ตอนที่ 1019 แสงเขียวแจ้งสัจจะ
ใช้ชื่อคนมาตั้งชื่อแคว้นหนึ่งหรือ
เซียวชิงเหอประหลาดใจ เขายังไม่เคยใคร่ครวญปัญหาข้อนี้มาก่อน
หลินสวินถาม “เจ้าไม่รู้สึกว่าแปลกหรือ เหตุใดแดนชัยบูรพามีแคว้นมากมายขนาดนั้น แต่มีเพียงแคว้นนี้ที่ใช้ชื่อว่านครหยกขาว”
เซียวชิงเหอตกอยู่ในภวังค์ความคิด เอ่ยว่า “พอเจ้าพูดเช่นนี้ ข้าก็นึกขึ้นได้จริงๆ ว่ามีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับนครหยกขาวอยู่เรื่องหนึ่ง”
หลินสวินตื่นเต้นขึ้นมา “เรื่องเล่าขานอะไร”
“เล่าลือกันว่าในยุคบรรพกาล ในนครหยกขาวแห่งนี้เคยมีร่องรอยเซียนปรากฏขึ้น สร้างสิบสองหอห้าเมืองแห่งนี้ด้วยมือเดียว”
“ส่วนจะจริงหรือเท็จใครก็ไม่อาจรับรอง แต่ที่มาของ ‘สิบสองหอ’ นี้ กระทั่งตอนนี้ยังเป็นปริศนาอยู่”
“ตอนนั้นบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้าก็เข้าถึงมรรคได้ที่นี่ ก่อนจะบุกเบิกตั้งสำนัก สิบสองหอก็มีอยู่แล้ว อีกอย่างทั้งโลกก็รู้ว่าสมัยบรรพจารย์กระบี่เทียมฟ้ามีพลังปราณระดับกระบวนแปรจุติ ก็เคยเข้าสิบสองหอไปฝึกวิชา”
พูดถึงตรงนี้เซียวชิงเหอก็อนุมานอย่างบ้าบิ่นว่า “เจ้าว่า บุคคลลึกลับที่มีนามว่าไป๋อวี้จิงผู้นี้จะเป็นเซียนผู้นั้นหรือไม่”
หลินสวินเลิกคิ้ว “เป็นไปไม่ได้”
เขาเพิ่งเดินออกมาจากหอหลอมจิตวิญญาณ ได้เห็นสถิติที่ไป๋อวี้จิงผู้นั้นสร้างขึ้นในนั้น หากเขาเป็นเซียนที่อยู่ในเรื่องเล่าขานผู้นั้นจริง จะไปฝ่าด่านที่หอหลอมจิตวิญญาณได้อย่างไร
“เช่นนั้นจะเป็นผู้สืบทอดของเซียนผู้นั้นหรือไม่” เซียวชิงเหอกล่าว
หลินสวินใจสั่นสะท้าน นึกถึงกลอนที่เผยแพร่ตกทอดมานานแล้วบทนั้น…
เซียนโอบศีรษะข้า ผูกเกศาประทานอมตะ!
“เหตุใดจู่ๆ เจ้าถึงสนใจเรื่องนี้ขึ้นมาล่ะ หรือในหอหลอมจิตวิญญาณนั้น เจ้าได้เห็นร่องรอยที่ไป๋อวี้จิงผู้นี้หลงเหลือไว้”
ต้องพูดว่าการตอบสนองของเซียวชิงเหอเฉียบแหลมถึงที่สุด ชั่วพริบตาก็เดาอะไรได้ ดวงตาฉายแววแปลกใจ
“เปล่า ข้าแค่สงสัย” หลินสวินส่ายหน้า
หลินสวินไม่อยากพูดมากไปกว่านี้ เซียวชิงเหอกลับลอบจำไว้ในใจ
เขาคิดว่าภายหน้ายามกลับสำนักจะไปพลิกตำราโบราณบางเล่ม เพื่อค้นเสียหน่อยว่า ‘ไป๋อวี้จิง’ นี้มีปริศนาอะไรกันแน่!
“รอเดี๋ยว เจ้าคงไม่ได้คิดจะไป ‘หอแจ้งสัจจะ’ ในเมืองแสงเขียวอีกใช่ไหม” ทันใดนั้นเซียวชิงเหอสังเกตเห็นหลินสวินเดินออกไปนอกเมืองนภาม่วง ก็พลันเอ่ยเรียก
“มีอะไรไม่เหมาะหรือ” หลินสวินถามกลับ
“เจ้าไม่กังวลสักนิดเลยหรือ”
เซียวชิงเหอสีหน้าพิกล “ก่อนหน้านี้เจ้าไปทำลายสถิติสูงสุดของหอลองกระบี่ หอเกลาจิตและหอหลอมจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าใช้เวลาไม่นานก็สามารถสั่นสะเทือนทั้งนครหยกขาวได้”
“ถึงตอนนั้นสำนักกระบี่เทียมฟ้าจะต้องตกตะลึง หากทำให้ผู้ฝึกกระบี่ที่สังหารเด็ดขาดเหล่านี้พบว่าเจ้าไปฝ่าด่านที่หอแจ้งสัจจะอีก จะต้องชักนำความยุ่งยากใหญ่โตมาแน่”
“เช่นนั้นก็ชิงไปฝ่าด่านที่หอแจ้งสัจจะก่อนพวกเขาก็ได้แล้ว” หลินสวินเอ่ยปาก
ยามกล่าววาจา ตัวเขาก็โฉบออกไปจากเมืองนภาม่วง ตะบึงออกไปไกลลิบอย่างรวดเร็วยิ่ง
‘ไอ้บ้า!’ เซียวชิงเหอสูดลมหายใจหนาวเยือก เขาเพิ่งเคยพบเจอคนเหิมเกริมไม่กลัวเกรงเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่หวั่นกลัวอะไรสักนิดเดียว
แม้คิดเช่นนี้อยู่ แต่การเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ช้า โผบินในอากาศตามประชิดไปด้วย
……
นครหยกขาว สิบสองหอห้าเมือง ไม่ได้มีเพียงห้าเมืองจริงๆ
มันมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ครอบคลุมเมืองใหญ่น้อยนับพันและภูผาธาราอีกนับไม่ถ้วน
และภายในนั้น มีเพียง ‘ห้าเมือง’ ที่ดำรงอยู่ตั้งแต่อดีตเรื่อยมาถึงปัจจุบัน เต็มไปด้วยสีสันแห่งตำนาน ดังนั้นจึงเป็นสถานที่คุ้นเคยในใต้หล้า
ส่วน ‘สิบสองหอ’ คือ ‘โบราณสถานลือชื่อ’ ที่ตั้งแยกอยู่ในห้าเมืองแห่งนี้ เพราะต่างมีความอัศจรรย์จึงมีชื่อเลื่องลือในโลก
อย่างเมืองนภาม่วง ก็มีโบราณสถานลี้ลับสามแห่งคือ หอลองกระบี่ หอเกลาจิต และหอหลอมจิตวิญญาณ
ส่วนเมืองแสงเขียวที่หลินสวินจะไปในตอนนี้ก็เป็นหนึ่งในห้าเมืองเช่นกัน ภายในนั้นมีสองหอกระจายตัวอยู่
ได้แก่ ‘หอแจ้งสัจจะ’ และ ‘หอสำแดงมรรค’
ที่แรก สิ่งที่เคี่ยวกรำและทดสอบคือการหยั่งรู้
อีกที่ เป็นสถานที่ทดสอบการสำแดงพลังมหามรรค
เวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป
เมืองแสงเขียว หอแจ้งสัจจะ
หลังจากหลินสวินมาถึงก็ไม่ลังเลแต่อย่างใด จ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงสามพันก้อนแล้วเข้าไปภายในหอ
เซียวชิงเหอก็มาแล้ว เงยหน้ามองไปยังหอแจ้งสัจจะ จิตใจราวโผบิน
การหยั่งรู้เกี่ยวโยงกับความแข็งแกร่งของจิตวิญญาณ ทั้งเกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และแก่นกระดูกในตัว เป็นปริศนาลึกลับที่สุด
ตอนอวิ๋นชิ่งไป๋อายุสิบเก้าปี ในด้วยการหยั่งรู้ เขาเป็นอันดับหนึ่งในหมู่คนรุ่นเยาว์สำนักกระบี่เทียมฟ้า เคยหยั่งถึงและเข้าใจวิชามรรคชั้นเลิศที่เกี่ยวข้องกับมรรคกระบี่วิชาหนึ่งภายในสิบวัน ชื่อเสียงสะท้านใต้หล้า
และก็เป็นตอนนั้นที่ร่องรอยของอวิ๋นชิ่งไปหายไปอย่างพิศวง เงียบเชียบไปสิบปีเต็ม
แต่ตัวเขาในสิบปีต่อมากลับปลุกพลังพรสสวรรค์อีกอย่างหนึ่งให้ตื่นขึ้น เรียกได้ว่าน่าครั่นคร้ามไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้เขาสร้างสถิติที่ตระการตาที่สุดในอดีตจวบจนปัจจุบันครั้งหนึ่งภายในหอแจ้งสัจจะ!
ตอนนั้นหอแจ้งสัจจะเคยเกิดปรากฏการณ์ประหลาดกลางฟ้าดินเพราะสถิตินี้ มีดอกไม้ทองมหามรรคที่ปรากฏเป็นรูปกระบี่สิบแปดดอกตกลงมา แสงมงคลราวสายฝนส่องสว่างเวิ้งฟ้าเมืองแสงเขียว!
“หอแจ้งสัจจะมี ‘ป้ายวิญญาณกระจ่างรู้’ สามสิบหกแผ่น ทุกแผ่นมีความลับที่กำกวมและเป็นปริศนา มีเพียงผู้ที่มีการหยั่งรู้โดดเด่นถึงสามารถมองทะลุความลับแต่ละอันได้”
“ตอนนั้นอวิ๋นชิ่งไป๋มองทะลุปริศนาของแผ่นป้ายวิญญาณสามสิบหกแผ่นภายในสามสิบหกลมหายใจ ครั้งเดียวก็มีชื่อสะเทือนใต้หล้า ก็ไม่รู้ว่าเจ้าคนวิปริตผู้นี้จะประชันสูงต่ำกับอวิ๋นชิ่งไป๋ได้หรือไม่…”
เซียวชิงเหอพึมพำ
แต่ทันใดนั้นเขาก็เหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ ดวงตาเบิกกว้างจนกลมโต
หลินสวินเดินออกมาจากหอแจ้งสัจจะแล้ว!
นี่เพิ่งผ่านไปนานเท่าไรกัน
อย่างมากก็ไม่เกินสิบลมหายใจ!
เซียวชิงเหอฝืนเก็บกลั้นความรู้สึกปั่นป่วนไว้ในใจ แล้วเอ่ยถามว่า “ทำไมถึงออกมาก่อนล่ะ หรือล้มเหลวเสียแล้ว”
หลินสวินอึ้งไป “ล้มเหลวอะไร”
ไม่ได้ล้มเหลวหรอกหรือ
เซียวชิงเหอใจสะท้าน พูดเสียงหลงว่า “พูดแบบนี้ เจ้าได้…”
หลินสวินพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “เพียงแค่ทดสอบและขัดเกลาการหยั่งรู้เท่านั้น หอนี้น่าเบื่อผิดขาด ก็ไม่รู้ว่าหอสำแดงมรรคจะเป็นเช่นไร”
เขาพูดพลางก้าวย่างเดินไปยังที่ไกลออกไป
เซียวชิงเหอมุมปากกระตุก ในใจไม่สงบอย่างยิ่ง น่าเบื่อ? ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน หอแจ้งสัจจะแห่งนี้สร้างความลำบากให้ผู้เก่งกล้ารุ่นเยาว์ไม่รู้เท่าไร ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเจ็บปวดใจเพราะหอนี้
ใครกล้าใช้คำว่าน่าเบื่อมาออกความเห็นกัน
“ให้ตายสิ เจ้าคนวิปริตผู้นี้เป็นใครกันแน่”
“ไม่ใช่สิ! ฝ่าด่านหอแจ้งสัจจะในเวลาอันสั้นเช่นนี้ พูดตามหลักแล้วก็สามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นได้แล้ว เหตุใดกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดล่ะ”
เซียวชิงเหอนิ่วหน้า สังเกตได้ว่าออกจะไม่ชอบมาพากล
มองเห็นหลินสวินเดินไกลออกไปเรื่อยๆ เขาไม่อาจคิดมากความ รีบร้อนตามไป
…….
ในตอนที่ทั้งสองคนจากไปไม่นาน ถูซิวก็มาถึงหน้าหอแจ้งสัจจะเหมือนที่ผ่านมา
ถูซิวรูปร่างดุจฝักดาบ ตรงแน่วราวกระบี่ สายตาเย็นเยียบและแหลมคม
เขาเป็นหนึ่งในศิษย์สืบทอดแท้จริงยุคปัจจุบันของสำนักกระบี่เทียมฟ้า พลังต่อสู้แกร่งกล้าถึงที่สุด สามารถอยู่ในสามอันดับแรกของศิษย์สืบทอดแท้จริง
อีกทั้งในฐานะที่ถูซิวเป็นศิษย์สืบทอดแห่งสำนักกระบี่เทียมฟ้า ความหนักแน่นของรากฐานพลัง ถึงกับสามารถบดขยี้ศิษย์แกนหลักสำนักโบราณแห่งอื่นบางคนได้!
แต่มีเพียงถูซิวเองที่รู้ดีว่า เทียบกับศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่เทียมฟ้าคนอื่นๆ แล้ว เขาไม่ได้ได้เปรียบในด้านการหยั่งรู้
ดังนั้นช่วงหนึ่งปีมานี้เขาจึงมาขัดเกลาการหยั่งรู้ของตัวเองที่หอแจ้งสัจจะเป็นประจำ เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องของตน ทำเช่นนี้ก็จะมีความเป็นไปได้สูงที่จะได้เป็นศิษย์แกนหลักผู้หนึ่ง
หืม?
เพียงแต่ยามถูซิวกำลังเตรียมตัวจะเข้าไปในหอแจ้งสัจจะเหมือนที่ผ่านมา กลับหยุดเดินกะทันหัน เงยหน้าขึ้นไปทันที
……