ตอนที่ 1045 อาภรณ์ขาวเหนือหิมะเยี่ยนจั่นชิว
จ้าวจิ่งเซวียนมาพร้อมผู้สืบทอดแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณทั้งหมด
ยามสายตาและจิตใจของหลินสวินถูกจ้าวจิ่งเซวียนดึงดูด สายตาผู้กล้าแต่ละสำนักใหญ่ในที่นี้แทบทั้งหมดล้วนถูกชายข้างกายจ้าวจิ่งเซวียนดึงดูดไปสิ้น
ชายผู้นี้สวมอาภรณ์ขาวยิ่งกว่าหิมะ คิ้วกระบี่เนตรดารา เงาร่างตระหง่านดุจสนขจีบนริมผา ยามก้าวเดินชายเสื้อพลิ้วไหวดั่งมังกรเหินพยัคฆ์ก้าว แฝงความสง่างามครองพิภพ
แววตาเขานิ่งสงบ มุมปากระบายยิ้มคล้ายมีคล้ายไม่มี ดูเหมือนทำให้คนเคลิบเคลิ้มดั่งลมฤดูใบไม้ผลิ ความจริงแล้วกลับมอบระยะห่างอันสูงส่งไม่อาจเอื้อมแก่ผู้คน
เห็นได้ว่าเขาไม่ธรรมดายิ่ง แม้แต่บุคคลอย่างเซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินล้วนถูกทำให้ตระหนก เมื่อมองเห็นรูปพรรณคนผู้นี้ชัดเจน ในดวงตาต่างฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง
ในสายตาบุคคลแห่งยุคอย่างพวกเขา ชายชุดขาวนี่มีความสง่างามอีกอย่าง
เงาร่างที่ดูเหมือนผอมบางของเขา แท้จริงแฝงความอหังการผงาดง้ำ!
นี่คืออานุภาพพลังอันโดดเด่นอย่างหนึ่ง คือความเชื่อมั่นแน่วแน่ที่ดูหมิ่นสรรพสิ่ง ประหนึ่งราชันกำลังตระเวนดินแดนตน มีอานุภาพอัศจรรย์ไม่อาจล่วงล้ำ
เยี่ยนจั่นชิว!
ในหัวทุกคนปรากฏชื่อหนึ่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ชายชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ ท่วงท่าสง่างามโดดเด่นผู้นี้ เดิมก็เหมือนตำนานคนหนึ่ง
เขาคือบุตรเทพคนปัจจุบันของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ มีชาติกำเนิดจากตระกูลเยี่ยนซึ่งเป็นตระกูลอริยะ เล่าลือว่าเผ่าฝั่งมารดามีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงบรรพกาล
แผ่นหลังเขาประทับ ‘ลายมรรคเกล็ดมังกร’ แต่กำเนิด ครอบครอง ‘มรรคมังกรฟ้าแปดภาคี’ ได้รับฉายา ‘มังกรไร้พ่าย’
ปัจจุบันเขาคือบุคคลแห่งยุคอันดับสามของสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพา!
