บทที่ 428 จัดการความแค้นส่วนตัว
แต่สวีจิงเหนียนรู้จักหลัวซิวดี เขาไม่มีทางทำอะไรอย่างล่องลอยแน่นอน เมื่อเขากล้ากล่าวออกมาเช่นนี้แล้ว นั่นจะต้องเป็นความจริงแท้
ตำหนักจื่อที่เป็นหนึ่งในสามของกลุ่มอำนาจที่ปกครองประเทศเทียนเทียนหวู ได้ถูกทำลายไปแล้ว นี่จะต้องเป็นเรื่องที่สะเทือนไปทั้งแผ่นดินอย่างไม่ต้องสงสัย
“ผมสามารถทำลายตำหนักจื่อได้ ย่อมมีหนทางที่จะทำลายสำนักเสวียนหยางได้” ประโยคที่หลัวซิวกล่าวนั้นมีความหมายลึกซึ้ง
“อีกอย่างถ้าให้กล่าวตามตรง อาจารย์ของผมเป็นถึงปรมาจารย์นักกลั่นยา มีฐานะสูงส่งกว่ามกุฎยุทธ์เล็กๆ เป็นไหนๆ หากสำนักเสวียนหยางยังคงตั้งหน้าตั้งตาเป็นศัตรูกับผม นั่นก็เท่ากับรนหาที่ตายให้กับตัวเอง” หลัวซิวกล่าวอย่างพลุ่งพล่าน
เมื่อกล่าวออกมาถึงขั้นนี้แล้ว มีหรือที่สวีจิงเหนียนจะไม่เข้าใจในคำพูดของหลัวซิว นี่เป็นการบีบให้เขาต้องตัดสินใจ
ถ้าไม่ยืนอยู่ข้างหลัวซิวแล้วช่วยเขาดูแลความปลอดภัยของครอบครัวเขาในประเทศเทียนหวู ก็ต้องตัดขนาดความสัมพันธ์กับเขาไปเลย ตั้งแต่นี้เป็นต้นไปถือว่าเป็นคนแปลกหน้า แค่นี้ก็ไม่ถือว่าตั้งตัวเป็นศัตรูกับสำนักเสวียนหยางแล้ว
“คุณชายหลัวซิวอย่าห่วงเลย ขอแค่ครอบครัวของผมไม่ถูกทำลายราบไปเสียก่อน สวีจิงเหนียนจะเป็นคนรับผิดชอบความปลอดภัยของครอบครัวคุณชายในเมืองเทียนหวูเอง” สุดท้ายเขาก็กัดฟันกล่าวออกไปในที่สุด
หลัวซิวหัวเราะร่าออกมา “ผู้อาวุโสสวี อีกไม่นาน ท่านก็จะรู้เองว่าการตัดสินใจของท่านในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว”
ในตอนนี้สำนักเสวียนหยางยังคงตกอยู่ในสภาวุ่นวาย ศึกใหญ่ระหว่างมกุฎยุทธ์คล้ายจะทำลายทุกอย่างจนราบ
คาดว่าสำนักเสวียนหยางในตอนนี้ก็น่าจะกำลังจัดระเบียบใหม่อยู่ พวกเขาเองก็ไม่รู้ว่าตอนนี้มกุฎยุทธ์ทั้งสองคนนั้นได้กลับไปแล้ว จึงยังไม่กล้าส่งคนออกมาตามสังหารหลัวซิว
เมื่อตกลงกับสวีจิงเหนียนเรียบร้อยแล้ว หลัวซิวก็ขับเรือรบออกเดินทางไปยังเมืองเทียนหวู
……
และเป็นอย่างที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ ผ่านไปไม่นานนักข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วทั้งแผ่นดิน
และเป็นเพราะในตอนที่หลัวซิวโจมตีตำหนักจื่อร่วมกับมกุฎยุทธ์ทั้งสองคนในตอนนั้น มีลูกศิษย์ของตำหนักจื่อบางคนที่อยู่ข้างนอกและยังไม่ได้กลับเข้ามา เมื่อพวกเขากลับมาแล้วก็พบว่าประตูด้านนอกของตำหนักจื่อถูกเผากลายเป็นเถ้าถ่านไปแล้วส ส่วนทางเข้าแดนปริศนาก็ถูกปิดตาย ต่อให้ใช้เครื่องรางก็ไม่มีทางเข้าไปได้
การบินกลับจากสำนักเสวียนหยางไปยังเมืองเทียนหวู ด้วยความเร็วของเรือรบสำริดเขียวแล้ว ก็ต้องใช้เวลาถึงสองสามวันกว่าจะไปถึง เมื่อผ่านเขตแดนทางท้องฟ้าของเมืองและสำนักต่างๆ คนที่พบเห็นต่างพากันตกใจอกสั่นขวัญแขวน
เพราะคนส่วนใหญ่จะรู้ดีว่าเรือรบสำริดเขียวนี้ของพื้นที่แห่งนี้เป็นของตำหนักจื่อเท่านั้น เมื่อข่าวการล่มสลายของตำหนักจื่อแพร่กระจายออกไป คนที่ขับเรือรบลำนี้ก็จะต้องเป็นคนที่ล้มตำหนักจื่ออย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อเรือรบเข้าไปถึงน่านฟ้าของเมืองเทียนหวู ภายในเมืองปรากฏพลังงานอันเข้มข้นกระจายไปทั่ว หลัวซิวสัมผัสได้ถึงพลังงานที่ค่อนข้างคุ้นเคย
หนึ่งในพลังงานที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นมาจากองค์กรนักล่ายุทธ์ที่อยู่ใจกลางเมือง ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าของพลังอันแข็งแกร่งผู้นี้จะต้องเป็นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง
เวลาผ่านไปเกือบสองปี หัวหน้าองค์กรนักล่ายุทธ์หลักของประเทศเทียนหวูได้บรรลุแดนขั้นสูงจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 ไปสู่แดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 5 เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้แล้วหลัวซิวยังสัมผัสได้ถึงพลังของเฒ่าประหลาดฉิว ตอนนั้นที่เฒ่าประหลาดฉิวอยู่ที่คีตโลกาถ้ำเทพสถิตยังเคยมอบฮู้ให้เขาเพื่อป้องกันตัวอีกด้วย
และยังมีอาจารย์หงหมิง หัวหน้าแก๊งนักหลอมอาวุธ รวมทั้งอาจารย์เหว้ย หัวหน้าแก๊งนักค่ายกล นอกจากนี้แล้วยังมรจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ เช่นอาจารย์ตระกูลโกวและอาจารย์ตระกูลหวาง
หลัวซิวบังคับเรือรบไปหยุดอยู่ด้านบนของตำหนักตระกูลสวี จากนั้นด้วยการจัดการของสวีจิงเหนียน เขาได้ให้พ่อแม่ พี่สาวและคนตระกูลหลิวเข้าไปพักอยู่ที่ตำหนักตระกูลสวีเป็นการชั่วคราว
เรือรบลอยอยู่กลางฟ้า หลัวซิวยืนอยู่บนพื้นเรือพลางจับมือเหยียนเยว่เอ๋อร์เอาไว้
ไม่นานนักก็มีลำแสงลอยเข้ามาใกล้ จากนั้นจักรพรรดิยุทธ์หยวนเฉิง อาจารย์หงหมิง เหว้ยห้าวหราน เฒ่าประหลาดฉิวและผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์อีกสองสามคนก็ได้ปรากฏตัวขึ้น
“ผู้อาวุโสทุกทท่าน สบายดีกันหรือไม่” หลัวซิวอมยิ้มเจื่อน
จักรพรรดิยุทธ์ทำสีหน้าแปลกประหลาดไป เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าเวลาเพียงสองปีราชายุทธ์ตัวเล็กๆ จะกลายเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีความสามารถเทียบเท่ากับตนเองแล้วในตอนนี้
ในฐานะผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ แน่นอนว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้เร็วกว่าคนธรรมดาอย่างแน่นอน เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับสำนักเสวียนหยางก็ไม่รอดพ้นหูของพวกเขา
การล่มสลายของตำหนักจื่อ ความวุ่นวายในสำนักเสวียนหยาง เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลยในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา
“ฮ่าๆ ตอนนี้ผู้น้อยหลัวเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโดดเด่นที่สุดแล้วในประเทศเทียนหวู ล้มตำหนักจื่อ ก่อกวนสำนักเสวียนหยาง ข้านับถือในตัวเจ้าจริงๆ” เฒ่าประหลาดฉิวกล่าวทักทายด้วยรอยยิ้ม
“ในตอนนั้นคนแก่อย่างข้าก็ได้ติดหนี้น้ำใจเจ้าเรื่องที่ได้รับการฝึกตน ตามหลักแล้วข้าควรช่วยเจ้าปกป้องเมืองชิงหยุน แต่เมื่อเจ้ามีอาจารย์มกุฎยุทธ์ลงมือช่วยเหลือ คนแก่อย่างข้าที่ฝึกตนเพียงต่ำต้อยคงไม่สามารถช่วยเจ้าต่อสู้ได้” เฒ่าประหลาดฉิวยังกล่าวอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นไปด้วย
“ผู้น้อยเข้าใจความลำบากของผู้อาวุโสดี” หลัวซิวยิ้มอย่างไม่ถือสา
เขามองออกว่าแม้ว่าจักรพรรดิยุทธ์พวกนี้จะได้รับความช่วยเหลือจากเขา แต่บุญคุณพวกนั้นคงไม่สามารถทำให้พวกเขายอมทุ่มชีวิตปกป้องครอบครัวของตนได้แน่ ส่วนเรื่องการต่อกรกับมกุฎยุทธ์โดยเฉพาะต้องเผชิญหน้ากับอาจารย์มกุฎยุทธ์ต่อให้พวกเขาทุ่มเทชีวิตก็คงไม่รอดอยู่ดี แถมยังไม่สามารถปกป้องครอบครัวของเขาได้อีก ดังนั้นถือเป็นเรื่องที่เสียมากกว่าได้
มนุษย์ทุกคนย่อมมีความเห็นแก่ตัว หลัวซิวมี คนอื่นๆ ก็มีเช่นกัน ดังนั้นเขาคงไม่ยกเอาเรื่องนี้มาลงมือหรือเอาคืนแต่อย่างใด
ส่วนจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ต่างทยอยกันเข้ามาประสานมือคารวะหลัวซิว เพราะพวกเขาตกปากรับคำไปแล้วว่าจะช่วยดูแลครอบครัวของเขา เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็นคนที่ไม่มีสัจจะ
“เย่ว์เอ๋อร์”
เสียงๆ หนึ่งดังลอยขึ้นมา สายตาของนายท่านตระกูลเหยียนตกมาอยู่ที่หลัวซิวกับเหยียนเยว่เอ๋อร์
นายท่านคนปัจจุบันของตระกูลเหยียน ก็พี่ชายแท้ๆ ของเธอ หลัวซิวเองก็รู้เรื่องนี้
เหยียนเยว่เอ๋อร์มองไปที่หลัวซิว
“ไปสิ” หลัวซิวพยักหน้ารับ
เหยียนเย่ว์เอ๋อร์พยักหน้า ก่อนจะลอยตัวลงจากเรือรบไปยังด้านล่าง
นายท่านตระกูลเหยียนก็ลงมาด้านล่างด้วยเช่นกัน พี่ชายน้องสาวที่เคยบาดหมางกันเพราะเรื่องเข้าใจผิด สุดท้ายก็กลับมาเข้าใจกัน
จากนั้นหลัวซิวจึงหันไปมองจักรพรรดิยุทธ์คนอื่นๆ ด้วยรอยยิ้ม “ผู้น้อยกลับมาครั้งนี้นอกจากจะมาระลึกถึงเรื่องราวเก่าๆ ด้วยกันแล้ว ยังต้องการมายุติความแค้นส่วนตัวกับคนบางคนด้วย”
ความแค้นส่วนตัว?
เมื่อหลัวซิวกล่าวประโยคนี้ออกมา สายตาของจักรพรรดิยุทธ์ทุกคนก็หันไปมองรวมกันอยู่ที่อาจารย์ตระกูลโกวและอาจารย์ตระกูลหวาง
ในบรรดาพวกเขา คนที่มีความแค้นส่วนตัวกับหลัวซิวก็มีเพียงพวกเขาสองตระกูลแล้ว
ตำหนักจื่อกับสำนักเสวียนหยางจับคนในครอบครัวของเขาไป เพื่อจะใช้เป็นตัวประกัน และบังเอิญว่าตระกูลโกวกับตระกูลหวางก็พึ่งพาสองกลุ่มอำนาจนี้อยู่พอดี ทำให้สามารถกระจายอำนาจของตนเองไปได้กว้างไกลภายในช่วงระยะเวลาสองปีนี้
“ผู้อาวุโสโกว ตามที่ผมรู้ หลังจากเกิดเรื่องราวในปีนั้นเป็นต้นมา ตระกูลโกวก็พึ่งบารมีของตำหนักจื่อและเป็นมือเป็นเท้าช่วยงานตำหนักจื่ออยู่ไม่น้อย คงได้ผลประโยชน์มากทีเดียวใช่หรือไม่” หลัวซิวมองไปยังอาจารย์ตระกูลโกวด้วยใบหน้าหลายอารมณ์
“หลัวซิว เจ้าหมายความว่ายังไง ตำหนักจื่อกับสำนักเสวียนหยางมีอำนาจมาก ตระกูลโกวก็จำเป็นต้องทำเพื่อความอยู่รอด พวกเราช่วยเหลือไปตามมารยาทก็เท่านั้น” อาจารย์ตระกูลโกวกล่าวด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด