามารถสัมผัสได้ถึงค่ายกลของที่นี้ในตอนแรก สามารถพิสูจน์ให้เห็นว่าค่ายกลที่ตั้งอยู่ในหุบเขาจิตนภาไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
“ไม่รู้ควรจะบอกว่าเจ้าเป็นคนดวงดีหรือดวงกุดกันแน่ ตอนนี้มีข่าวอยู่สองเรื่อง เรื่องหนึ่งคือข่าวดี ส่วนอีกเรื่องเป็นข่าวร้าย เจ้าอยากฟังอันไหนก่อน?” ยากที่จะได้เห็นจักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำพูดติดตลกเช่นนี้
“ขอฟังข่าวร้ายก่อนก็แล้วกัน ข้าเป็นคนชอบวางแผนกับเรื่องที่เลวร้ายที่สุดก่อน” หลัวซิวยิ้มแล้วพูด
แม้ตัวจะอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอันตราย เขายังคงมองโลกในแง่ดีเสมอ
“ข่าวร้ายก็คือค่ายกลของที่นี่อยู่เหนือระดับของข้า เป็นค่ายกลที่ก้าวข้ามระดับเทพ!”