ผู้มีชาติกำเนิด ความเป็นมา รากฐาน แก่นกระดูก พลังต่อสู้เยี่ยงนี้ ล้วนเรียกได้ว่าเป็นยอดมกุฎชั้นเลิศ ใครจะกล้ามองข้าม
ดวงตาอาหลู่พลันเปล่งประกาย จิตต่อสู้ร้อยแรงวาบผ่านอย่างยากสังเกตเห็น เหมือนได้เจอคู่แข่งที่ทรงพลังเพียงพอให้เขาตื่นเต้น
เซียวชิงเหอกลับขนพองสยองเกล้า ในใจลอบอุทานว่าไม่เข้าที คิดไม่ถึงว่าคนอย่างเยี่ยนจั่นชิวจะมาจริงๆ
มีเพียงหลินสวินที่มองข้ามเยี่ยนจั่นชิว ทว่าไม่ใช่เพราะเจตนา แต่เป็นเพราะสายตาและความคิดของเขาตอนนี้ล้วนอยู่ที่จ้าวจิ่งเซวียน
ขณะเดียวกันจ้าวจิ่งเซวียนก็มองเห็นหลินสวิน นางชะงักเล็กน้อย นัยน์ตากระจ่างเบิกกว้าง แววตาหวานเชื่อม จิตใจลั่นไหว มุมปากอวบอิ่มนั่นปรากฏรอยยิ้มตามจิตใต้สำนึก
จากนั้นคิ้วดุจหมึกเขียนของนางขมวดมุ่น กลีบปากเผยอเล็กน้อย สื่อจิตกล่าว ‘คนอย่างเจ้านี่ใจกล้าเหลือเกิน ก่อเรื่องใหญ่โตขนาดนั้น ยังกล้าวิ่งมาถึงนี่อีกได้อย่างไร’
เสียงใสดั่งลำธาร ไพเราะเสนาะหู
หลินสวินยิ้มไร้เสียง ในคำพูดที่คุ้นเคยแฝงความห่วงใยดังเก่าก่อน ทำให้จิตใจของเขาซึ่งเดิมทีตึงเครียดผ่อนคลายลงอย่างบอกไม่ถูก
‘เจ้ารู้เรื่องที่ข้าทำในแคว้นหมึกขาวหมดแล้วหรือ’ หลินสวินสื่อจิตถาม
‘ดังนั้นจึงบอกว่าเจ้าใจกล้าเหลือเกิน กล้าเสียยิ่งกว่าปีนั้น’ นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนซุกซน หยอกล้อเขาประโยคหนึ่ง
หลินสวินเองก็อดยิ้มไม่ได้ นึกถึงตอนอยู่จักรวรรดิจื่อเย่า คนมากมายยังเรียกเขาว่า ‘เจ้ากล้าหลิน’
‘จริงสิ เจ้าต้องระวังตัว ศิษย์พี่เยี่ยนก็ได้ยินเรื่องที่เจ้าทำแล้ว ยังเคยถามเรื่องเจ้าส่วนหนึ่งกับข้าด้วย’
จ้าวจิ่งเซวียนพลันกล่าวเตือน ‘ถึงแม้ตอนนั้นเขาไม่เผยความรู้สึกอะไร แต่ข้ารู้ว่าเขาต้องตัดสินใจไปนานแล้วแน่’
กล่าวถึงตอนท้ายหว่างคิ้วนางเจือความกังวลวูบหนึ่งอย่างไม่อาจระงับ เอ่ยกำชับจริงจัง ‘ดังนั้นเจ้าต้องระวังให้มาก’
เวลานี้หลินสวินจึงสังเกตเห็นเยี่ยนจั่นชิว แม้แต่เขายังไม่อาจไม่ยอมรับว่านี่คือบุคคลที่ทรงพลังยิ่งคนหนึ่ง ทำให้เขาสัมผัสถึงแรงกดดันยากจะเอ่ย
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่สัมผัสถึงแรงกดดันที่แท้จริงหลังมาถึงเชิงเขาเทพไร้มรณะนี้ จึงรู้ได้ทันทีว่าเยี่ยนจั่นชิวต้องไม่ใช่ผู้ที่บุคคลแห่งยุคทั่วไปสามารถเทียบเทียม
กระทั่งกล่าวได้ว่าเขาคือคนที่ทรงพลังที่สุด ในหมู่ผู้แข็งแกร่งซึ่งก้าวสู่มกุฎมรรคาที่หลินสวินเคยเจอมาในปัจจุบัน!
ทว่าหลินสวินเก็บความรู้สึกอย่างรวดเร็ว สื่อจิตกล่าว ‘ไม่ต้องห่วง มีคลื่นถาโถมอะไรที่ข้าไม่เคยพบเจอ ปีนั้นหลังออกจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันกลุ่มหนึ่งไล่ล่าทั่วฟ้า สุดท้ายข้าก็ยังรอดมาได้ สถานการณ์ตรงหน้านี้ไม่สะเทือนข้าหรอก’
จ้าวจิ่งเซวียนส่งเสียงถุยออกมาคำหนึ่ง นัยน์ตากระจ่างงามทั้งฉิวทั้งขัน ‘ข้ากลับคาดไม่ถึง ไม่เจอกันหลายปี เจ้าเปลี่ยนเป็นอวดเก่งใช่ย่อย ถูกเจ้าคางคกจอมหลงตัวเองพาเสียคนใช่ไหม’
เจ้าคางคก…
ศีรษะหลินสวินปรากฏเส้นเลือดดำ หากกล่าวถึงความหลงตัวเอง ปากแข็ง อวดเก่งและไร้ยางอาย เขายังห่างชั้นกับเจ้าคางคกอยู่อักโข ยามเจ้านี่อวดเก่งขึ้นมาล้วนสามารถทำให้ผู้คนชิงชังรังเกียจ!
แน่นอนว่าตอนนี้เจ้าคางคกยังปิดด่านอยู่ในเจดีย์สมบัติไร้อักษร ไม่เช่นนั้นหากได้ยินเสียงในใจหลินสวิน คงได้โหวกเหวกชวนหลินสวินทะเลาะแน่
ขณะสนทนาเยี่ยนจั่นชิวพาพวกจ้าวจิ่งเซวียนมาถึงเชิงเขาเทพไร้มรณะ ผู้สืบทอดสำนักโบราณไม่น้อยต่างพุ่งเข้าไปทักทายเยี่ยนจั่นชิว ทำเอาบริเวณนั้นคึกคักพอควร
เยี่ยนจั่นชิวสุภาพและถ่อมตัวยิ่ง ทักทายพวกเขาทีละคน
เขายิ้มเปิดเผยกล่าว “การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครานี้ช่างเป็นชุมนุมหมู่ดารา ผู้กล้าดั่งพนาไพร เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่เป็นประวัติการณ์ อย่างน้อยปีที่ข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ก็ไม่เจอบุคคลเก่งกาจมากเช่นนี้”
ทุกคนในลานส่วนใหญ่ยิ้มตาม นี่คือการยอมรับสถานะและศักยภาพของเยี่ยนจั่นชิว
“น่าเสียดาย ข้าผู้แซ่เยี่ยนอายุเกินสามสิบ ทั้งเคยร่วมการแข่งขันเช่นนี้แล้ว ไร้วาสนาได้เข้าร่วมอีก ไม่เช่นนั้นก็อยากแลกเปลี่ยนความรู้กับสหายยุทธ์ทุกท่านที่มาจากสี่แดนวิภูยิ่ง”
ทันทีที่ประโยคนี้ของเยี่ยนจั่นชิวกล่าวออกมา บรรยากาศในที่นั้นก็ผ่อนคลายยิ่งกว่าเดิม
คนมากมายต่างเพิ่งมีปฏิกิริยาตอบสนอง เยี่ยนจั่นชิวได้เป็นหนึ่งในบุคคลที่จัดอยู่ในสิบยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎแดนชัยบูรพาแล้ว แน่นอนว่าไม่อาจเข้าร่วมการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ครั้งนี้อีก
คิดได้เช่นนี้จึงล้วนเป่าปากโล่งอกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
“ศิษย์พี่เยี่ยน เจ้าหมอนั่นก็คือหลินสวิน!”
ทันใดนั้นเสียงหนึ่งดังขึ้นกะทันหัน เจือความเกลียดชังเข้มข้น ทำให้บรรยากาศในลานพลันเปลี่ยนแปลง
คนที่เอ่ยวาจาคือชายหนุ่มชุดแดงคนหนึ่ง เป็นซูซิงเฟิงนั่นเอง ยามนี้สีหน้าเขาอึมครึม แววตาชิงชังจับจ้องหลินสวินที่อยู่ห่างไป แทบอยากกลืนกินเขาทั้งเป็น
หลายวันก่อนเขาถูกหลินสวินตีสลบแขวนประจานบนกำแพงเมือง เรียกได้ว่าเสียหน้าไม่เหลือ ชื่อเสียงป่นปี้
ในที่สุดก็มาแล้ว!
สีหน้าทุกคนแตกต่างกันไป คาดการณ์ไว้แล้วว่าต้องเกิดฉากนี้ขึ้น
เยี่ยนจั่นชิวร้องอ้อคราหนึ่ง สายตามองยังหลินสวิน
เขาชุดขาวเหนือหิมะ คิ้วกระบี่เนตรดารา ดูเหมือนนิ่งสงบ แต่พริบตาที่มองไปทางหลินสวินกลับมีอานุภาพชวนประหวั่นไร้รูปแผ่ออกจากร่าง
ห้วงอากาศใกล้เคียงพลันส่งเสียงครวญไม่อาจแบกรับ ท้องฟ้าเหนือศีรษะเมฆลมเปลี่ยนสี
ชั่วขณะนั้นทุกคนรู้สึกได้รางๆ ว่าเยี่ยนจั่นชิวราวเปลี่ยนเป็นอีกคน ไม่มีความสันติและถ่อมตัวดังก่อนหน้า แต่เผยความอหังการซึ่งเพียงพอสั่นคลอนลมเมฆ ผงาดผยองเหนือฟ้าดิน อานุภาพเช่นนั้นกดดันจนผู้แข็งแกร่งไม่น้อยล้วนหายใจลำบาก!
และหลินสวินซึ่งเป็นผู้ถูกโจมตียิ่งถูกอานุภาพเช่นนี้บีบกดสภาวะจิต ผิวหนังทั่วร่างเกร็งตามจิตใต้สำนึก นัยน์ตาดำล้ำลึกดุจหุบเหวหดรัดลงเล็กน้อย
สีหน้าเขานิ่งสงบเหมือนปกติ ไม่ได้รับผลกระทบ
คิดดูแล้วก็ใช่ หลายปีมานี้เขาเคยเผชิญหน้าสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันไม่รู้เท่าไหร่ และไม่รู้พบเจออานุภาพกดดันน่าสะพรึงไร้ขอบเขตมากี่หน พลังของเยี่ยนจั่นชิวแม้แข็งแกร่ง แต่ต่อให้แกร่งแค่ไหนมีหรือจะสู้สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชันได้
ดังนั้นแน่นอนว่าย่อมไม่อาจสั่นคลอดนหลินสวิน
บรรยากาศเงียบสงัด อากาศราวกับถูกแช่แข็ง กดอัดใจคน
แม้เยี่ยนจั่นชิวยืนนิ่งๆ สายตาประเมินหลินสวินเงียบๆ แต่อานุภาพไร้รูปบนร่างนั้นกลับทำให้ผู้คนไม่กล้าผลีผลามเอ่ยปาก
จ้าวจิ่งเซวียนขบริมฝีปากแดงอวบอิ่มเบาๆ ในดวงตากระจ่างเจือความกังวลยากสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่ง นางรู้ดีว่าพลังต่อสู้เยี่ยนจั่นชิวเก่งกาจระดับใด
หากให้หลินสวินถูกคนน่ากลัวอย่างนี้เพ่งเล็ง ผลที่ตามมานั้นก็ไม่อยากจะคิด
“เจ้าและศิษย์น้องจิ่งเซวียนรู้จักกันมาก่อนรึ” ผ่านไปครู่หนึ่งสุดท้ายเยี่ยนจั่นชิวก็เอ่ยปาก ทว่ากลับเอ่ยถามสิ่งที่ทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ไม่ผิด” หลินสวินพยักหน้า รับสายตาเยี่ยนจั่นชิวอย่างเยือกเย็น
“ความสัมพันธ์เป็นอย่างไร” เยี่ยนจั่นชิวกล่าวอย่างสนอกสนใจ
“ดีมาก” หลินสวินเอ่ยง่ายๆ
“ดีมากแค่ไหน” เยี่ยนจั่นชิวซักไซ้
“ดีกว่าที่เจ้าจินตนาการ” หลินสวินคิดไปคิดมาก่อนตอบจริงจัง
ได้ยินการถามมาตอบไปเช่นนี้ คนส่วนหนึ่งที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างเยี่ยนจั่นชิวและจ้าวจิ่งเซวียนต่างเผยสีหน้าพิลึกพิลั่น
พวกเขาไม่มีทางลืม เคยมีปีหนึ่งที่ผู้สืบทอดแดนเร้นอริยะคนหนึ่งมุ่งหน้ามาสู่ขอที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ หมายจะแต่งงานกับจ้าวจิ่งเซวียน ผลกลับทำให้เยี่ยนจั่นชิวที่กำลังปิดด่านอยู่ทะลวงด่านออกมา
เขาไม่สนคำค้านของคนใหญ่คนโตทั้งหมด ซัดผู้สืบทอดแดนเร้นอริยะนั่นอย่างแข็งกร้าวเสียเกือบตาย ก่อนโยนออกนอกประตูหน้าเขาสามกระจ่าง!
ตอนนั้นเยี่ยนจั่นชิวยังเคยกล่าว ‘ต่อไปใครกล้าคิดเกินเลยกับจ้าวจิ่งเซวียนต้องผ่านด่านเขาก่อน ไม่เช่นนั้นแม้ราชันสวรรค์มา เขาก็ไม่ปล่อยไว้!’
ยามนี้หลินสวินกลับพูดตรงๆ ต่อหน้าเยี่ยนจั่นชิวว่ามีความสัมพันธ์กับจ้าวจิ่งเซวียนไม่เลวเกินธรรมดา นี่เท่ากับหันปากกระบอกปืนเข้าหาตัว!
‘เทพมารหลินนี่ช่างใคร่ตัณหาคับฟ้า ถึงขั้นกล้าคิดไม่ซื่อกับหญิงที่เยี่ยนจั่นชิวหวงแหน นี่ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อแล้วรึ’
ผู้แข็งแกร่งไม่น้อยลอบร้องกับตัวเอง
แต่จ้าวจิ่งเซวียนเห็นภาพนี้ ใบหน้างามผุดผ่องเผยความเขินอายวูบหนึ่งอย่างยากสังเกตเห็น นัยน์ตากระจ่างเจือแววตำหนิเสี้ยวหนึ่ง ทั้งหัวเสียกับความตรงไปตรงมาและใจกล้าของหลินสวิน ทั้งกังวลผลที่อาจตามมาจากการกระทำของเขา
“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน ที่เขาพูดเป็นความจริงหรือ”
สีหน้าเยี่ยนจั่นชิวยังนิ่งสงบ นัยน์ตาดำราบเรียบดั่งน้ำในทะเลสาบ
แต่พลานุภาพไร้รูปซึ่งแผ่กระจายทั่วร่างกลับน่าหวาดกลัวยิ่งกว่าเดิม ทำเอาห้วงอากาศข้างกายเขาทรุดตัวลงทีละน้อย
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าพลังกฎระเบียบเร้นลับน่าพรั่นพรึงหลากสายปรากฏเริ่มปรากฏใกล้ห้วงอากาศที่กำลังทรุดตัว
พลังแห่งกฎระเบียบเช่นนี้ แค่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาเพียงเสี้ยวก็ทำให้ผู้คนขนพองสยองเกล้า ความกล้าทั้งมวลเกือบพังทลาย
ไม่จำเป็นต้องสงสัย พลังบนตัวเยี่ยนจั่นชิวแข็งแกร่งและอันตรายเกินไป ชักนำให้เกิดปฏิกิริยาตอบสนองของระเบียบฟ้าดินที่นี่!
ขณะนี้แม้แต่เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉินและเหล่าบุคคลแห่งยุคชั้นยอดที่สุดในที่นั้นก็ล้วนไม่อาจสำรวมนิ่งสงบ
เพียงภาพนี้ก็สามารถมองออกว่าเยี่ยนจั่นชิวทรงพลังระดับใด!
แต่เยี่ยนจั่นชิวกลับคล้ายไม่รับรู้กฎระเบียบฟ้าดินที่แผ่ภัยคุกคามถึงชีวิตเหล่านั้น ดวงตายังจับจ้องหลินสวินเงียบๆ
กำลังรอคำตอบของจ้าวจิ่งเซวียน
……………