Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1039 อาหลู่

ตอนที่ 1039 อาหลู่

ตอนที่ 1039 อาหลู่
ในใจซูคงเปี่ยมด้วยความชื่นมื่นปานได้แก้แค้น

หลายวันก่อนในแคว้นหมึกขาวเขาถูกหลินสวินลอบโจมตี ไม่เพียงได้รับบาดเจ็บอย่างหนัก ซ้ำยังต้องแบกคำตราหน้าว่าสมคบคิดกับพวกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬอีกด้วย

สิ่งนี้พาให้เขามองว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่เสียหน้าอย่างหนักจนไม่สามารถควบคุมตัวเองได้สักนิด เริ่มเสาะหาร่องรอยของหลินสวินในทันใด

หลังผ่านการวิเคราะห์ ในมุมมองของเขา หากหลินสวินหมายจะผงาดในแดนชัยบูรพา ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าอาจเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้ด้วย

ดังนั้นซูคงจึงมาถึงที่นี่ตั้งแต่เนิ่นๆ ซุ่มรออย่างอดทนอดกลั้น

ราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสองคนหนึ่ง แต่เพื่อจัดการคนรุ่นหลังกลับไม่อายที่จะทำเช่นนี้ แสดงให้เห็นว่าเขาถูกทำให้โกรธจนกลายเป็นสภาพไหนแล้ว

ความมุมานะไม่ทรยศผู้มีความพยายาม หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ซูคงที่คิดแก้แค้นล้างอายไหนเลยจะลังเลอะไรอีก

หนำซ้ำได้ลิ้มรสบทเรียนความเจ็บปวดเมื่อคราวก่อน ครั้งนี้เขาจึงงัดพลังทั้งหมดมาใช้ทันทีที่ลงมือ!

แรงกดดันระดับราชันอันน่าสะพรึงบีบคั้นมาเยือนประหนึ่งภูเขาถล่มคลื่นยักษ์ซัดทลาย ครอบคลุมจักรวาล กดดันจนแม้กระทั่งเคลื่อนไหวหลินสวินและเซียวชิงเหอยังรู้สึกยากลำบาก

ในใจทั้งคู่ไหวสั่น คิดไม่ถึงเลยสักนิดว่าจังหวะที่กำลังจะเข้าสู่ทะเลหมากดารา เจ้าเดรัจฉานเฒ่าซูคงจะถึงกับพุ่งพรวดออกมา

หนำซ้ำทันทีที่ลงมือก็โหมโจมตีสุดกำลัง!

พลังของราชันสังสารวัฏเดิมทีก็เพียงพอจะสังหารผู้ฝึกปราณห้าระดับใหญ่คนใดก็ตามอยู่แล้ว

นับประสาอะไรกับที่ซูคงคนนี้เป็นถึงราชันที่ข้ามอมตะเคราะห์สองครา

พลานุภาพการโจมตีนี้ ต่อให้เปลี่ยนเป็นระดับราชันแท้จริงก็ยังไม่กล้าขวางคมดาบของเขาด้วยซ้ำ!

ทว่าในช่วงคับขันอันตรายไร้ใดเปรียบนี้ ภาพที่คาดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น

กระบองเหล็กสีดำเมื่อมอันหนึ่งหวดอากาศเต็มแรง ดุจดั่งเสาตะกายนภาปรากฏ ทะลวงแดนสรวง เบียดห้วงอากาศแตกระเบิด ปลดปล่อยพลังศักดิ์สิทธิ์ปานผลาญฟ้าล้างพิภพ

โครม!

กระบองเหล็กทะยานผ่านฟ้า ระเบิดปะทุขึ้นอย่างเกรี้ยวกราดรุนแรง

อานุภาพศักดิ์สิทธิ์มรรคราชันที่แต่เดิมปกคลุมกลางฟ้าดินแถบนี้ ระเบิดกระจุยโครมครามราวกับเมฆอลหม่าน ส่งเสียงกู่ก้องสะเทือนโสตจวนจะหูหนวกออกมา

และในเวลาเดียวกันนี้ซูคงที่กำลังแสยะยิ้มเย็นชาเย้ยหยันก็อึ้งงันอย่างจัง ดวงตาแทบโปนถลน ตกใจเกือบขวัญหนีวิญญาณกระเจิง

ไม่รอให้เขาตอบสนองด้วยซ้ำ กระบองเหล็กก็ซัดกวาดเข้าร่างเขาเต็มเหนี่ยว

ปัง!

