มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 490
การต่อสู้กับหยูเชียนฮั่ว ทำให้ หลัวซิวได้รับบาดเจ็บสาหัส แม้จะมีพลังสองระดับความเป็นตายและพลังผู้เป็นอมตะ ก็ไม่สามารถช่วยให้เขาฟื้นตัวได้เต็มที่ในช่วงเวลาสั้น ๆ ดังนั้นเขาจึงต้องส่งเกาเหลียนหงไปช่วยเหลือ
เกาเหลียนหงนั้นอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 7 แม้จะลำบากไม่หน่อยแต่ก็สามารถใช้ตราขลังมังกรเขียวได้ ด้วยตราประทับเดียว แม้ว่าเขาจะไม่สามารถทำร้ายผู้แข็งแกร่งมกุฎยุทธ์ได้ แต่ก็ไม่ยากที่จะโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ถอยกลับตกเข้าไปในค่ายพิทักษ์เขา
“หยูเชียนฮั่วตายแล้ว แค่จัดการหลี่เสวียนหยาง ตัวปัญหาผู้นี้ทิ้ง ก็จะเป็นเวลาที่สำนักไท่เสวียนของข้าเปิดสำนักเขา!”
หลัวซิวกลับมาปิดกั้นรักษาบาดแผลในหอฝึกฝนในแดนปริศนาต่อ แม้ว่าอาการสาหัสมากกับการต่อสู้กับหยูเชียนฮั่ว แต่ก็เป็นโชคของเขา การกระตุ้นเป็นอมตะ หลังจากที่อาการบาดเจ็บหายดี ผลการฝึกฝนของเขาก็จะเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งขั้นจากเดิม!
ตามคำสั่งของหลัวซิว เกาเหลียนหงรีบไปที่บริเวณเขาเทียนเหอ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักฉางเหอด้วยความเร็วที่เร็วที่สุด
เมื่อมองขึ้นไป ท้องฟ้าเหนือแม่น้ำใหญ่ ภายใต้การนำของเจ้าสำนักฉางเหอ ศิษย์ของสำนักฉางเหอทั้งหลายกำลังขับเรือรบสองลำ ต่อสู้ระยะประชิดอย่างดุเดือดฆ่าฟันกับศิษย์หลายร้อยคนที่นำมาโดยเจ้าสำนักเสวียนหยาง
เกาเหลียนหงบินอยู่กลางอากาศพร้อมกับตราขลังในมือ รัศมีของผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์แผ่ซ่านไปทั่วกายของเขา ทำให้เจ้าสำนักฉางเหอและเจ้าสำนักเสวียนหยางต่างก็ตะลึงงัน
พวกเขาทั้งหมดสามารถสัมผัสได้ว่าแข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ที่ไม่รู้จักนี้ มีผลการฝึกฝนที่สูงกว่าพวกเขาสองคนมาก และไม่รู้ว่าเขาเป็นศัตรูหรือมิตร
ดังนั้นทั้งเจ้าสำนักฉางเหอและเจ้าสำนักเสวียนหยางต่างไม่กล้าที่จะทำอะไรทั้งนั้น
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาประหลาดใจก็คือจักรพรรดิยุทธ์ ที่ไม่รู้จักผู้นั้น ไม่ได้โจมตีกับฝ่ายใดเลย แต่บินตรงไปยังม่านแสงของค่ายพิทักษ์เขาที่ปกคลุมเขาเทียนเหอ
“สหายผู้นี้ชื่ออะไร ไม่รู้ว่าเป็นศัตรูหรือมิตรกับสำนักฉางเหอของเรา?”เจ้าสำนักฉางเหอตะโกนถามเสียงดัง
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เกาเหลียนหงก็หยุดบินพร้อมคิดในใจว่าเจ้าสำนักเคยบอกข้าว่าสำนักฉางเหอเป็นพันธมิตร และคนผู้นี้น่าจะเป็นเจ้าสำนักของสำนักฉางเหอ
เขามองไปที่เจ้าสำนักฉางเหอและพูดเสียงดังว่า “ข้าคือผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน เกาเหลียนหง ได้รับคำสั่งจากเจ้าสำนักมาช่วยสำนักฉางเหอ”
“ไท่เสวียน?” เจ้าสำนักฉางเหอตกใจเล็กน้อย สักพักเขาก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าเขาจำได้ว่าครั้งแรกที่หลัวซิวมา เขาเรียกตัวเองว่าเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน
เรื่องนี้ทำให้เจ้าสำนักฉางเหอดูประหลาดใจ ไม่รู้ว่าหลัวซิวเชิญผู้แข็งแกร่งจักรพรรดิยุทธ์ช่วงปลายผู้นี้มาเป็นผู้คุมกฎได้อย่างไร
แม้แต่สำนักฉางเหอและสำนักเสวียนหยาง ก็ไม่มีผู้แข็งแกร่งระดับนี้ ยกเว้นอาจารย์มกุฎยุทธ์ ผลการฝึกตนสูงสุดคือเขาและเจ้าสำนักเสวียนหยาง ก็ถึงเพียงแดนจักรพรรดิยุทธ์ขั้น 4 เท่านั้นเอง
นอกจากนี้ เจ้าสำนักฉางเหอยังรู้ด้วยว่าอาการบาดเจ็บของอาจารย์สามารถฟื้นตัวได้เพราะพึ่งยาที่หลัวซิวให้ ในเมื่อคนผู้นี้เป็นผู้คุมกฎของนักไท่เสวียน เขาจึงเป็นพวกของหลัวซิว เป็นมิตรไม่ใช่ศัตรู
หลังจากนั้น เจ้าสำนักฉางเหอก็สงสัยอีกครั้ง เพราะเกาเหลียนหงผู้ผู้คุมกฎของสำนักไท่เสวียน กล่าวว่าเขามาที่นี่เพื่อช่วยเขา แต่ทำไมเขาไม่ทำอะไรเลยแค่ยืนนิ่งเหม่ออยู่นอกค่ายพิทักษ์เขาล่ะ?
เห็นเพียงเกาเหลียนหง มือข้างหนึ่งไขว้อยู่ข้างหลังและอีกมือหนึ่งถือตราขลังมังกรเขียว มองไปที่ค่ายพิทักษ์เขาด้วยความสนใจ
ทันใดนั้น ม่านแสงค่ายกลสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง รอยแตกถูกฉีกออกอย่างแรง ร่างๆหนึ่งบินออกมา คือป๋ายหลี่หยวนหลง
ก่อนที่ป๋ายหลี่หยวนหลงจะหายใจเข้า ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงอันตราย เงาสีดำขนาดใหญ่ปกคลุมเหนือศีรษะเขา
“ผู้ใดกล้าโจมตีข้า”
ป๋ายหลี่หยวนหลงคำรามอย่างโกรธจัด เงยหน้าขึ้นมอง เห็นเพียงเนินเขาสีเขียวเล็กๆ กระแทกมาที่ศีรษะเขา
เขาผนึกรวมพลังจิตแท้พร้อมตบฝ่ามือออกไปทันที แต่เนินเขาสีเขียวอ่อนนั้นหนักมาก เกิดแรงมหาศาลทำให้ร่างของเขาไม่สามารถยืนหยัดได้ในทันที เขาตกเข้าไปในรอยแตกของม่านแสงค่ายกลอีกครั้ง
“ไอ้สารเลว!” ป๋ายหลี่หยวนหลงแทบอาเจียนออกมาเป็นเลือด เขาออกจากค่ายพิทักษ์เขาไม่ง่ายเลย กลับถูกทุบกลับเข้าไปอีกครั้ง