Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1021 เบาะรองนั่งสีม่วง

ตอนที่ 1021 เบาะรองนั่งสีม่วง

ตอนที่ 1021 เบาะรองนั่งสีม่วง
ข่งหลิงนำกระบี่แสงราตรีออกจากยอดเขาเทียมฟ้าอย่างเคารพนบนอบ

‘ไม่เจอกันเกือบสิบปี ศิษย์พี่อวิ๋นเปลี่ยนเป็นน่ากลัวยิ่งขึ้นแล้ว…’ ข่งหลิงจิตใจเลื่อนลอย ยังคงลืมภาพชั่วขณะที่สบตากับอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อครู่ไม่ลง

กระทั่งตอนนี้ ความเครียดดเกร็งที่ไม่อาจสลัดทิ้งไปจากใจยังรัดพันอยู่ในจิตใจของนาง!

สิบปีก่อน นางยังเป็นเพียงศิษย์สืบทอดแท้จริงผู้หนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้า

ส่วนอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้น สังหารราชันกึ่งระดับในดินแดนรกร้างโบราณไปมากกว่าร้อยคน พาให้ใต้หล้าตื่นตระหนก มองเขาเป็นบุคคลอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันไปแล้ว

อวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนั้นสามารถทำให้ไม่ว่าผู้ใดก็เคารพยำเกรง ประหนึ่งภูเขาเทพที่สูงจนไม่อาจป่ายปีนลูกหนึ่ง ไม่มีทางถูกสั่นคลอนได้

วันนี้ในสิบปีต่อมา ข่งหลิงอาศัยพรสวรรค์พิเศษของเผ่านกยูงห้าสี เติบโตขึ้นเป็นศิษย์แกนหลักของสำนักกระบี่เทียมฟ้า ชื่อเสียงสะท้านเหล่าผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันในรุ่นเยาว์ของแดนชัยบูรพา

ตอนนี้ นางยังถูกจัดอันดับอยู่ใน ‘ยอดมกุฎรุ่นเยาว์’ ด้วย!

เดิมข่งหลิงคิดว่าตนสามารถเข้าใกล้อวิ๋นชิ่งไป๋มากขึ้นได้บ้าง

แต่การพบกันในวันนี้กลับทำให้นางได้สติโดยสมบูรณ์ สิบปีมานี้ตนอาจจะแข็งแกร่งขึ้น แต่ศิษย์พี่อวิ๋นก็ไม่ใช่ศิษย์พี่อวิ๋นเมื่อสิบปีก่อนมานานแล้วเช่นกัน!

‘เพียงแค่แววตาเท่านั้น ก็ทำให้ข้าหวาดหวั่นและกระวนกระวาย หากลงมือเกรงว่าข้าจะไม่มีกำลังตั้งกระบวนท่าด้วยซ้ำ…’ ข่งหลิงทอดถอนใจในใจ

อยู่ในระดับพลังปราณเดียวกันกับเขาต้องเป็นโชคร้ายอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย

ภายใต้รัศมีของเขา คนร่วมระดับที่ไม่ว่าจะโดดเด่นสะดุดตาเพียงใด เกรงว่าต่างต้องหม่นหมองจืดชืด

ดุจดังไข่มุกเท่าเมล็ดข้าว จะแข่งรัศมีกับสุริยันจันทราได้อย่างไร

‘แม้พลังปราณของศิษย์พี่อวิ๋นจะไม่ได้บรรลุอีกในช่วงที่ปิดด่านหลายปีมานี้ แต่การตกตะกอนและสั่งสมนานปีนี้ทำให้เขามีรากฐานพลังแข็งแกร่ง สามารถผงาดเหนือผู้กล้าในปัจจุบันได้อย่างไม่ต้องสงสัยแล้ว ยามมหายุคมาเยือน ศิษย์พี่อวิ๋นออกจากด่าน ทั้งดินแดนรกร้างโบราณแห่งนี้… คงสั่นสะท้านเพราะเขากระมัง’

ข่งหลิงทอดถอนใจในใจ

ทันใดนั้นนางก็เก็บความรู้สึกนึกคิด แววตางดงามกระจ่างราวเพชรใส

‘แม้ศิษย์พี่อวิ๋นไม่สนใจเรื่องสถิติของตนเมื่อสิบปีก่อนถูกผู้อื่นทำลายลง แต่ข้าก็อยากไปดูเสียหน่อยว่านี่เป็นเรื่องที่อริยเทพที่ไหนทำกันแน่…’

ข่งหลิงรู้ถึงความอัศจรรย์ของสิบสองหอเป็นอย่างดี ทั้งรู้ดีว่าหมายจะทำลายสถิติในตอนนั้นของอวิ๋นชิ่งไป๋เป็นเรื่องยากลำบากและไม่น่าเชื่อปานใด

แต่ตอนนี้ ทุกอย่างนี้กลับเปลี่ยนไปแล้ว!

นี่ทำให้ข่งหลิงเหมือนเห็นตำนานที่ตนชื่นชมยกย่องเรื่องหนึ่งถูกทำลาย ในใจจึงไม่อาจยอมรับได้

สวบ!

ไม่นานนักนางก็แปลงร่างเป็นนกยูงที่มีปีกงามเด่นสะดุดตา พุ่งทะลุเมฆาออกไปจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า เคลื่อนตัวไปยังเมืองนภาม่วง

……

เมืองแสงเขียว หอสำแดงมรรค

ต้นหญ้าขึ้นเต็ม ตะไคร่เขียวขึ้นเป็นลายพร้อย

หนึ่งในสิบสองหอแห่งนี้กลับมีทัศนียภาพเงียบเหงาไร้ร่องรอยมนุษย์

หลินสวินอึ้งไป “ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”

เซียวชิงเหอเอ่ยทอดถอนใจ “ปกตินัก หอนี้ตั้งแต่ถูกสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างขึ้นเมื่อสิบปีก่อนยึดครอง ก็ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นรกร้างแล้ว”

ตามคำพูดของเขา มีเพียงผู้ที่ทำลายสถิติสูงสุดของหอสำแดงมรรคแห่งนี้เท่านั้น ถึงมีโอกาสได้วาสนาที่ซ่อนอยู่ในหอนี้ไปครอง

สิบปีก่อนอวิ๋นชิ่งไป๋เหยียบเข้ามาในหอสำแดงมรรคแห่งนี้ แล้วขึ้นไปถึงจุดสูงสุดได้ในครั้งเดียว

ความสูงของสถิติที่เขาสร้างไว้ย่อมเรียกได้ว่ายากพบเห็นในอดีต ทำให้ผู้ที่มาทีหลังคว้าน้ำเหลวกลับไป ไม่ได้อะไรติดมือเลย

มิหนำซ้ำเพื่อเข้าไปในหอสำแดงมรรค จะต้องจ่ายแกนวิญญาณขั้นสูงถึงห้าหมื่นก้อนเต็มๆ ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่บนโลกเห็นสถานการณ์เช่นนี้ต่างถอยกลับไป

“สำหรับผู้ฝึกปราณที่ระดับต่ำกว่าระดับราชันแล้ว สถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้ที่หอสำแดงมรรคก็เหมือนมหาบรรพตที่ไม่อาจสั่นคลอนได้ลูกหนึ่ง อีกทั้งจะขึ้นหอก็ต้องเสียแกนวิญญาณก้อนยักษ์ ใครจะกล้ามาฝ่าด่านกัน”

เซียวชิงเหอสีหน้าซับซ้อน

หอสำแดงมรรคยิ่งรกร้างและเงียบเหงา ก็ยิ่งขับเน้นว่าอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีกก่อนไม่ธรรมดาปานไหน กำราบจนผู้ฝึกปราณต่างไม่กล้ามาท้าทาย เรียกได้ว่าพลานุภาพราวดวงระวี ส่องสว่างเหนือเวิ้งฟ้าเพียงดวงเดียว!

“แกนวิญญาณขั้นสูงห้าหมื่นชิ้น”

มุมปากหลินสวินก็กระตุกขึ้นอย่างยากสังเกต

เพียงแค่ขึ้นหอก็ต้องจ่ายแกนวิญญาณก้อนใหญ่ยักษ์เช่นนี้ อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติทั่วไปเลย เกรงว่าต่อให้เป็นผู้สืบทอดของสำนักโบราณก็รู้สึกเปลืองแรงและเข้าเนื้อกันทั้งสิ้น

“แน่นอนว่าถ้าหากสามารถทำลายสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋ได้ เช่นนั้นคุณประโยชน์ก็มหาศาล ลือกันว่าบนชั้นบนสุดของหอสำแดงมรรคนั่นมีเบาะรองนั่งมหามรรคในระดับต่างๆ กันเก้าแบบ”

“เบาะรองนั่งมหามรรคทุกแบบ ต่างสามารถช่วยเหลือและยกระดับการบำเพ็ญมหามรรคของผู้ฝึกปราณไม่มากก็น้อย”

ดวงตาเซียวชิงเหอเจือแววประหลาด “ในอดีต ที่หอสำแดงมรรคแห่งนี้เคยมีเบาะรองนั่งมหามรรคแบบต่างๆ เช่นสีดำ สีขาว สีเหลือง สีชาด… กระทั่งอวิ๋นชิ่งไป๋เมื่อสิบปีก่อนขึ้นหอไป ก็ปรากฏเบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงเพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

“ตามการคาดเดา เบาะรองนั่งมหามรรคสีม่วงนี้เป็นเบาะรองนั่งที่มีคุณภาพดีที่สุด นั่งสมาธิบนนั้นสามารถทำให้พลังมหามรรคของผู้ฝึกปราณแปรสภาพ!”

หลินสวินก็รู้ข้อมูลเหล่านี้มาก่อน แต่รู้เพียงคร่าวๆ และตอนนี้พอได้ยินคำพูดของเซียวชิงเหอทำให้ใจเขาสั่นสะท้านแรงกล้า

ทำให้พลังปราณมหามรรคแปรสภาพ!

นี่ต้องเป็นสิ่งล่อใจที่ไม่ว่าผู้ฝึกปราณคนไหนต่างไม่อาจปฏิเสธได้

มหามรรคยาก บำเพ็ญมรรคยิ่งยากกว่า โดยเฉพาะพลังหยั่งรู้มหามรรคยิ่งยากเสียยิ่งกว่ายาก!

ด้วยการหยั่งรู้และรากฐานพลังของหลินสวิน ตอนนี้ก็ทำได้เพียงบรรลุระดับแก่นมรรคของมหามรรคแห่งธาตุน้ำและไฟ

ส่วนการควบคุมมรรคดับดารากลืนกิน ยังเพิ่งถึงระดับท่วงทำนองแห่งมรรค ห่างจากระดับเจตจำนงแห่งมรรคอีกไม่น้อย ระดับแก่นมรรคยิ่งไม่ต้องพูดถึง

แต่วาสนาที่ซ่อนอยู่ในหอสำแดงมรรคแห่งนี้กลับสามารถทำให้พลังปราณมหามรรคของผู้ฝึกปราณแปรสภาพได้ นี่ย่อมดูเหลือเชื่อนักอย่างไม่ต้องสงสัย

แน่นอนว่าเรื่องที่ต้องทำให้ได้ก่อนได้วาสนามาครองก็คือ ต้องทำลายสถิติที่อวิ๋นชิ่งไป๋สร้างไว้เมื่อสิบปีที่แล้วให้ได้ก่อน!

ซ่า!

หลินสวินสะบัดแขวนเสื้อหนึ่งครั้ง แกนวิญญาณขั้นสูงก็ไหลเข้าไปในปากรูปปั้นเทพผีซิวหน้าประตูใหญ่หอสำแดงมรรคราวกระแสน้ำ

“เจ้า… คิดจะฝ่าด่านจริงหรือ” เซียวชิงเหอกำลังทอดถอนใจ ทันใดนั้นก็เห็นหลินสวินทำเช่นนี้เข้าจึงพลันตกใจสะดุ้งโหยง

“ข้าไม่ได้เป็นนักเดินทางที่มาทัศนาโบราณสถาน ใคร่ครวญอดีตปัจจุบันสักหน่อย” หลินสวินไม่แม้แต่จะหันหน้ามามอง เงาร่างไหวูบพุ่งเข้าไปในหอสำแดงยุทธ์แล้ว

“ไอ้หมอนี่ไม่วิปลาสก็วิปริต!”

เซียวชิงเหอตื่นตะลึงอ้าปากค้าง เขาออกจะสงสัยว่าหลินสวินมีความแค้นกับอวิ๋นชิ่งไป๋หรือไม่

เมื่อผู้ฝึกปราณคนอื่นได้ยินสถิติและกิตติศัพท์ของอวิ๋นชิ่งไป๋ ก็ต้องรู้สึกกดดันและลังเลบ้างไม่มากก็น้อย แต่เจ้าหมอนี่กลับต่างไป ทุกครั้งล้วนตรงไปตรงมาเฉียบคมเช่นนั้น ไม่มีการไตร่ตรองเลย

ราวกับว่าสำหรับเขาแล้ว การเอาชนะสถิติของอวิ๋นชิ่งไป๋เดิมทีก็เป็นเรื่องที่เขาควรทำ

“สีม่วงก็เป็นตัวแทนเบาะรองนั่งมหามรรคที่คุณภาพดีที่สุดแล้ว เจ้าหมอนี่คิดจะทำลายสถิตินี้ น่ากลัวว่าจะเหลือเชื่อนัก…” ไม่นานนักเซียวชิงเหอก็ขมวดคิ้ว

เขาไม่ได้ไม่ชื่นชมหลินสวิน แต่ก็รู้ดีว่าสถิติสูงสุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันของหอสำแดงมรรคได้ถูกอวิ๋นชิ่งไป๋เอาไปแล้ว คิดจะทำลายก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

นอกเสียจาก…

มีปาฏิหาริย์บังเกิด!

……

เมื่อหลินสวินเดินเข้าไปในหอสำแดงยุทธ ถึงได้พบว่าที่ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าคือแท่นมรรคลายพร้อยและเก่าแก่แท่นหนึ่ง และบันใดหินแถวหนึ่งเป็นชั้นๆ ขึ้นไป

ขั้นบันไดมีเก้าขั้น ธรรมดาสามัญนัก

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป เหนือแท่นมรรคก็เป็นเพียงยกพื้นว่างเปล่าที่มีพื้นที่ไม่กี่จั้ง

แต่เมื่อหลินสวินก้าวขึ้นไปบนขั้นบันไดขั้นแรก ภาพตรงหน้าก็แปรเปลี่ยนในทันใด

ความมืดมิดเข้าปกคลุม มืดสนิท ยื่นมือออกไปไม่เห็นนิ้วมือทั้งห้า ในการรับรู้ของหกรับรู้ก็ไม่รู้สึกถึงกลิ่นอายใดๆ เงียบสงัดจนพาให้กดดัน

ยืนอยู่ภายในนั้นน่ากลัวเสียยิ่งกว่าดวงตามืดบอด เพราะขนาดการรับรู้ยังไม่อาจจับภาพอื่นได้นอกจากความมืดมิด

“เริ่มสำแดงมรรค!” เสียงคลุมเครือเลื่อนลอยเสียงหนึ่งดังขึ้น

หลินสวินสูดลมหายใจลึก หลังจากนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือขวาออกไป เหนือนิ้วมือพลันปรากฏหยดน้ำใสแวววาวขึ้นหยดหนึ่ง

ต่อมาหยดน้ำก็สั่นเบาๆ แล้วพลันระเบิดออกเป็นฝอยน้ำเล็กละเอียดราวขนโคเส้นแล้วเส้นเล่าดุจสายหมอก

จากนั้นฝอยน้ำแต่ละเส้นก็หมุนวนในจิตใจหลินสวิน แปรสภาพเป็นน้ำใสเส้นหนึ่ง ธารน้อยสายหนึ่ง ทะเลสาบแห่งหนึ่ง แม่น้ำสายยาวสายหนึ่ง…

โครม!

ท่ามกลางความมืดมิด คลื่นน้ำส่งเสียงโครมคราม ลูกคลื่นซัดสาด มหาสมุทรไพศาลแห่งหนึ่งปรากฏขึ้น แสดงให้เห็นพลังเกรียงไกรของมหาสมุทรรวมร้อยนที หมื่นธารากลับสู่ต้นกำเนิด

เหนือเวิ้งฟ้า พายุฝนชโลมลงมาบดบังห้วงอากาศ

ชั่วพริบตา พื้นที่ว่างเปล่ามืดมิดและเงียบเชียบไร้เสียงแห่งนี้ก็กลายเป็นพิภพวารี

กว้างใหญ่ราวมหาสมุทร เล็กดังหยาดพิรุณ ต่างสำแดงลักษณะอันงดงามต่างๆ ของ ‘น้ำ’ ออกมา

เพียงแต่พร้อมๆ กับที่หลินสวินสะบัดแขนเสื้อ ลูกไฟลูกหนึ่งก็ปรากฏขึ้น ในตอนแรกเล็กจิ๋วเหมือนเมล็ดเพลิง จากนั้นก็แปรสภาพเป็นคบเพลิงแผดเผาแรงกล้า และต่อมาก็กลายเป็นธารเพลิงหินหนืด ทะเลเพลิงห้อตะบึง…

กระทั่งต่อมากลางฟ้าดินมีแสงเพลิงกำเริบเสิบสาน เผาไหม้ฟ้าดิน สลายความมืดมิด ให้ความรู้สึกเจิดจ้าเหลือคณา

โครม!

โลกของน้ำและไฟเป็นตัวแทนของพลังแก่นมรรคที่หลินสวินครอบครองสองชนิด และสำแดงออกมาในขณะนี้

สิ่งแรกไพศาลเกรียงไกร หมื่นธารากลับสู่ต้นกำเนิด สิ่งหลังเหิมเกริมโอหัง เจิดจ้าเหลือคณา แสดงให้เห็นภาพงดงามสะท้านใจคน

ตู้ม!

เพียงแต่ทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง หลังหลินสวินสำแดงพลังมรรคดับดารากลืนกินออกมาอย่างไม่ออมมือแม้แต่น้อย กลางฟ้าดินราวกับปรากฏเหวใหญ่เหวหนึ่ง เบื้องบนกลืนกินสรวงสวรรค์ เบื้องล่างกลืนกินใต้พิภพ!

ปรากฏการณ์ทั้งหมดเริ่มบิดเบี้ยว สั่นสะเทือน ยุ่งเหยิง… กระทั่งดับสลายกลายเป็นความว่างเปล่าไปพร้อมกัน

โลกแห่งน้ำและไฟได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ถูกพลังน่าหวาดหวั่นที่ทั้งกลืนกินและดับสลายเช่นนั้นควบคุมชักใย

ชั่วพริบตามหาสมุทรไพศาลก็พัดกระพือหลุมดำวังน้ำวนดุดัน หินหนืดคำรามกลายเป็นพายุเปลวเพลิงม้วนตลบฟ้าดิน…

โดยไม่ทันรู้ตัวกลับมีปรากฏการณ์น่าหวาดหวั่นอย่างวันเสื่อมถอย จะพาให้หมื่นมรรคสูญสิ้นอุบัติขึ้น!

โครม!

และไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร หลังจากหลินสวินสำแดงพลังปราณมหามรรคเสร็จสิ้น ภาพปรากฏการณ์ที่เรียกได้ว่าสะท้านโลกาตรงหน้าแต่ละภาพก็มลายหายไปด้วย

จากนั้นทัศนวิสัยตรงหน้าก็ผันแปรไป ยามเห็นภาพตรงหน้าได้ชัดเจน หลินสวินถึงได้ค้นพบในทันทีว่าตนมาถึงบนแท่นมรรคโบราณลายพร้อยนั่นไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

สำเร็จแล้วหรือ

หลินสวินออกจะงุนงงไม่เข้าใจ

และในตอนนี้เอง บนแท่นมรรคที่ว่างเปล่าไม่มีสิ่งใดแต่เดิม กลับมีเบาะรองนั่งเก้าใบปรากฏขึ้นมาอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเสียงคำรามแปลกประหลาดระลอกหนึ่ง

บ้างมีสีชาดราวเพลิงแผดเผา

บ้างมีสีขาวโพลนราวหิมะ

บ้างมีสีเขียวราวหยก

……

สายตาของหลินสวินกวาดมองแต่ละใบ ในที่สุดก็มาหยุดที่เบาะรองนั่งใบที่เก้า

เบาะรองนั่งนี้มีสีม่วงที่งดงามและศักดิ์สิทธิ์ ดูโดดเด่นผิดธรรมดา

เมื่อเทียบกับเบาะรองนั่งใบนี้ แม้เบาะรองนั่งอีกแปดใบจะต่างมีความอัศจรรย์ แต่รังสีของพวกมันกลับถูกเบาะรองนั่งสีม่วงใบนั้นบดบังไว้

สีหน้าหลินสวินพลันประหลาดไป

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท