มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 676
“คงจะไม่หรอกกระมัง? ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้ใดตายในหอคอยเทพจิตนี่”
หลังจากที่ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อัจฉริยะหนุ่มสาวที่รวมตัวกันอยู่ด้านนอกหอคอยเทพจิตต่างก็มีสีหน้าประหลาดใจ
เพราะไม่เคยมีผู้ใดเข้าไปนานขนาดนี้มาก่อน สำหรับที่มีคนบอกว่าหลัวซิวตายอยู่ด้านใน ก็ไม่ได้รับการเห็นด้วยจากทุกคน เพราะลำแสงที่สาดส่องออกมาจากชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตนั้น แสดงให้เห็นว่าตอนนี้หลัวซิวยังอยู่ในชั้นที่สองอยู่
“เขากำลังทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สอง?” ไม่นานก็มีคนคิดถึงความเป็นไปได้นี้ขึ้นมา
“ใช้วิธีแรกในการทะลวงชั้นที่สองต้องอดทนเพียงหนึ่งก้านธูปนี่นา เหตุใดนานขนาดนี้แล้วเขายังไม่ออกมาอีก จากที่เห็นเขากำลังทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณอยู่จริง ๆ”
“ไม่ว่าเขาจะผ่านเส้นทางแห่งวิญญาณไปได้หรือไม่ ถึงอย่างไรความสามารถด้านกลั่นวิญญาณของเขา อย่างน้อยก็อยู่ในระดับมหายุทธ์ขั้นสี่!”
หลังจากที่ได้ข้อสรุปนี้ออกมา อัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ จำนวนมากก็ได้มีท่าทีริษยาขึ้นมา พวกเขามีอยู่หลายคนที่ได้สืบประวัติและชาติกำเนิดของหลัวซิวมาก่อน มาวันนี้ได้ถูกคนที่มีชาติกำเนิดแสนธรรมดาทิ้งเอาไว้ด้านหลัง มันส่งผลกระทบไม่น้อย ต่อความหยิ่งยะโสของอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์อย่างพวกเขา
ได้ยินว่าเทพธิดาหวูซินผ่านเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สองไปได้!”
“มันแน่นอนอยู่แล้ว ที่เทพธิดาหวูซินฝึกฝนนั้นเป็นวรยุทธ์กลั่นวิญญาณระดับสุดยอดของสำนักดำเหลืองเชียวนะ ยิ่งไปกว่านั้นยังได้บรรลุถึงแดนตัวสำนึกกลายรูป”
“ใช่แล้ว ด้านตัวสำนึกวิญญาณเทพธิดาหวูซินสมควรที่จะเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ของพวกเรา หากตัวสำนึกกลายรูปสามารถบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อย อาจจะสามารถทะลวงชั้นที่สามไปได้ก็เป็นได้”
ในระว่างที่ทุกคนวิพากษ์วิจารณ์อยู่นั่นเอง แสงสว่างในชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตก็พลันหายไป จากนั้นชั้นที่สามก็ได้ส่องแสงเรืองรองอ่อน ๆ ออกมา
แต่ว่าไม่นานแสงสว่างในชั้นที่สามของหอคอยเทพจิตก็ได้ดับลง ขณะเดียวกันร่างของหลัวซิวก็ได้ถูกส่งกลับออกมา สีหน้าซีดขาว เลือดไหลออกมาที่มุมปาก ท่าทางเหมือนได้สูญเสียพลังไปอย่างมาก
“หลัวซิว เจ้าไม่เป็นอะไรนะ?” ลู่เมิ่งเหยาเดินเข้ามาเป็นคนแรก และยื่นมือออกมาพยุงหลัวซิว ขณะเดียวกันนั้นก็ได้หยิบเอายาเม็ดหนึ่งออกมา “ทานนี่เสีย สามารถเยียวยาอาการบาดเจ็บของเจ้าได้”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้มีลำแสงสี่สายลอยออกมาจากหอคอยเทพจิต มีสองสายที่ค่อนข้างเฉียบบาง และอีกสองสายค่อนข้างหนา
สองสายที่ค่อนข้างเฉียบบางนั้น หมายถึงสามารถฝึกฝนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสามวัน ส่วนอีกสองสายที่ค่อนข้างหนาหมายถึงสามารถฝึกฝนในตำหนักเต๋าเป็นเวลาสิบวัน
ลำแสงทั้งสี่สายพุ่งเข้าไปในป้ายประจำตัวที่ห้อยอยู่บริเวณเอวของหลัวซิว เช่นนี้ก็หมายความว่า เขาได้รับโอกาสเข้าไปฝึกฝนในตำหนักเต๋าเป็นเวลายี่สิบหกวัน!
“ไม่ต้องหรอก”
หลัวซิวไม่ได้รับยาจากลู่เมิ่งเหยา แม้ว่านี่จะเป็นยาเทพจิตระดับเจ็ด หลังจากที่ทานลงไปแล้วสามารถฟื้นฟูตัวสำนึกที่สูญเสียไป ในขณะเดียวกันก็ช่วยซ่อมแซมตัวหยั่งรู้ไปด้วย
เขาแค่ต้องการรีบกลับไปปิดขังตัว เพราะจากการทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สองของหอคอยเทพจิต มันทำให้เขาได้ตระหนักรู้ถึงการพลิกผันของตัวสำนึกกลายรูปจริง ๆ!
“หากสามารถรู้และเข้าใจตัวสำนึกกลายรูปได้ เช่นนั้นตัวสำนึกที่แข็งแกร่งของข้าก็จะสามารถแสดงพลังที่แท้จริงออกมาได้แล้ว!”
ดังนั้นหลัวซิวจึงไม่ได้บอกกล่าวทักทายกับผู้ใดเลย เขาเหาะเหินเดินฟ้า แสดงวิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียวเหาะเหินไปยังที่พักของตนเอง
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะทะลวงเส้นทางแห่งวิญญาณในชั้นที่สองของหอคอยเทพจิตไปได้ แต่บาดเจ็บถึงเพียงนี้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถเทียบเคียงกับเทพธิดาหวูซินได้”
“นั่นน่ะสิ ตอนที่เทพธิดาหวูซินถูกส่งตัวกลับออกมาสีหน้าไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ทั้งยังได้อยู่ในชั้นที่สามครึ่งชั่วยามอีกด้วย”
……
หลังจากที่หลัวซิวกลับถึงที่พักของตัวเอง ก็ได้ขับเคลื่อนค่ายกลที่ได้สร้างเอาไว้ทันที จากนั้นก็เข้าสู่การปิดขังตนเอง
และหลังจากที่เขาปิดขังตัวเองไปได้ไม่นาน บนที่โลงในที่พักของอัจฉริยะหนุ่มสาวทั้งยี่สิบคน ก็ได้ปรากฏศิลาต้นหนึ่งขึ้น