มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 524
เหว้ยห้าวหรานได้ยินดังนั้นก็รีบใช้ตัวสำนึกแทรกเข้าไปในม้วนหยกนั้น ทันใดนั้นดวงตาแก่ชราของเขาก็เปล่งประกาย แล้วดื่มด่ำอยู่กับเนื้อหาด้านในม้วนหยก
ในเส้นทางของค่ายกลนั้นมีเส้นทางที่ล้ำลึก โดยจะแบ่งออกเป็น 3 พรรค พรรคแรกคือพรรคค่ายกล ซึ่งเป็นพรรคที่หลัวซิวกำลังศึกษา โดยใช้ค่ายกลมาช่วยในการฝึกตนเพื่อยกระดับพลังการต่อสู้ เชี่ยวชาญในการจัดวางค่ายกลทุกประเภท
พรรคที่สองคือพรรคฮู้ ชำนาญในการทำฮู้ทุกชนิด แม้ว่าการฝึกตนจะไม่แข็งแกร่งมากนัก แต่หากใช้ฮู้จำนวนมาก แม้ว่าจะต้องเจอกับคนที่ฝึกตนแข็งแกร่งกว่าตนก็ยังต้องถอยหนีไม่กล้าเข้ามาข้องเกี่ยว
ส่วนพรรคที่สาม คือพรรคหุ่นเชิด ชำนาญในการฝึกฝนฮู้ ซึ่งเป็นเส้นทางที่เหว้ยห้าวหรานชำนาญ
ในบรรดาค่ายกล 3 พรรคนี้ จักรพรรดิยุทธ์เสวียนดำอยู่ในพรรคค่ายกล แต่ในฐานะที่เขาเป็นถึงปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 9 เขาจึงมีส่วนข้องเกี่ยวกับอีกทั้งสองพรรคที่เหลือด้วย ด้วยความรู้และประสบการณ์ของเขาสามารถทำให้เหว้ยห้าวหรานบรรลุขั้น 7 ได้อย่างง่ายดาย
นอกจากนี้แล้ว การฝึกตนของหลัวซิวอยู่ในแดนจักรพรรดิยุทธ์ สามารถใช้วัฏจักรเพื่อให้ได้รับข่าวสารที่เกี่ยวข้องจากแดนจักรพรรดิยุทธ์ได้ ทำให้เขาสามารถสืบวิชาหุ่นเชิดค่ายกลขั้น 6 ที่สาบสูญไปแล้วได้อย่างง่ายดาย จึงดึงดูดความสนใจของเหว้ยห้าวหรานเอาไว้ได้
เหว้ยห้าวหรานได้ถูกเนื้อหาในม้วนหยกดึงดูด เขาอ่านมันโดยสูญเสียการควบคุมตนเองไปแล้ว ผ่านไปพักใหญ่เขาถึงจะได้สติกลับคืนมา
แน่นอนว่าม้วนหยกที่หลัวซิวให้เขา ไม่ใช่ม้วนหยกที่มีเนื้อหาสมบูรณ์ แต่หยิบเอาเพียงเนื้อหาที่สำคัญออกมาส่วนหนึ่งที่เพียงพอที่จะดึงดูดเหว้ยห้าวหรานได้เท่านั้น
หากเหว้ยห้าวหรานต้องการเนื้อหาในส่วนที่เหลือ แน่นอนว่าเขาต้องเข้าร่วมสำนักไท่เสวียนเท่านั้น
เหว้ยห้าวหรานเองก็เข้าใจประเด็นนี้ดี เขารู้ว่าม้วนหยกที่หลัวซิวให้เขาเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ตัวล่อ ตอนนี้หัวใจของเขาราวกับถูกตะครุบเอาไว้แล้ว เขามั่นใจมากว่าหากเขาได้รับเนื้อหาส่วนที่เหลือ การบรรลุปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7 จะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
หลัวซิวรู้จักนิสัยของเหว้ยห้าวหรานดี เขาจึงไม่อยากอ้อมค้อมจึงกล่าวออกไปตรงๆ ว่า “ตำหนักผู้คุมกฎสิบแปดของสำนักไท่เสวียน ตอนนี้มีเพียงสองตำหนักเท่านั้นที่มีเจ้าของ หัวหน้าเหว้ยอยากจะเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยหรือไม่”
เหว้ยห้าวหรานได้ยินดังนี้ ก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วก้มตัวคารวะ “เหว้ยห้าวหราน ขอคารวะท่านเจ้าสำนัก”
สีหน้าของหลัวซิวปรากฏรอยยิ้มออกมา การที่ได้เหว้ยห้าวหรานเป็นผู้คุมกฎ ถือเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อสำนักไท่เสวียน นอกจากเขากำลังจะกลายเป็นปรมาจารย์นักค่ายกลขั้น 7แล้ว เขายังมีฐานะเป็นถึงประธานแก๊งนักค่ายกลแห่งประเทศเทียนหวูด้วย ซึ่งจะทำให้สามารถสรรหานักค่ายกลเข้าสำนักไท่เสวียนได้อีกเป็นจำนวนมาก เพื่อเสริมบารมีของสำนัก
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้แล้ว หลัวซิวจึงอมยิ้ม “ผู้คุมกฎเหว้ยไม่ต้องมากพิธีหรอก นับแต่นี้เป็นต้นไป นอกจากท่านจะได้รับหน้าที่คุมกฎแล้ว ยังต้องมานั่งที่หอค่ายกล ที่นั่นมีสิ่งที่ท่านต้องการ”
ระหว่างที่กล่าว หลัวซิวก็ยกมือโยนป้ายบัญชาการออกมา “ด้วยป้ายบัญชาการนี้ ท่านสามารถเข้าออกหอค่ายกลได้ สำนักไท่เสวียนของพวกเรากำลังจะเปิดแล้ว จึงต้องการความทุ่มเทจากผู้คุมกฎเหว้ย”
“ท่านเจ้าสำนักโปรดวางใจ ข้าไม่มีทางละเลยหน้าที่” เหว้ยห้าวหรานรับปากในทันที
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เกาเหลียนหงที่เพิ่งบรรลุแดนมกุฎยุทธ์ก็สามารถควบคุมการฝึกตนให้มั่นคง พลังจิตแท้ทั่วร่างของเขาบริสุทธิ์ เคลื่อนไหวอย่างไร้รูปร่าง สามารถทำให้พลังแห่งโซนรอบกายแปรเปลี่ยนได้
วันนี้หลัวซิวออกมาจากตำหนักวัฏสงสาร และหยุดยืนอยู่ด้านหน้า เพื่อมองไปรอบๆ สำนักไท่เสวียน
เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงลู่เมิ่งเหยาขึ้นมา เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ตั้งแต่ที่ลู่เมิ่งเหยาถูกผู้แข็งแกร่งปริศนาจับตัวไป เขาก็ไม่รู้ข่าวคราวของเธออีก
ไหนจะยังมีปี้เซียนเสว่ที่ผ่านอุปสรรคด้วยกันมาในแดนปริศนา หลังจากที่เข้าร่วมกับสำนักฉางเหอ สำนักฉางเหอก็ถูกโจมตีจนล่มสลายไป ตอนนี้จึงไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดีอย่างไรบ้าง
เรื่องของโชคชะตาเป็นเรื่องที่มนุษย์ยากจะคาดเดาได้ ได้แต่ดำเนินชีวิตไปทีละก้าวและแก้ไปทีละก้าว และทำตามความตั้งใจของตนเอง อย่าทำให้ตัวเองหมดหวังในตัวเองก็เท่านั้น
แสงอาทิตย์เฉิดฉายขึ้นกลางฟ้า ผู้คนในสำนักเขาไท่เสวียนต่างเดินออกมาจากที่พักของตัวเอง การฝึกตนปิดขังจำเป็นต้องหยุดเอาไว้ชั่วคราว
เนื่องด้วยวันนี้ เป็นวันสำคัญที่สำนักเขาไท่เสวียนจะเปิดสำนัก