Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1020 บุรุษใต้ต้นไม้เทพสีมรกต

ตอนที่ 1020 บุรุษใต้ต้นไม้เทพสีมรกต

ตอนที่ 1020 บุรุษใต้ต้นไม้เทพสีมรกต
เหนือเวิ้งฟ้าเป็นสีฟ้าสะอาด

แต่เมื่อถูซิวมองขึ้นไป ที่เวิ้งฟ้าว่างเปล่านั้นกลับมีหลุมดำหลุมหนึ่งผุดขึ้นมา

มันใหญ่ราวเหวลึกสุดหยั่ง!

หลุมดำลอยตัวอยู่เช่นนั้น แต่ในใจของถูซิวกลับเกิดความหนาวยะเยือกที่ไม่อาจกดกลั้นไว้ได้ รู้สึกกดดันแทบหายใจไม่ออก

นี่คืออะไรกัน

ถูซิวตาเบิกกว้าง พยายามรับสัมผัสอย่างแข็งขัน เพียงชั่วพริบตา จิตวิญญาณดุจตกลงไปในเหวลึกว่างเปล่าไร้ที่สิ้นสุด ไร้พลังนัก

ตัวเขาเป็นดั่งหุ่นเชิดที่ทำจิตวิญญาณหล่นหาย

กระทั่งต่อมาอาภรณ์บนกายของเขาล้วนเปียกโชกไปด้วยเหงื่อกาฬ หอบหายใจถี่กระชั้น สภาวะจิตเหมือนจะถูกกลิ่นอายของหลุมดำนั้นกลืนกิน รู้สึกถึงความกดดันและสิ้นหวังถึงที่สุด

“อ๊าก!”

ทันใดนั้นถูซิวก็ร้องเสียงดังออกมา จิตวิญญาณกระตุกเกร็งครู่หนึ่ง สีหน้าเจ็บปวดหาใดเทียบ

“นี่ไม่ใช่ถูซิว ศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่เทียมฟ้าหรอกหรือ นี่เขาเป็นอะไรไปแล้วล่ะ”

“คงไม่ได้ผีเข้าหรอกกระมัง”

ข้างหูมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังขึ้นระลอกหนึ่ง เสียงหึ่งๆ ราวเสียงของแมลงวันทำให้ถูซิวกระสับกระส่ายอยู่ครู่หนึ่ง

ทันใดนั้นเขาพลันนิ่งอึ้ง สายตาที่เดิมว่างเปล่ากระเจิดกระเจิงก็กลับมามีสติอีกครั้ง

เขามองไปรอบทิศ

ก็เห็นว่าเหล่าผู้ฝึกปราณต่างมองเขาด้วยสีหน้าฉงน สายตานั้นเหมือนกับจ้องสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอยู่

จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นอย่างยากลำบาก แต่กลับค้นพบอย่างตกตะลึงว่าเวิ้งฟ้านั้นยังเป็นสีฟ้าใสดังเดิม เหมือนกับหลุมดำที่เกิดขึ้นเมื่อกี้เป็นภาพลวงตาภาพหนึ่ง

“ทำไมเป็นเช่นนี้ได้” ถูซิวสีหน้าเหยเก

ด้วยสีหน้าของผู้อื่น ทำให้เขาแน่ใจว่าเมื่อกี้มีเพียงตนที่ได้ประสบกับภาพน่ากลัวหาใดเทียบนั้น!

นี่ทำให้เขายิ่งประหวั่นพรั่นพรึง เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่

……

ถูซิวไม่ได้รู้ว่าภาพที่เพิ่งเห็นเมื่อกี้นั้น ความจริงแล้วเป็นปรากฏการณ์ประหลาดกลางฟ้าดินครั้งหนึ่งที่หอแจ้งสัจจะฉายออกมา

ก่อนหน้านี้หลินสวินเข้าไปในหอแจ้งสัจจะ ปราดเดียวก็มองทะลุความลับที่อยู่บนป้ายวิญญาณกระจ่างรู้ทั้งสามสิบหกแผ่น ทำลายสถิติตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันทั้งมวล และก่อให้เกิดเรื่องทั้งหมดนี้!

……

“เจ้าฝ่าผ่านการทดสอบการหยั่งรู้ทั้งหมดจริงๆ หรือ”

ระหว่างทางเซียวชิงเหออดไม่ได้เอ่ยถาม

“ข้าจำเป็นต้องหลอกเจ้าหรือ”

หลินสวินเอ่ยปาก

เขากำลังเดินทางไปยังหอสำแดงมรรค

“เช่นนั้นเหตุใดถึงไม่มีปรากฏการณ์ประหลาดอุบัติขึ้นเล่า”

เซียวชิงเหอซักไซ้ ท่าทางร้อนรนทนไม่ไหวต้องการคำตอบ

“อืม จะมีปรากฏการณ์ประหลาดหรือไม่เหมือนไม่ได้สำคัญกระมัง”

หลินสวินพูดเสียงขรึม แต่ความจริงแล้วในใจเขาออกจะประหลาดใจ

การมองปริศนาบนป้ายวิญญาณกระจ่างรู้ทั้งสามสิบหกแผ่นออกในปราดเดียว ทำให้เขาผิดคาดอยู่บ้าง คิดไม่ถึงว่าการหยั่งรู้ของตนจะแข็งแกร่งถึงขั้นนี้แล้ว

นี่แข็งแกร่งกว่าสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ในตอนนั้นมากนัก

แต่เมื่อคิดให้ถี่ถ้วนหลินสวินก็เข้าใจ

ข้อแรก พลังจิตวิญญาณของเขาแกร่งกล้าถึงที่สุด ยกระดับการหยั่งรู้ของตัวเองถึงขั้นที่น่าตกใจอย่างยิ่งยวดโดยไม่รู้ตัวมาก่อนแล้ว

ข้อต่อมา ในเมื่อการหยั่งรู้เกี่ยวข้องกับพรสวรรค์และแก่นกระดูก เช่นนั้นย่อมได้รับผลกระทบจากชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดหุบเหวกลืนกิน

ท้ายสุด กุญแจสำคัญที่สุดอยู่ที่ในจิตวิญญาณของเขายังมีประตูสวรรค์บานหนึ่ง ประทับด้วยตัวอักษร ‘เคราะห์’ ลี้ลับที่เก็บซ่อนมรดกมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอยู่ รวมถึงขนนกขาวโพลนลี้ลับที่ได้มาจากโถงมรรคาสวรรค์

ทั้งหมดนี้ทำให้ยามเขารับการทดสอบในหอแจ้งสัจจะก็ไม่พบกับอุปสรรคใดๆ เพียงปราดเดียวก็มองทะลุปริศนาทั้งหมดบนป้ายวิญญาณกระจ่างรู้ทั้งสามสิบหกแผ่น!

ดังนั้นหลินสวินถึงรู้สึกว่าการทดสอบครั้งนี้น่าเบื่อนัก

แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้เขาไม่ได้บอกเซียวชิงเหอ เพื่อเลี่ยงไม่ให้ดูผิดมนุษย์มนาเกินไปจนถูกอีกฝ่ายมองเป็นตัวประหลาดไป

เพียงแต่หลินสวินไม่รู้ว่า เซียวชิงเหอมองว่าเขาเป็นพวกวิปริตและเป็นสัตว์ประหลาดมาตั้งแต่ตอนอยู่ในเมืองนภาม่วงแล้ว

……

ในเวลาเดียวกับที่หลินสวินไปยังหอสำแดงมรรค ข่าวคสารหลากสายก็กระจายจากเมืองนภาคราม ไม่นานก็ถึงหูสำนักกระบี่เทียมฟ้าด้วยความเร็วน่าตกตะลึง!

เขาเก้าทมิฬ

ดินแดนใต้อาณัติของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ทิวเขายิ่งใหญ่ ยอดภูเขาสลับซับซ้อน ถูกหมอกเซียนโอบล้อมตลอดปี งดงามตระการตาราวภาพเขียน

ฟ้าดินของที่นี่ทั้งไพศาล เพริศแพร้วและเกรียงไกร พลังวิญญาณเข้มข้นหนาแน่นอวลไอในอากาศ

มองลงมาจากเวิ้งฟ้า มียอดเขาสูงตระหง่านเก้าลูกตั้งอยู่ ภูเขาสูงทะลุชั้นเมฆ อาบไล้กลางแสงเมฆาไปทั้งลูก ปลดปล่อยกลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์รางเลือนออกมา

เมื่อพินิจดูเหนือยอดเขาทั้งเก้าลูก แต่ละลูกมีอาคารเก่าแก่ผ่านโลกมานานเรียงรายแน่นขนันเป็นระเบียบดั่งเกล็ดมัจฉา ประหนึ่งวังเซียนอารามสมบัติบนสวรรค์ เจิดจรัสยืนยง ธำรงคู่นิจนิรันดร์

เพียงมองไปครั้งเดียวก็ทำให้มนุษย์มีความรู้สึกตัวหดเล็กเหมือนมดตัวจ้อย

นี่ก็คือเขาเก้าทมิฬ ระบือนามชั่วนิรันดร์ เป็นที่ตั้งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าซึ่งข่มขวัญแดนชัยบูรพา ถูกผู้คนในโลกยกให้เป็น ‘เขาศักดิ์สิทธิ์ฝึกปราณ’!

เพียงแต่หลังจากข่าวแล้วข่าวเล่ากระจายเข้าสู่สำนักกระบี่เทียมฟ้า ทั้งเขาเก้าทมิฬก็เหมือนตื่นตกใจ เงาร่างของผู้ฝึกปราณมากมายพุ่งออกมาจากอาคารเก่าแก่แน่นขนัดนั้น

“อะไรนะ เด็กหนุ่มคนหนึ่งทำลายสถิติของศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ที่หอลองกระบี่ หอเกลาจิตและหอหลอมจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่องหรือ”

“เขาเป็นใคร”

“เป็นไปไม่ได้ แม้สถิตินั้นจะเป็นสิ่งที่ศิษย์พี่อวิ๋นชิ่งไป๋ทิ้งไว้เมื่อสิบปีก่อน แต่ล้วนเรียกได้ว่าเป็นสถิติโดดเด่นสะดุดตาไม่เป็นสองรองใครตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน ตลอดสิบปีมานี้ ในแดนชัยบูรพามีบุคคลแห่งยุคไม่รู้เท่าไรลองทำลายสถิตินี้ แต่ทุกคนต่างคว้าน้ำเหลวกลับไปอย่างไม่มีข้อยกเว้น เหตุใดวันนี้ถึงถูกทำลายลงอย่างต่อเนื่องได้เล่า”

“นี่เป็นเรื่องจริงนะ ตอนนี้ลือกระฉ่อนไปทั้งเมืองนภาม่วงแล้ว!”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ความรู้สึกตื่นตระหนก งุนงงและทำใจเชื่อได้ยากแผ่ขยายในหมู่ศิษย์สายใน ศิษย์สายนอกและศิษย์สืบทอดแท้จริงของสำนักกระบี่เทียมฟ้า

ผู้อาวุโสในสำนักนี้ ไม่ว่าจะเป็นสายในสายนอก เวลานี้ก็ต่างละมือจากสิ่งที่ทำอยู่ สนใจติดตามข่าวเหล่านี้

อวิ๋นชิ่งไป๋ผู้อยู่อันดับหนึ่งใต้ระดับราชัน เป็นความภาคภูมิใจของทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้า เรียกได้ว่าก้าวเดินลำพังในอดีตและปัจจุบัน โดดเด่นไม่เป็นสองรองใคร!

ตั้งแต่อวิ๋นชิ่งไป๋เข้ามาในสำนักกระบี่เทียมฟ้าจนถึงตอนนี้ ก็แผ่รัศมีที่สามารถสร้างความตื่นตาแก่นิจนิรันดร์ กำราบจนคนในระดับเดียวกันไม่อาจเชิดหน้าขึ้นมาได้

ที่ต้องรู้ก็คือ สำนักกระบี่เทียมฟ้ามีฐานะเป็นสำนักโบราณชั้นยอดของแดนชัยบูรพา บุคคลแห่งยุคในสำนักมีจำนวนไม่น้อย ผู้มีพรสวรรค์พิเศษยิ่งมากมายดั่งขนโค

แต่กระทั่งตอนนี้ ยังไม่มีใครสามารถสั่นคลอนตำแหน่งของอวิ๋นชิ่งไปได้เลย!

เขาเยี่ยมยอดเกินไป โดดเด่นสะดุดตาเกินไปจนแทบสมบูรณ์แบบ ไร้ผู้ใดเทียบเทียมได้ การฝึกปราณร่วมกับเขาถึงขั้นทำให้ผู้คนรู้สึกหมดหวัง!

แต่ตอนนี้สถิติที่เขาเคยสร้างไว้เองกับมือเมื่อสิบปีก่อนกลับถูกผู้อื่นทำลายลงทีละอัน นี่ทำให้ทุกคนยอมรับได้ยากนัก

“เป็นไปไม่ได้ นี่ต้องไม่จริงแน่ๆ ข้าต้องไปดูให้เห็นกับตา!”

ผู้สืบทอดที่เคารพบูชาอวิ๋นชิ่งไป๋อย่างยิ่งบางคนรับไม่ได้ ทันใดนั้นก็บังคับแสงกระบี่ทะยานฟ้าออกไปเสียงดัง

“หากเรื่องนี้เป็นความจริง เช่นนั้นเด็กหนุ่มนั่นจะเป็นใครกัน แดนชัยบูรพามีคนเก่งกาจเช่นนี้ปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อไร”

“ไป พวกเราไปดูด้วยกัน!”

ทั้งสำนักกระบี่เทียมฟ้าตกอยู่ในความสั่นสะเทือน สำหรับผู้ฝึกปราณอื่นแล้ว สถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ถูกทำลง อาจจะเพียงรู้สึกตกใจหรือประหลาดใจ

แต่สำหรับผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้าแล้ว ความหมายของสิ่งนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก เป็นไปได้สูงที่จะทำให้รัศมีซึ่งปกคลุมบนร่างอวิ๋นชิ่งไป๋มีเงามืดชั้นหนึ่งเข้าบดบัง!

พูดง่ายๆ ก็คือ อวิ๋นชิ่งไป๋ก็เปรียบดั่งตำนานไร้พ่ายของสำนักกระบี่เทียมฟ้า จะยอมทนให้ถูกทำลายไปได้อย่างไร

ไม่นานนักผู้สืบทอดสำนักกระบี่เทียมฟ้ามากมายก็ออกเดินทาง บังคับแสงกระบี่พุ่งคำรามไปทางเมืองนภาม่วงเสียงดัง

……

“จิ่งเจิน เจ้าหยุดเดี๋ยวนี้!”

ยอดเขายุทธ์วิถี ตำหนักแสงเมฆา ที่นี่เป็นที่พำนักของเหมิงชิวจิ้ง ผู้อาวุโสสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า

เวลานี้กลับมีสตรีนางหนึ่งสีหน้าหวาดหวั่น รั้งชายหนุ่มชุดดำผู้หนึ่งไว้

สตรีผู้งดงามผู้นี้มีนามว่าเหมิงหรง รูปลักษณ์งามเลิศ ท่วงท่าสง่าผ่าเผย ผมดำขลับทั้งศีรษะเกล้าเป็นมวย แต่งกายด้วยชุดกระโปรงสีม่วงทั้งชุด กระนั้นกลับมีกลิ่นอายน่าเกรงขามอย่างยิ่ง

“ท่านแม่ ข้าเพียงจะไปดูเสียหน่อยว่าใครถึงกับทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้กันแน่” ชายหนุ่มชุดดำออกจะจนใจ

หากหลินสวินเห็นเช่นนี้จะต้องจำได้แน่ๆ ว่าชายหนุ่มผู้นี้ก็คือองค์ชายเก้าจ้าวจิ่งเจิน!

ตอนนั้นจ้าวจิ่งเจินหมางใจกับหลินสวิน ถูกจักรพรรรดิแห่งจักรวรรดิจื่อเย่าปลดฐานะองค์ชาย และส่งตัวมาสุสานราชวงศ์ ลดตำแหน่งเป็นผู้เฝ้าสุสานคนหนึ่ง

แต่ต่อมาเพราะมารดาของเขาเหมิงหรง ผู้เป็นบุตรสาวของเหมิงชิวจิ้งผู้อาวุโสสายในสำนักกระบี่เทียมฟ้า ด้วยความสัมพันธ์ชั้นนี้จึงทำให้จ้าวจิ่งเจินหลุดพ้นความยากลำบาก ออกจากจักรวรรดิจื่อเย่า และถูกรับมาฝึกปราณในสำนักกระบี่เทียมฟ้า

ชั่วพริบตาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว

จ้าวจิ่งเจินในตอนนี้หล่อเหลามีชีวิตชีวา ดวงตาราวสายฟ้า เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากจากตอนนั้น มีพลานุภาพน่าหวั่นกลัว

“ไม่ได้!” เหมิงหรงยืนยันหนักแน่น ปฏิเสธเด็ดขาด

“ทำไมเล่า” จ้าวจิ่งเจินนิ่วหน้า

สายตาเหมิงหรงล้ำลึก พูดว่า “เพราะเจ้ายังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องใส่ใจ”

“เรื่องใด”

“ล้างแค้น”

“ล้างแค้นหรือ” จ้าวจิ่งเจินงุนงง

“หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าสมัยอยู่ที่จักรวรรดิจื่อเย่า ใครกันที่ทำให้เจ้าถูกเสด็จพ่อของเจ้าปลดฐานะองค์ชาย ทั้งใครกันทำให้เจ้าเกือบกลายเป็นผู้เฝ้าสุสาน ไม่อาจหลุดพ้นความยากลำบากได้ตลอดกาลคนหนึ่ง”

เหมิงหรงสีหน้าเย็นชา

“หลินสวิน! หรือว่า…” จ้าวจิ่งเจินสีหน้าเคร่งขนึม แววเคียดแค้นเสียดกระดูกแผ่พุ่งออกมาจากดวงตา

“ใช่แล้ว เขามาถึงดินแดนรกร้างโบราณแล้ว”

เหมิงหรงเอ่ยเสียงเรียบ “แต่ถ้าเจ้าคิดจะล้างแค้น เกรงว่าคงไม่ได้ทำได้ง่ายเช่นนั้น”

จ้าวจิ่งเจินแค่นยิ้มออกมา “สมัยอยู่ที่โลกชั้นล่างมีเสด็จพ่อหนุนหลังเขา ข้าอาจจะทำอะไรเขาไม่ได้ แต่ในดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้ ฆ่าเขาก็ไม่ต่างอะไรกับบี้มดตัวหนึ่งตาย!”

ในน้ำเสียงมีแต่ความดูแคลนและทระนงตน

ตอนเขามาถึงสำนักกระบี่เทียมฟ้าเมื่อหลายปีก่อน เขาถึงพบว่าตัวเองในอดีตช่างเป็นกบในกะลา ไม่เคยคิดเลยว่าเพียงสำนักกระบี่เทียมฟ้าแห่งเดียวก็มีอำนาจและภูมิหลังที่น่าหวาดหวั่นเช่นนี้แล้ว!

และด้วยมีฐานะเป็นหลานตาของเหมิงชิวจิ้ง ทำให้สถานะในสำนักกระบี่เทียมฟ้าของเขาพิเศษยิ่งนัก ได้รับการดูแลที่ผู้สืบทอดทั่วไปจำนวนมากไม่อาจได้รับ

ตอนนี้เมื่อเขามองหลินสวินอีกครั้ง ย่อมปราสและดูถูกดูแคลนเป็นพิเศษ

“เจ้าผิดแล้ว ตอนนี้เด็กนี่ไม่ได้เป็นมด” สีหน้าเหมิงหรงปรากฏแววซับซ้อนอยู่บ้าง

จากนั้นนางก็สูดหายใจลึก เก็บกลั้นความรู้สึกในใจเอาไว้แล้วกล่าวว่า “ข้ารวบรวมข่าวต่างๆ เกี่ยวกับเด็กนี่มาแล้ว ถ้าเจ้าอยากรู้ตอนนี้ก็มากับข้า”

“ข้าไม่เพียงแค่อยากรู้ ยังอยากแก้แค้นด้วย!” จ้าวจิ่งเจินออกจะทนรอไม่ไหวแล้ว

เขาลืมความอัปยศที่หลินสวินนำมาให้ในตอนนั้นไม่ลง

หลายปีนี้ที่เขาฝึกปราณในสำนักกระบี่เทียมฟ้า แม้กล่าวว่ามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่กลับไม่มีเวลาใดที่ไม่อยากกลับไปโลกชั้นล่างเพื่อไปคิดบัญชีกับหลินสวิน!

และตอนนี้เมื่อได้รู้ว่าหลินสวินปรากฏตัวที่แดนชัยบูรพา เขาจะยังทนอยู่ได้อย่างไร

……

ยอดเขาเทียมฟ้า

ที่นี่คือเขตหวงห้ามของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ในสถานการณ์ทั่วไปมีเพียงเจ้าสำนักและผู้อาวุโสชั้นสูงถึงสามารถเข้าออกที่นี่ได้อย่างอิสระ

บริเวณไหล่เขาเขาเทียมฟ้า มีต้นไม้เทพสีมรกตที่ดำรงอยู่ตั้งแต่ยุคบรรพกาลจวบจนตอนนี้ กิ่งก้านแผ่ไพศาล ใบไม้เขียวชอุ่ม แสงเขียวเต็มฟ้า

ใต้ต้นไม้เทพสีมรกต ชายผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ผมยาวดำหนาสยายลงมาถึงเอว ดวงตาทั้งสองปิดสนิท แสงมรรคสีทองอ่อนหนาแน่นอบอวลอยู่รอบกายเขา ทำให้รูปลักษณ์ของเขาเลือนรางไม่ชัดเจน มองทะลุโฉมหน้าที่แท้จริงได้ยาก

แต่เขาซึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งเงียบเช่นนี้ กลับคล้ายเทพไท้ มีกลิ่นอายที่โอหังผงาดเหนือเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน

นกยูงงดงามที่ปีกหลากสีเพริศแพร้วตัวหนึ่งลอยละล่องมาถึง แตะเท้าลงเบื้องหน้าต้นไม้เทพสีมรกต แล้วพลันกลายร่างเป็นหญิงสาวชุดหลากสีที่เงาร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณเปล่งปลั่ง รูปลักษณ์สวยสะคราญหาใดเทียบผู้หนึ่ง

ศีรษะที่เชิดสูงขึ้นอยู่เดิมค้อมลงเล็กน้อย ยามสายตามองไปยังชายที่นั่งขัดสมาธิใต้ต้นไม้เทพสีมรกต ปรากฏความยำเกรงและเคารพชื่นชมจากใจอย่างไม่อาจสะกดกลั้นไว้ได้

เสียงของนางกังวานรื่นหู เอ่ยว่า “ศิษย์พี่อวิ๋น เมื่อครู่ในสำนักมีข่าวกระจายมาว่า…”

นางบรรยายเรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองนภาม่วงอย่างกระชับเรียบง่ายรอบหนึ่ง

เมื่อเสียงพูดเงียบลง โดยรอบเงียบเชียบไร้เสียง มีเพียงยามลมภูเขาพัดมาถึงเกิดเสียงแซ่กๆ จากการเสียดสีของก้านกิ่งใบไม้บนต้นไม้เทพสีมรกต

ใต้ต้นไม้เทพ ดวงตาของชายผู้นั้นปิดสนิท แสงมรรครอบกายอบอวลพวยพุ่งเหมือนภาพมายา เขาไม่ตอบสนองแม้สักนิดประดุจภิกษุเข้าสู่ฌาณ

เมื่อหญิงสาวชุดหลากสีเห็นดังนี้ก็อึ้งไป คล้ายอยากพูดแต่ก็หยุดไว้ ทว่าท้ายที่สุดก็อดกลั้นเอาไว้ เหมือนกลัวว่าจะไปรบกวนการฝึกปราณของอีกฝ่าย

เพียงแต่ก็ในตอนที่นางจะออกไป ในโสตประสาทก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้น “เป็นเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ลำบากศิษย์น้องข่งมาบอกด้วยตัวเองแล้ว”

เสียงนี้ราวมหามรรค ดูเหมือนเรียบเฉย แต่กลับมีพลังเข้าถึงก้นบึ้งจิตใจคน!

หญิงสาวชุดหลากสีพลันหันกาย ก็เห็นว่าชายซึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใต้ต้นไม้ผู้นั้นลืมตาที่ปิดสนิทขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้

นี่เป็นดวงตาเช่นไรกัน

ลึกล้ำประหนึ่งเหวลึกคู่หนึ่ง สงบนิ่งราวราตรีนิรันดร์ แต่เมื่อได้สบตาเข้า กลับเหมือนทำให้จิตวิญญาณของผู้คนจมจ่อมลงไปภายในนั้น รู้สึกหวาดผวาและกดดันหาใดเทียบ!

น่ากลัวนัก!

หญิงสาวชุดหลากสีมีนามว่าข่งหลิง มาจากเผ่านกยูงห้าสี พรสวรรค์พิเศษอัศจรรย์ ทั้งตอนนี้ยังเป็นหนึ่งในศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ชื่อเสียงของนางดังก้องแดนชัยบูรพาอยู่ก่อนแล้ว เป็นผู้กล้าหญิงที่จัดอยู่ใน ‘กระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์’

แต่ตอนนี้ ภายใต้การจับจ้องของดวงตาสีดำคู่นี้ กลับทำให้นางรู้สึกสงบเสงี่ยมอย่างยิ่ง ร่างแบบบางแข็งทื่อ จิตใจมีเค้าลางยุ่งเหยิง!

“ศิษย์น้องข่ง มหายุคกำลังจะมาเยือน แม้ตอนนี้พลังของเจ้าไม่ธรรมดา แต่ยังคงขาดความชำนาญและการตกตะกอนไปบ้างเหมือนเดิม วันนี้ข้าได้หยั่งรู้พอดี ในด้านวิถีกระบี่พัฒนาขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ก็มอบกระบี่นี้ให้เจ้าแล้วกัน”

ชายหนุ่มพูดพลางส่งกระบี่วิญญาณพิสุทธิ์วาวใสราวราตรีเล่มหนึ่งให้

“นี่…”

ข่งหลิงตกใจยกใหญ่ นางจะจำกระบี่เล่มนี้ไม่ได้ได้อย่างไร นี่เป็นถึงหนึ่งในกระบี่คู่กายของศิษย์พี่อวิ๋น มีนามว่า ‘แสงราตรี’ เคยกรำศึกเคียงข้างศิษย์พี่อวิ๋นมานานปี สังหารฟาดฟันศัตรูผู้แข็งแกร่งมาแล้วไม่รู้เท่าไร!

“เอาไปเถอะ กระบี่นี้สำหรับข้าในตอนนี้แล้วกลับเป็นภาระ”

ชายหนุ่มเสียงสงบนิ่ง มีกลิ่นอายที่ทำให้ผู้คนไม่อาจขัดขืนได้

“ขอบคุณศิษย์พี่!”

ข่งหลิงรับกระบี่นี้มาอย่างนอบน้อบแล้วเก็บไปอย่างระวัง ในใจกลับแปรเปลี่ยนเป็นร้อนรุ่มขึ้นมา นี่เป็นถึงยอดศาสตรามรรคราชันที่อุดมไปด้วยสีสันแห่งตำนานเล่มหนึ่ง!

ก่อนจากไปข่งหลิงอดไม่ได้เอ่ยถามว่า “ศิษย์พี่อวิ๋น ท่านไม่สนใจจริงๆ หรือ”

ดวงตาดำของชายผู้นั้นราวเหวลึก กล่าวด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ข้าอวิ๋นชิ่งไป๋ปิดด่านหลายปีมานี้ สิ่งเดียวที่สนใจก็คือโอกาสได้กลายเป็นราชันในมหายุค เป็นพลังที่สามารถกดทับนิรันดร์กาล อยู่เหนือธรรมบาลได้ นอกเหนือจากนี้ บนโลกนี้ไม่มีเรื่องที่ทำให้ข้าใส่ใจได้อีก”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท