Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1029 ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ

ตอนที่ 1029 ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ

ตอนที่ 1029 ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ
เงาร่างทั้งสองร่วงลงพื้น ส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด และตื่นจากอาการหมดสติ

“เทพมารหลิน เจ้ากล้ากดขี่พวกเราถึงตอนนี้เชียวหรือ”

“น่าชังนัก!”

สองคนนี้ก็คือเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ที่ถูกหลินสวินจับตัวมาจากแคว้นกู่ชางในตอนแรก

ตอนเห็นหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า สีหน้าของทั้งสองเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ด่าอย่างระอุ ในสายตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น

เซียวชิงเหอที่อยู่ข้างๆ อึ้งไป เทพมารหลินงั้นหรือ เป็นเขา?

ในใจเขาสะท้าน ในที่สุดก็ตระหนักได้ว่าเจ้าคนที่ถูกเขามองว่าเป็นคนวิปริตนี้เป็นอริยเทพจากไหนแล้ว

ในฐานะบุคคลขอบเขตมกุฎของคนรุ่นเยาว์แห่งแดนชัยบูรพา แน่นอนว่าไม่มีทางที่เซียวชิงเหอจะไม่เคยได้ยินชื่อหลินสวินที่มาจากแดนฐิติประจิม

แต่เซียวชิงเหอก็ยังคิดไม่ถึงว่า คนหนุ่มที่ดูเหมือนหล่อเหลาสะอาดสะอ้านโดดเด่นตรงหน้า กลับเกี่ยวข้องกับฉายา ‘เทพมารหลิน’

“หลินสวิน จะฆ่าจะแกงกันเจ้าก็เข้ามาเลย แต่หากคิดใช้วิธีแบบนี้หยามหน้าพวกเราก็ฝันไปเถอะ!”

จางเจิงโกรธจนหน้าเขียว กัดฟันพูด

ไม่ว่าใครที่ถูกกดข่มมานานขนาดนี้ ก็ย่อมต้องไฟสุมอก

แม้เสวี่ยเชียนเหินจะพูดน้อย แต่สีหน้าก็อึมครึมอย่างที่สุด เป็นถึงศิษย์แกนหลักของแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ ตอนนี้กลับถูกลดฐานะเป็นนักโทษ ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานอย่างที่สุด

ทว่าไม่ว่าจะเป็นจางเจิงหรือเสวี่ยเชียนเหินต่างมั่นใจว่า หลินสวินไม่กล้าฆ่าพวกเขา

เหตุผลง่ายมาก ฐานะของพวกเขาก็เห็นๆ กันอยู่ หากฆ่าพวกเขา ชาตินี้หลินสวินย่อมหนีการถูกแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ตามฆ่าไม่พ้นแน่!

ขอเพียงแค่เป็นคนฉลาดก็จะรู้ว่าควรเลือกอย่างไร

ไม่เช่นนั้นเป็นไปได้อย่างไรที่เขาหลินสวินจะกดขี่พวกเขาจนถึงตอนนี้ แต่ยังไม่กล้าพรากชีวิตพวกเขาเสียที

“ทั้งสองท่าน ข้าเข้าใจความคิดของพวกเจ้า คงคิดว่ามีแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์หนุนหลังพวกเจ้า ข้าจึงไม่กล้าล่วงเกินพวกเจ้าเกินไป”

สีหน้าของหลินสวินนิ่งสงบราบเรียบ เหลือบมองลงมายังทั้งสอง “น่าเสียดายพวกเจ้าเดาผิดแล้ว ที่ก่อนหน้านี้ไม่ฆ่า เพราะพวกเจ้ายังมีผลประโยชน์ หากถูกผู้ยิ่งใหญ่สำนักเจ้าไล่ตามมา ก็สามารถเอาพวกเจ้ามาเป็นตัวประกันสร้างคุณค่าสักหน่อย”