ภายใต้การจับจ้องด้วยสายตาตื่นตะลึงของหลินสวินและเซียวชิงเหอ ซูคงก็ถูกกระแทกลอยออกไปเสียงดังสวบเหมือนกับกระสอบทรายก็ไม่ปาน

เสียงกระดูกกล้ามเนื้อแตกร้าวดังระงมก้องขึ้น เห็นได้ชัดว่าร่างกายอันทรงพลังไร้ใดเปรียบของซูคงถูกกระแทกจนโค้งงอบิดเบี้ยว กระดูกสันหลังแตกหักจนหมด

ท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนที่ทั้งวังเวงและน่าหวาดกลัว เขาลอยไปทางขอบฟ้าทั้งตัว และร่วงตุบลงในบริเวณส่วนลึกของลมหิมะเวิ้งว้าง

“โคตรเจ๋ง!” เซียวชิงเหอปากอ้าตาค้าง

หลินสวินก็รู้สึกพร่าตาน้อยๆ ไม่แพ้กัน ภาพนี้ชวนสะท้านใจเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย ราชันที่เหยียบย่างอมตะเคราะห์ขั้นสองคนหนึ่ง ถึงกับถูกกระบองด้ามหนึ่งกระแทกลอยจนไม่เห็นร่องรอยเหมือนหินอุกกาบาต!

ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่ยังไม่ทันเริ่มเคลื่อนไหวบนชายฝั่งทะเลหมากดาราต่างพากันสูดหายใจเฮือก ท่าทางเหมือนเห็นผีตัวเป็นๆ

ตูม!

กระบองเหล็กสีดำเมื่อมที่ซัดออกมาถูกเก็บไปแล้ว ตกสู่กลางมือเงาร่างสูงใหญ่กำยำปานภูเขาลูกหนึ่ง จากนั้นก็อันตรธานลับไป

เพียงชั่วอึดใจ กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์บีบคั้นผู้คนที่ลอยคลุ้งกลางอากาศก็หายลับตามไปด้วยเช่นกัน

เงาร่างสูงใหญ่นี่คือชายหนุ่มคนหนึ่ง ผิวสีทองแดง ใบหน้าหยาบกระด้าง คิ้วหนาราวกับหมึก ดวงตาใหญ่และทอประกาย

สิ่งที่แปลกประหลาดยิ่งคือเขาสวมชุดหนังสัตว์ เรือนผมยาวดกดำยุ่งเหยิง ผิวบริเวณไหล่แขนที่โผล่เปลือยออกมาราวกับหินผาก้อนแล้วก้อนเล่าก็ไม่ปาน!

เขายืนอยู่ตรงนั้น ดุจดั่งคนป่าเถื่อนจากถิ่นทุรกันดารดั้งเดิม แฝงกลิ่นอายบ้าระห่ำที่พาให้ผู้คนใจสั่นออกมา

เวลานี้สายตาทุกคู่ล้วนไปอยู่ที่ร่างชายหนุ่มชุดหนังสัตว์คนนี้ สีหน้าเจือแววตกใจแกมสงสัย อยากรู้อยากเห็น และเคร่งขรึม

หลินสวินและเซียวชิงเหอย่อมไม่ต่างกัน

ครั้งนี้พวกเขาสามารถหลบเลี่ยงภัยได้ ยังต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากชายหนุ่มชุดหนังสัตว์คนนี้อย่างมาก

เพียงแต่ไม่รอให้พวกเขาแสดงความขอบคุณ ชายหนุ่มเงาร่างสูงใหญ่นั้นก็ปลดปล่อยกลิ่นอายป่าเถื่อนบ้าคลั่งทั่วร่าง เอ่ยปากกล่าวเสียงดังกระหึ่ม “ข้าชื่ออาหลู่ อยากไปเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ หากในมือพวกเจ้ามีแผนภาพลับนำทางก็พาข้าไปด้วย หากไม่มีก็ช่างเถิด”

เสียงของเขาก้องกระหึ่มดั่งฟ้าคำราม คำพูดไม่มีอ้อมค้อม ตรงไปตรงมายิ่ง

“เจ้าก็อยากเข้าร่วมการประลองกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ด้วยหรือ”

เซียวชิงเหอเบิกตากว้าง ยากจะเชื่อได้ เจ้าหมอนี่ใช้กระบองเดียวก็สามารถกระแทกราชันอมตะเคราะห์ขั้นสองลอยลิ่วแล้ว ยังต้องวิ่งแจ้นมาร่วมสนุกถึงที่นี่ด้วยหรือ

อาหลู่เกาหัวแกรกๆ กล่าวด้วยความสงสัยว่า “ปีนี้ข้าเพิ่งอายุสิบเก้า ทำไมจะเข้าร่วมไม่ได้”

สิบเก้า!?

เสียงสูดหายใจเฮือกดังขึ้นแถวนั้นอีกครั้ง พูดตามตรง ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดกันว่าเจ้าคนบึกบึนคนนี้เป็น ‘ผู้อาวุโส’ คนหนึ่งเสียอีก ไหนเลยจะคาดคิดว่าจะยังเด็กถึงเพียงนี้!

และเวลานี้หลังจากกลับสู่ความเยือกเย็น หลินสวินเพิ่งสังเกตว่าถึงแม้กลิ่นอายรอบตัวอาหลู่คนนี้จะกร้าวแกร่งยิ่ง แต่ยังไม่ก้าวเหนือระดับกระบวนแปรจุติ บนตัวก็ไม่ได้มีอานุภาพเฉพาะตัวอันเป็นส่วนหนึ่งของระดับราชันด้วยซ้ำ

“แต่เมื่อครู่เหตุใดใช้กระบองเดียวเจ้าก็ซัด…” เซียวชิงเหออึ้งงัน รู้สึกว่าสมองใช้งานไม่ค่อยได้อยู่บ้าง

ไม่รอให้พูดจบอาหลู่ก็กลอกตา แสยะปากยิ้มกล่าวว่า “เจ้านี่ช่างปัญญาอ่อนเสียจริง นั่นคืออานุภาพ ‘กระบองกระดูกมังกร’ ของข้า ไม่ใช่พลังของตัวข้าเองเสียหน่อย”

บนหน้าผากเซียวชิงเหอผุดเส้นสีดำขึ้นมา ในใจอัดอั้น ถูกคนอายุสิบเก้าคนหนึ่งด่าว่าปัญญาอ่อน ความรู้สึกนี้พาให้เขาไม่ชอบใจนัก

แต่ว่าเห็นแก่ที่อีกฝ่ายช่วยชีวิตตนไว้ครึ่งหนึ่ง เขาจึงยังอดทนเอาไว้

‘กระบองกระดูกมังกร… ดูท่านั่นน่าจะเป็นสมบัติอริยะกร้าวแกร่งชิ้นหนึ่งจึงจะถูก’ หลินสวินนึกถึงภาพเมื่อครู่ที่ซูคงถูกซัดจนปลิว แล้วทำการสันนิษฐานออกมาข้อหนึ่ง

“อาหลู่ เมื่อครู่เจ้าช่วยชีวิตพวกเรา ก็เพราะอยากให้พวกเราพาเจ้าเข้าสู่เขตหวงห้ามไร้มรณะนั่นหรือ” เซียวชิงเหออดเอ่ยถามอีกครั้งไม่ได้

อาหลู่กลอกตาอีกครากล่าวว่า “ข้ายังไม่ได้เบื่อหน่ายขนาดนั้น ที่ลงมือเมื่อครู่ก็เป็นเพราะเห็นเจ้าเฒ่านั้นขวางหูขวางตาทั้งนั้น เหยียบย่างระดับราชันแล้ว ยังจะมาต่อสู้กับพวกเราคนหนุ่มสาวอีก ช่างหน้าด้านหน้าไม่รู้จักอายนัก สมควรโดนต่อยแล้ว”

เซียวชิงเหอชักทนไม่ไหวกับการกลอกตาของเจ้าหมอนี่แล้วจริงๆ เหมือนมองคนเบาปัญญาอย่างไรอย่างนั้น พาให้ผู้อื่นบันดาลโทสะอย่างควบคุมไม่อยู่

เขากัดฟันกรอดกล่าว “แค่เพราะขวางหูขวางตาเนี่ยนะ”

อาหลู่พยักหน้าอย่าง จากนั้นก็กล่าวไม่สบอารมณ์ “ข้าถามเจ้าว่าพาข้าไปด้วยได้หรือไม่ เหตุใดเจ้าถึงพูดพล่ามมากความเช่นนี้ เหมือนอีกาเน่าร้องแรกแหกกระเชอตัวหนึ่งชัดๆ พาให้คนเอือมระอา หากเปลี่ยนเป็นตอนข้าอารมณ์ไม่ดี ฝ่ามือเดียวคงซัดเจ้าตายไปนานแล้ว”

มุมปากเซียวชิงเหอกระตุกขึ้นมาเต็มแรง ลอบกัดฟันกรอด หยิ่งผยองเกินไปแล้ว! ทุกประโยคของเจ้าคนป่าเถื่อนนี่สามารถยั่วคนเป็นๆ ให้โกรธตายได้ชัดๆ!

“ดี พวกเราไปด้วยกัน” หลินสวินเอ่ยปากตกลงตรงๆ เขากลับรู้สึกว่าอาหลู่คนนี้น่าสนใจยิ่ง

‘รับปากทั้งอย่างนี้แล้วหรือ’

เซียวชิงเหอสื่อจิตอย่างหัวเสีย กล่าวพึมพำว่า ‘เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกคนป่าเถื่อนที่สมองเรียบง่าย แขนขาล่ำบึก แถมตอนพูดยังชอบกลอกตาคนนี้ยั่วโมโหตายหรือ’

หลินสวินยิ้ม ตบบ่าเซียวชิงเหอเบาๆ ไม่ได้พูดมากความอะไร

ท้ายที่สุดเซียวชิงเหอก็ทัดทานหลินสวินไม่ได้ ต้องพาอาหลู่ไปด้วย มุ่งหน้าสู่ทะเลหมากดารา

ครืน!

ทันทีที่มาถึงผิวทะเล ภาพแสนอัศจรรย์ก็ปรากฏขึ้น

ราวกับฟ้าดินพลิกวน หมู่ดาวเคลื่อนคล้อย ภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนแปลงปุบปับ แสงดาวสีเงินยวงสายแล้วสายเล่าร่วงหล่นจากฟากฟ้า ตกลงบนกลุ่มเกาะที่ตั้งซ้อนเหนือผิวทะเล

หมู่เกาะแน่นขนัด เวลานี้ราวกับตื่นขึ้นจากความเงียบงัน พรั่งพรูแสงดาวเจิดจรัสดั่งภาพฝันมายาออกมา

ทอดสายตามองไปท้องฟ้าพร่างดวงดาวกว้างใหญ่ มหาสมุทรไพศาล แสงดาวสีเงินไหลเคลื่อนระหว่างฟ้าดิน ให้ความรู้สึกงดงามลวงตาไม่สมจริงอย่างหนึ่งแก่ผู้คน

สีหน้าเซียวชิงเหอกลับเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมจริงจังอย่างที่สุด เรียกแผนภาพลับที่ตีหลอมจากหินหยก ประทับด้วยลวดลายคลุมเครือแน่นขนัดออกมา ทำการเปรียบเทียบเส้นทางอย่างละเอียด

เนิ่นนานเขาพลันเงยหน้าขวับ พุ่งปราดไปยังหมู่เกาะที่อยู่ห่างออกไปแห่งหนึ่ง

หลินสวินและอาหลู่ก็รีบตามไปติดๆ

ทะเลหมากดารานี้เป็นเหมือนหมากกระดานฟ้าดินกระดานหนึ่ง เมื่อพรวดพราดเข้าไปในนั้น แม้จะเป็นอริยบุคคลล้วนเป็นไปได้สูงว่าจะหลงทางอยู่ข้างใน

แต่เพราะมีเซียวชิงเหอนำทาง ระหว่างทางที่มุ่งสู่เบื้องหน้าจึงไม่มีเหตุสุดวิสัยเกิดขึ้นเลย

หลินสวินสังเกตเห็นว่ายิ่งเข้าไปลึกหมู่เกาะที่พบเห็นระหว่างทางยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ เบียดเสียดแออัด กระจุกบ้างกระจายบ้าง ประหนึ่งตัวหมากตัวแล้วตัวเล่าที่โปรยปรายบนผิวทะเล พรั่งพรูแสงดาราดั่งภาพฝันมายา

ทอดสายตามองรอบบริเวณ ก็เหมือนกับเข้าสู่ส่วนลึกของท้องฟ้าดาราอันไพศาล ไม่สามารถระบุทิศเหนือใต้ออกตก แม้แต่ทางมายังหาไม่พบ

ในใจหลินสวินจมสู่ภวังค์ครู่หนึ่ง คล้ายกับมองเห็นเงาร่างชายชราคนหนึ่งนั่งอยู่เหนือห้วงอากาศมหาสมุทร ดวงดาวเต็มฟ้ารวมตัวและโคจรอยู่เหนือศีรษะเขา… แสงดาวสีเงินยวงหลายหมื่นล้านสายร่วงหล่นลงมา

แต่ร่างกายของเขากลับเหมือนเหวลึกถ้ำมืด กลืนเขมือบ ทำลายล้างแสงดาวที่ร่วงรินลงมา…นองเนืองไม่ขาดระยะ เวียนซ้ำไปมา

ยามนี้ฟ้าดินเงียบสงัด คล้ายเหลือเพียงเงาร่างชายชราเพียงสายเดียว สุขุม เคร่งครัด สูงส่งเช่นนี้ ประหนึ่งเป็นเจ้าเหนือหัวนับแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน นั่งแลฟ้าดิน กลืนกินวัฏจักรดารา!

บริเวณหน้าอกของหลินสวินร้อนวูบวาบขึ้นมาอย่างประหลาด ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดปลดปล่อยพลังมหามรรคคลุมเครือออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง ไหลทะลักสู้ห้วงนิมิต

เพียงชั่วครู่เท่านั้นในสมองหลินสวินปรากฏค่ายกลคลุมเครือหรุบหรู่ขึ้นมา

ค่ายกลนี้มีวัฏจักรดาราเป็นพื้นฐาน ประกอบด้วยค่ายกลวัฏจักรดาราสามร้อยหกสิบห้าภาพ และแผนภาพหมู่ดาวอนุจักรวาลหนึ่งหมื่นสี่พันแปดร้อยภาพ

เมื่อหยั่งรู้โดยละเอียด ค่ายกลทั้งหมดนี้เปรียบเสมือนจักรวาลฟ้าดาราแถบหนึ่ง ในนั้นมีดวงดาวเจิดจรัสมากยิ่งกว่ามาก ต่างหมุนเวียนตามวงโคจรที่ต่างกัน แน่นขนัดซับซ้อนอย่างถึงที่สุด

กระบวนอริยะวัฏจักรดารา!

นี่เป็นถึงมรดกกระบวนอริยะที่ลึกลับสะท้านโลกอย่างหนึ่ง ปริศนาของมันรวมตัวอยู่ในห้วงนิมิต กลายร่างเป็นแผนภาพวัฏจักรดาราภาพหนึ่ง!

ภาพพิลึกพิลั่นนี้พาให้หลินสวินรู้สึกเหมือนฝันไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทะเลหมากดารานี้ หรือว่าจะวิวัฒน์มาจาก ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’

ส่วนเงาร่างของชายชราที่เคยนั่งอยู่ตรงนี้ กลืนกินวัฏจักรดารานั้น คล้ายจะเป็นเงาร่างอริยะสายนั้นที่เคยห้อตะบึงไปสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าโดยรอบอย่างบ้าคลั่งคนนั้น!

‘มรรคดับดารากลืนกิน ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด หุบเหวกลืนกิน ทะเลหมากดารา ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา… สิ่งเหล่านี้ล้วนคล้ายเชื่อมโยงและสอดรับกันอย่างน่าอัศจรรย์…’

‘เป็นเพราะชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ในเทศกาลโคมกถามรรคข้าจึงสามารถหยั่งรู้มรรคดับดารากลืนกิน รับรู้ประสบการณ์ของอริยะที่ห้อตะบึงสู่ส่วนลึกของความว่างเปล่าผู้นั้น’

‘และเพราะชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิด ทำให้ข้าได้รับปริศนามรดกของ ‘ค่ายกลใหญ่วัฏจักรดารา’ โดยบังเอิญในทะเลหมากดาราแห่งนี้ด้วย…’

คิดถึงจุดนี้ในใจหลินสวินก็ผุดความสงสัยลึกๆ ขึ้นมาอย่างควบคุมไม่อยู่ พรสวรรค์ชีพจรปราณวิญญาณหุบเหวกลืนกินของตนนั้น ซุกซ่อนความลับที่ตนยังไม่เคยล่วงรู้มากน้อยเพียงใดกันแน่

“หลินสวิน!”

ทันใดนั้นเสียงร้องเรียกของเซียวชิงเหอก็ดังขึ้นข้างหู พาให้หลินสวินสะดุ้งตื่นจากความคิดเลื่อนลอย

เมื่อเงยหน้ามองไป ก็เห็นเซียวชิงเหอและอาหลู่ต่างจับจ้องตนด้วยสายตาที่เหมือนเห็นสัตว์ประหลาดก็ไม่ปาน

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท