บทที่ 446 แผนการของหลัวซิว
“สำนักเขาใช้ชื่อว่าไท่เสวียน ข้าว่าพวกเจ้าทุกคน คงจะพอเดาอะไรออกบ้างแล้วนะ” หลัวซิวมองลงมาแล้วยิ้มเล็กน้อย
“แดนปริศนาตำหนักจื่อ เดิมทีคือหนึ่งในแดนปริศนาของสำนักไท่เสวียนในสมัยโบราณ ข้าสร้างสำนักเขาขึ้นที่นี่ อันที่จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นการก่อตั้งสำนัก แต่ถือว่าเป็นการสืบทอดเจตนารมณ์ของสำนักไท่เสวียน”
“สองปีก่อน ภายในถ้ำคีตโลกแห่งนั้น ข้าได้รับมรดกจากผู้แข็งแกร่งในสมัยสำนักไท่เสวียนโบราณท่านหนึ่ง”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แววตาของสวีจิงเหนียนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ความคิดของเขานั้นง่ายมาก ในเมื่อหลัวซิวได้รับมรดกจากผู้แข็งแกร่งสมัยโบราณ เช่นนั้นหากตนเองคอยติดตามเขา ก็คงจะต้องได้รับประโยชน์บ้างสิ ?
คนอย่างสวีจิงเหนียนผู้นี้ จะจัดการให้อยู่ในสำนักไท่เสวียนอย่างไรนั้น หลัวซิวมีแผนการอยู่ในใจเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ยังไม่พูดออกมา
สำนักเขาเพิ่งสร้างขึ้นครั้งแรก ไม่มีผู้มีพรสวรรคืสักคน การพัฒนาต่อไปในอนาคต ยังถือเป็นกระบวนการที่ยาวนานแล้วต้องค่อยเป็นค่อยไป
ภายในระยะเวลาสั้น ๆ หลัวซิวรู้ดีว่า เป็นการยากที่สำนักจะให้ความช่วยเหลือแก่ตนเองได้ แต่ในทางตรงกันข้าม ส่วนมากต้องเป็นเขาที่คอยปกป้องสำนักเอาไว้
อย่างไรก็ตาม ความตั้งใจเดิมในการสร้างกองกำลังของเขา ก็เพื่อที่จะปกป้องคนใกล้ชิดของตนเองในผืนดินที่กว้างใหญ่แห่งนี้ ขอเพียงแค่สำนักไท่เสวียนสามารถยืนหยัดอยู่ในประเทศเทียนหวู่ได้อย่างมั่นคง เรื่องในอนาคต ตนเองคงไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก
“ในเมื่อสำนักเขาสร้างสำเร็จแล้ว ไม่ทราบว่าท่านเจ้าสำนักวางแผนจะเปิดสำนักเขาเมื่อไหร่ ?” สวีจิงเหนียนเอ่ยถาม
คำที่เขาใช้เรียกหลัวซิว เปลี่ยนจากท่านชายหลิวในเมื่อก่อน มาเป็นเจ้าสำนักแทนแล้ว
การเปิดสำนักเขา อันที่จริงแล้วก็เพื่อเป็นการประกาศให้โลกรู้ถึงการมีอยู่ของสำนักไท่เสวียน ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การก่อตั้งสำนักทุกแห่ง ล้วนแล้วแต่ต้องเชิญกองกำลังที่มีชื่อเสียงโดยรอบ หรือไม่ก็ยอดฝีมือของโลกยุทธ์มาร่วมแสดงความยินดี แขกที่มาร่วมงานต่างมีฐานะที่สูงส่ง ยิ่งมีความแข็งแกร่งมากเท่าไร ก็จะยิ่งทำให้เห็นถึงความมั่นใจและไม่ธรรมดาของกองกำลังใหม่ได้เด่นชัดเจนขึ้น
“ตอนนี้ยังไม่รีบร้อนที่จะเปิดสำนักเขา ส่วนจะเปิดสำนักเขาเมื่อไหร่นั้น ข้าจะเป็นผู้คำนวณด้วยตนเอง” หลัวซิวพูดเช่นนี้
จากนั้น หลัวซิวก็หันไปมองสวีจิงเหนียนอีกครั้ง แล้วค่อย ๆ มีผลการฝึกตนอยู่ในแดนฝึกจิต ก็สามารถเป็นลูกศิษย์ในสำนักไท่เสวียนของข้าได้ หากมีผลการฝึกตนอยู่ในแดนพรสวรรค์ สามารถเป็นศิษย์นอกสำนักได้”
“ส่วนผู้ที่มีผลการฝึกตนถึงระดับแดนราชายุทธ์ที่เจ้าพามา ตอนนี้ให้เป็นผู้ดูแลนอกสำนักเป็นการชั่วคราว และจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับศิษย์ในสำนัก”
ราชายุทธ์ที่ยืนอยู่ด้านหลังของสวีจิงเหนียนเหล่านั้น คิดไม่ถึงเลยว่าพวกของตนเองจะถูกจัดให้เป็นเพียงแค่ผู้ดูแลด้านนอกสำนักตัวเล็ก ๆ เท่านั้น และได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับศิษย์ในสำนัก แต่ละคนต่างก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อก่อนตอนที่พวกเขาอยู่ในตระกูลสวี นอกจากอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์แล้ว ก็ถือว่าพวกเขามีฐานะสูงสุด จึงไม่ยอมจำนนต่อผู้อื่นโดยง่ายเป็นธรรมดา
“ทำไม พวกเจ้าไม่พอใจการจัดการของเจ้าสำนักอย่างนั้นหรือ ?” สวีจิงเหนียนหันกลับไปมองคนเหล่านี้ แล้วตำหนิด้วยเสียงดุดัน
“มิกล้าครับ” เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอำนาจอันแข็งแกร่งของผู้เป็นอาจารย์ ราชายุทธ์ของตระกูลสวีเหล่านี้ ย่อมไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย
“หึ อย่าคิดว่าข้าไม่รู้นะว่าในใจของพวกเจ้าคิดอะไรอยู่ หากใครคิดว่าการอยู่ต่อในสำนักไท่เสวียน ทำให้ตนเองต้องรู้สึกไม่เป็นธรรม ก็จงไสหัวกลับเมืองเทียนหวูไปซะ แต่ถ้าใครเลือกที่จะอยู่ต่อ ก็จะต้องจงรักภักดีต่อสำนัก ไม่เช่นน้าข้าจะเป็นคนแรกที่ไม่ละเว้นเขา !”
เมื่อหลัวซิวได้ยินสวีจิงเหนียนพูดเช่นนี้ เขาก็แสยะยิ้มออกมาทันที เขารู้ดีว่า สวีจิงเหนียนต้องการแสดงสิ่งนี้ต่อหน้าเขา อันที่จริงแล้วก็เพื่อแสดงท่าทีของเขาที่มีต่อตนเองให้รับรู้
แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ใส่ใจ คนคนหนึ่งจะจงรักภักดีต่อสำนักหรือไม่ ต่อไปจะต้องมีโอกาสแสดงให้เห็นอย่างแน่นอน ไม่ใช่เรื่องที่ต้องรีบร้อน
ตระกูลสวี นอกจากอาจารย์จักรพรรดิยุทธ์สวีจิงเหนียนผู้นี้แล้ว อีกเจ็ดคนที่เหลือด้านหลังเขา ล้วนเป็นผู้ที่มีผลการฝึกตนระดับราชายุทธ์ ในนั้นผู้ที่มีผลการฝึกตนในระดับสูงสุดก็คือแดนราชายุทธ์ขั้น 4
อันที่จริงแล้วในสายตาของหลัวซิว อย่าว่าแต่ราชายุทธ์ทั้งเจ็ดคนนี้เลย ต่อให้รวมสวีจิงเหนียนอยู่ในนั้นด้วย อันที่จริงแล้วก็ไม่ถือว่ามีศักยภาพสักเท่าไหร่นัก เพราะเวลาที่คนเหล่านี้ฝึกตน อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งร้อยปี โดยเฉพาะสวีจิงเหนียนผู้นั้น ที่มีอายุไขเหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว หากภายในหนึ่งร้อยปีไม่สามารถบรรลุถึงแดงมกุฎยุทธ์ได้ ก็คงทำได้เพียงแค่รอให้อายุไขค่อย ๆ หมดลง และนั่งจากไปอย่างสงบ
แต่หลัวซิวเองก็จนปัญญา เขาคงไม่สามารถอยู่ตามลำพังตัวคนเดียว หลังจากที่สร้างสำนักเสร็จได้หรอกจริงไหม ? หากมีสวีจินเหนียนคอยดูแลคนพวกนี้ อย่างน้อยก็ทำให้บรรยากาศทุกอย่างเติมเต็มขึ้นได้
“ขอให้ผู้อาวุโสสวีช่วยทำหน้าที่ผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียนเราเป็นการชั่วคราว ไม่ทราบว่าคิดเห็นอย่างไร ?” หลังซิวพูดขึ้นอีก
ตำแหน่งผู้คุมกฎภายในสำนัก ถือเป็นตำแหน่งที่สูง และมีฐานะเป็นรองเพียงผู้อาวุโสเท่านั้น
สวีจิงเหนียนผงะไปเล็กน้อย จากนั้นจึงตั้งสติกลับมาได้ พร้อมเผยรอยยิ้มขึ้นบนใบหน้า “ทั้งหมดแล้วแต่ท่านเจ้าสำนักจะตัดสินใจ”
อันที่จริงแล้วสิ่งที่สวีจิงเหนียนคำนวณเอาไว้ก็คือ ไม่ว่าอย่างไรตนเองก็น่าจะได้รับตำแหน่งผู้อาวุโส แต่คิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายแล้วจะได้เป็นเพียงแค่ผู้คุมกฎคนหนึ่ง
ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์ ถึงแม้จะอยู่ท่ามกลางกองกำลังที่ยิ่งใหญ่อย่างสำนักเสวียนหยาง ก็เพียงพอที่จะเป็นผู้อาวุโสได้
ตามที่เขารู้มา สำนักไม่เสวียนมาการสร้างจวนของผู้คุมกฎเอาไว้สิบแปดหลัง หรือว่าเจ้าหลัวซิวผู้นี้ จะใช้ผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิยุทธ์จำนวนสิบแปดคนมาเป็นผู้คุมกฎ ?
อย่างนั้นไม่เท่ากับว่า ผู้อาวุโสของสำนักไท่เสวียน อย่างน้อยจะต้องมีผลการฝึกตนอยู่ในระดับมกุฎยุทธ์อย่างนั้นหรือ ?
เจ้าหลัวซิวผู้นี้กำลังล้อเล่นอะไรอยู่กันแน่ ?
สวีจิงเหนียนรู้สึกงุนงง เขาคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าหลัวซิวไปเอาความมั่นใจเช่นนี้มาจากไหน ?
สิ่งที่สวีจิงเหนียนคิดอยู่ในใจก็คือ หลัวซิวไม่ได้คิดที่จะใส่ใจทรัพยากรการฝึกตนของสำนัก และเริ่มที่จะเปิดสู่โลกภายนอก ส่วนเงื่อนไขของศิษย์นอกสำนักและในสำนัก เขาได้บอกสวีจิงเหนียนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว และปล่อยเขาเป็นคนจัดการทั้งหมด
หอคอยฝึกตนทั้งเก้าหลังภายในแดนปริศนา ตอนนี้หลัวซิวเปิดให้สวีจิงงเหนียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น อีกทั้งยังสัญญาด้วยว่าทุกเดือนจะมอบยาระดับ6 ให้เขาหนึ่งเม็ด เพื่อใช้สำหรับฝึกตน
ทว่า ภายในสำนัก คนที่ต้องการใช้ยาในการฝึกตนไม่ได้มีเพียงสวีจิงเหนียนเพียงคนเดียวเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่ยาทั้งหมดที่ทุกคนจะใช้สำหรับฝึกตน หลัวซิวจะเป็นคนกลั่นออกมาด้วยตนเอง
หลัวซิวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงแก๊งนักกลั่นยาของเมืองซานหยวน โอวโหเหลียง
จะว่าไปแล้ว ที่หลัวซิวได้รู้จักกับสวีจิงเหนียนก็เป็นเพราะโอวโหเหลียงผู้นี้ เป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้นที่ 4 ที่หลงใหลในวิถียาอย่างมาก หากสามารถดึงเขามาได้ นับว่าเป็นประโยชน์อย่างมากต่อการพัฒนาในก้าวแรกของสำนักไท่เสวียน
อย่างน้อยยาที่อยู่ในขั้น 4 ลงไป หลัวซิวก็ไม่จำเป็นจะต้องกลั่นด้วยตนเอง
เขาบอกความคิดนี้กับสวีจิงเหนียน อย่างไรก็ตามสวีจิงเหนียนถือเป็นผู้มีพระคุณของโอวโหเหลียง หากให้เขาออกหน้า คิดว่าคงมีโอกาสดึงโอวโหเหลียงมาเข้าร่วมได้มากกว่า
และสวีจิงเหนียนก็ไม่ทำให้หลัวซิวต้องผิดหวังจริง ๆ โอวโหเหลียงรับปากแล้ว อีกไม่กี่วันก็จะออกเดินทางมาถึงสำนักไท่เสวียน
หลัวซิวทิ้งป้ายบัญชาการเอาไว้ ทันทีที่โอวโหเหลียงมาถึงสำนักไท่เสวียน ก็สามารถใช้ป้ายบัญชาการแผ่นนี้ในการเข้าหอกลั่นยาได้
ภายในหอกลั่นยา หลัวซิววางม้วนหยกที่บันทึกประสบการณ์ในการกลั่นยารวมไปถึงตำรับยาหายากต่าง ๆ เอาไว้
แต่ว่าม้วนหยกเหล่านี้ หลัวซิวเองก็ได้กำหนดสิทธิ์เอาไว้ ป้ายบัญชาการที่เขาทิ้งเอาไว้ให้กับโอวโหเหลียง สามารถศึกษาได้ถึงยาระดับ 4 และระดับ 5 บางชนิดเท่านั้น
ถึงกระนั้น หากมีสิ่งเหล่านี้ ขอเพียงแค่โอวโหเหลียงไม่ขาดพรสวรรค์จนเกินไป ก็จะสามารถยกระดับการกลั่นยาของตนเองได้อย่างรวดเร็วแน่นอน และกลายเป็นปรมาจารย์กลั่นยาขั้น 5
สำหรับโอวโหเหลียงนั้น หลัวซิวมอบตำแหน่งผู้ดูแลหอกลั่นยาให้แก่เขา ซึ่งมีฐานะเทียบเท่ากับศิษย์ในสำนัก