หยุดไปครู่เขาจึงพูดต่อ “แต่เห็นได้ชัดว่าตอนนี้แม้คุณค่าเพียงเท่านี้พวกเจ้าก็ไม่มีแล้ว ข้ารอมาหนึ่งเดือนกว่าก็ไม่เห็นว่าคนใหญ่คนโตในสำนักของพวกเจ้าจะตามมาช่วยพวกเจ้า เช่นนี้…”

“ข้าเก็บพวกเจ้าไว้แล้วจะมีประโยชน์อะไร”

เสียงที่สบายๆ ลอยอยู่ในพื้นที่ภูเขาท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาลนี้ กลับราวกับกระแสเย็นทำให้เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงต่างตัวแข็งค้าง สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

“หรือ… เจ้าจะ…” จางเจิงหน้าถอดสี ซีดขาวอย่างที่สุด

“เจ้ารู้จุดจบของการทำเช่นนี้หรือไม่” เสวี่ยเชียนเหินพยายามข่มกลั้นความตื่นตระหนกในใจ เสียงเหมือนลอดออกจากไรฟัน

“คำพูดข่มขู่เช่นนี้ ตั้งแต่ตอนที่อยู่ในแดนฐิติประจิมข้าก็เคยได้ยินมาหลายรอบแล้ว พวกเจ้าคิดว่าหากข้าเป็นคนกลัวปัญหาจริงๆ จะถูกคนในโลกเรียกว่า ‘เทพมาร’ หรือ”

ดวงตาดำของหลินสวินลึกล้ำและเยียบเย็น ไม่มีคลื่นความรู้สึกเลยแม้แต่เสี้ยวเดียว

“จำไว้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ของพวกเจ้าทำไม่ดีกับข้าก่อน เพื่อตามฆ่าข้า แคว้นกู่ชางทั้งแคว้นถูกพวกเจ้าปิดล้อม ตอนนั้นหากข้าตกอยู่ในมือของพวกเจ้า เช่นนั้นผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร”

จางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินขวัญหนีดีฝ่อแล้ว เสียงของหลินสวินยิ่งราบเรียบและนิ่งสงบ ก็ยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกกระวนกระวายและหวาดกลัว

ไม่มีใครไม่กลัวตาย

แม้เป็นอริยะ เมื่อเผชิญกับความตายก็เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่รู้สึกรู้สา!

ยิ่งไปกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่อริยะ พวกเขาอายุยังน้อย ยังมีอนาคตอีกยาวไกล ยังปรารถนาจะลืมตาอ้าปากในมหายุคที่กำลังจะมาเยือน จะยอม… ร่วงหล่นเช่นนี้ได้อย่างไร

“หลินสวิน หากเจ้าปล่อยพวกเราไป ข้าสัญญาว่าจะขอความเมตตากับสำนักให้บุญคุณความแค้นในอดีตจบเพียงเท่านี้ ไม่ทำให้เจ้าลำบากใจอีก!”

จางเจิงร้อง เขารู้สึกกลัวอย่างสิ้นเชิงแล้ว

เสวี่ยเชียนเหินเองก็พยักหน้า “ไม่ผิด หากเจ้าฆ่าพวกข้า มีแต่จะก่อพิบัติภัยที่ใหญ่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วปล่อยพวกเราไปเสีย ยังสามารถคลี่คลายเคราะห์สังหารให้เจ้าได้”

มุมปากของหลินสวินเผยรอยยิ้มอย่างมีเลศนัย พยักหน้าพูด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะถอยสักก้าว ไว้ชีวิตพวกเจ้า”

จางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินโล่งอกโดยพร้อมเพรียง

แต่ประโยคถัดไปของหลินสวินกลับทำให้พวกเขาอึ้งงันอย่างสิ้นเชิงราวกับถูกฟ้าผ่า

“โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากจะหนี ไว้ชีวิตพวกเจ้าสักครั้งก็ได้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องชดใช้สักหน่อย”

เสียงอันเรียบเฉยยังไม่ทันจบ หลินสวินก็ลงมือแล้ว

ปัง! ปัง!

พร้อมกับเสียงนั่น ทั้งสองยังไม่ทันได้ตอบสนอง จุดตันเถียนชี่ไห่ก็ถูกระเบิด แปรจุติมหามรรคที่หล่อเลี้ยงอยู่ในร่างกายยุบสลายไปตามกัน พลังปราณในร่างกายพลันถูกกำจัดอย่างสิ้นเชิง!

“หลินสวิน เจ้าสมควรตาย!”

“เจ้า! เหี้ยม! มาก…!”

เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงในตอนนี้ล้วนมีความรู้สึกล่มสลายและบ้าคลั่งไปแล้ว พลังปราณถูกกำจัด ทรมานยิ่งกว่าฆ่าพวกเขาเสียอีก!

ไม่มีพลังปราณก็เท่ากับสูญเสียฐานะ ตำแหน่งและพลัง กลายเป็นคนไร้ประโยชน์!

ความกระทบกระเทือนเช่นนี้เพียงพอที่จะทำให้ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งพังทลาย เรียกว่าตายทั้งเป็นก็ไม่เกินไป

แม้แต่เซียวชิงเหอที่เห็นภาพนี้ในใจก็ยังไม่สามารถสงบได้ คิดไม่ถึงเลยว่าหลินสวินที่ก่อนหน้านี้ดูเหมือนพูดคุยง่ายมาก วิธีการกลับโหดเหี้ยมและเย็นชาเพียงนี้

พูดตามจริงเขาเองก็ตกใจกับเรื่องนี้!

“เมื่อครู่นี้พวกเจ้ายังพูดอยู่เลยว่าจะกลับสำนักไปขอความเมตตา คลี่คลายบุญคุณความแค้นกับข้า ตอนนี้ข้ารับปากแล้วว่าจะไว้ชีวิตพวกเจ้า พวกเจ้ากลับมีท่าทีเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังจริงๆ”

หลินสวินถอนหายใจเบาๆ จากนั้นสะบัดแขนเสื้อ พลังที่มองไม่เห็นแผ่กระจายออกมา “ไสหัวไปซะ หวังว่าพวกเจ้าจะสามารถออกจากเทือกเขาที่เต็มไปด้วยสัตว์ปีศาจนี้ได้”

ครืนโครม!

เสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงราวกับใบไม้ที่ถูกสายลมพัด ถูกส่งไปอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาอันกว้างใหญ่นี้ทันที

ในที่นั้นเงียบสงัดในชั่วขณะ เซียวชิงเหอเหมือนอยากพูดอะไรแต่ก็หยุดไป

หลินสวินพูด “มีอะไรเดี๋ยวค่อยพูด”

เขาสะบัดแขนเสื้อ มีเงาร่างอีกสองเงากลิ้งลงพื้นออกมา

“ยังมีอีกหรือ” เซียวชิงเหอเบิกตาโพลง

หลินสวินไม่ได้สนใจเขา ทอดสายตามองไป เงาร่างสองเงานั่นคืออวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจิน

ทั้งสองก็เพิ่งฟื้นจากอาการหมดสติเช่นกัน ตอนเห็นหลินสวินที่อยู่ตรงหน้า พวกนางต่างเข้าใจสถานการณ์ของตนแล้ว

ทว่าเมื่อเทียบกับพวกเสวี่ยเชียนเหิน พวกนางดูนิ่งกว่ามาก สายตาที่มองหลินสวินเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและชิงชังอย่างลึกล้ำ แต่กลับไม่ได้ก่นด่าออกมา

“เจ้า… เจ้าคงไม่ได้จะลงมือกับผู้หญิงสองคนนี้ด้วยหรอกนะ” เซียวชิงเหออดพูดไม่ได้

พอคำพูดนี้ออกมา สีหน้าของอวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจินต่างเปลี่ยนไป อะไรคือ ‘ด้วย’?

หรือเสวี่ยเชียนเหินและจางเจิงประสบเคราะห์ไปแล้ว

หลินสวินพูดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอันอึดอัดและเงียบงัน “การกำจัดพลังปราณสองคนนั้นเป็นการคุมอำนาจ ส่วนแม่นางสองคนนี้…”

พวกอวี้เป๋าเป่าต่างหัวใจกระตุกวูบ

หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งจึงหมุนตัวเดินไป “ไปเถอะ”

“ไปงั้นหรือ”

เซียวชิงเหออึ้ง อวี้เป๋าเป่าและหลิงหงจินก็อึ้งเช่นกัน

แต่หลินสวินกลับเดินไปไกลแล้ว และไม่หันกลับมามองตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนลืมเรื่องนี้ไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว

จู่ๆ เซียวชิงเหอก็หัวเราะแฮะๆ ออกมา “ข้าว่าแล้ว เป็นถึงเทพมารหลิน จะลงมือกับผู้หญิงอย่างเหี้ยมโหดเช่นนี้ได้อย่างไร”

จากนั้นเขาพลันพูดกับผู้หญิงทั้งสองว่า “ไม่ว่าพวกเจ้ากับเขาจะมีความแค้นใหญ่หลวงอะไรต่อกัน แต่อย่างน้อยครั้งนี้เขาก็ปล่อยพวกเจ้าไป เช่นนั้นโปรดทำตัวดีๆ ด้วย”

พูดจบเขาก็รีบตามไปยังทิศทางที่หลินสวินจากไป

อวี้เป๋าเป่ากับหลิงหงจินสีหน้าสับสน ต่างรู้สึกประหลาดใจอย่างที่สุด แต่ในขณะเดียวกันก็มีความรู้สึกโชคดีที่พ้นจากความตาย

“คิดไม่ถึงเลยจริงๆ ว่าบุคคลระดับเทพมารอย่างเขากลับมีตอนที่ใจอ่อน” อวี้เป๋าเป่าพูดเนิบๆ เครื่องหน้าของนางประณีตเย้ายวนด้วยเสน่ห์ เป็นผู้หญิงสวยคนหนึ่ง

“ใจอ่อนหรือ”

หลิงหงจินเองก็สีหน้าขมขื่น “ตอนอยู่ในแคว้นกู่ชาง เจ้าหมอนี่เล่นงานข้าอย่างเจ็บแสบ ทำให้ข้าแบกรับชื่อเสียงอันน่าอายของการเป็น ‘ไส้ศึก’…”

“นี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด คนโง่ถึงจะเชื่อ” อวี้เป๋าเป่าพูดปลอบ

“ไม่” หลิงหงจินสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดว่า “เจ้าคิดว่าสำนักจะมีปฏิกิริยาอย่างไรที่ครั้งนี้พวกเรากลับไปอย่างปลอดภัย”

อวี้เป๋าเป่าชะงัก สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน ตระหนักได้ถึงความรุนแรงของปัญหาแล้ว

พวกนางกับจางเจิงและเสวี่ยเชียนเหินถูกจับมาพร้อมกัน แต่สุดท้ายจางเจิงกับเสวี่ยเชียนเหินถูกกำจัดพลังปราณ มีเพียงพวกนางสองคนที่ปลอดภัยดี ใครจะไม่สงสัยว่ามีเงื่อนงำซ่อนอยู่

บอกว่าเทพมารหลินทะนุถนอมผู้หญิงเลยไม่ฆ่างั้นหรือ

ใครจะเชื่อเหตุผลเหลวไหลเช่นนี้

แต่ถ้าอธิบายไม่ชัดเจน…

จะต้องเกิดการคาดเดาไปต่างๆ นานาอย่างแน่นอน!

ถึงขั้นถูกเข้าใจว่าพวกนางทั้งสองยอมจำนนต่อหลินสวินแล้วและทำการแลกเปลี่ยนบางอย่าง จึงแลกผลลัพธ์ที่ปลอดภัยหายห่วงมาได้!

ใจคนซับซ้อนและละเอียดอ่อนที่สุด แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์เกลียดหลินสวินเข้ากระดูกมาตั้งนานแล้ว ในสถานการณ์เช่นนี้ แม้พวกนางกลับสำนักก็ต้องถูกสอบสวนและตั้งข้อสงสัย เกิดความยุ่งยากและผลกระทบที่ไม่จำเป็นมากมาย!

“หรือที่เขาปล่อยพวกเรา เพราะคาดเดาไว้แล้วว่าแม้เราหวนกลับสำนัก สถานการณ์ก็จะไม่สู้ดี?”

อวี้เป๋าเป่าตกใจกลัว

“หากเจ้าหมอนี่ไม่มีความเฉลียวฉลาดและฝีมือระดับนี้ มีหรือจะยังมีชีวิตอยู่มาจนถึงตอนนี้ทั้งที่ก่อเรื่องมากมายขนาดนั้น”

ในดวงตาคู่ใสของหลิงหงจินเผยความชิงชัง ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน นางยังไม่ลืมประสบการณ์น่าอับอายที่หลินสวินถอดเสื้อผ้าของนางจนเปลือยเปล่า

“หากเป็นจริงอย่างที่เจ้าพูด เทพมารหลินนี่… น่ากลัวเกินไปแล้ว!” อวี้เป๋าเป่าสายตาเลื่อนลอย เย็นวาบไปทั้งตัว

“พวกเราไปกันเถอะ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องคิดหาวิธีแก้ไขเรื่องนี้” หลิงหงจินสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่งแล้วลุกขึ้น

ส่วนเรื่องที่จะไปแก้แค้นหลินสวิน พวกนางไม่มีความคิดเช่นนี้แม้แต่น้อยแล้ว คิดแต่ว่าจะไปอธิบายกับสำนักอย่างไร

……

“คิดไม่ถึงเลยว่าเทพมารหลินที่ใครพูดถึงแล้วสีหน้าต้องเปลี่ยนจะทะนุถนอมผู้หญิงเช่นนี้ นับถือ นับถือจริงๆ”

ภายใต้ท้องฟ้าสีรัตติกาล ท่ามกลางเวิ้งฟ้าอันกว้างใหญ่ไพศาล เซียวชิงเหอพูดพร้อมสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม

“ตอนที่อยู่ในแคว้นกู่ชาง ข้าก็ได้รับปากแล้วว่าจะจบสิ้นบุญคุณความแค้นกับหลิงหงจิน แน่นอนว่าจะไม่ทำให้นางลำบากใจอีก”

หลินสวินพูดเรียบๆ “ส่วนอวี้เป๋าเป่านั่น… นางกลับแดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ครั้งนี้ สถานการณ์ก็คงไม่ดีสักเท่าไร นี่ไม่ใช่การลงโทษเสียที่ไหน”

เซียวชิงเหอได้ยินแล้วประหลาดใจขึ้นมา ครู่หนึ่งจึงเข้าใจ พลันร้องว่า “เจ้า…”

“ร้ายกาจหรือ”

หลินสวินพูดแทนเขา สีหน้ายังคงเรียบเฉย “ร้ายกาจก็ช่าง ข้าฆ่าเพียงแค่คนที่สมควรฆ่า ไม่ใช่ปีศาจที่กวาดล้างโลกเพื่อการแก้แค้น”

เซียวชิงเหอชะงักงัน สายตาที่มองหลินสวินพลันมีอีกความรู้สึกที่แตกต่างออกไป

ทำสิ่งที่พึงกระทำ หลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่พึงกระทำ

นี่ก็คือเทพมารหลินในคำเล่าขานหรือ

ภายในใจเซียวชิงเหอมีความรู้สึกที่พูดไม่ออก จากความประหลาดใจตกตะลึงที่มีต่อหลินสวินในตอนแรก แปรเปลี่ยนเป็นความเคารพและชื่นชม

ก่อนหน้านี้ ชาตินี้มีเพียงคนเดียวที่เขาเซียวชิงเหอชื่นชมจากใจจริง นั่นก็คือหมีเหิงเจิน สุริยันผู้กล้าอันดับหนึ่งแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา

แต่ตอนนี้ มีหลินสวินเพิ่มมาอีกคนแล้ว!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท