มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 685
หลังจากที่ซิงหลิงออกมา ก็มีอีกสองสามคนได้เข้าไปทะลวงด่าน คนพวกนี้เดิมทีก็ได้ทะลวงชั้นที่เป็นขีดจำกัดแล้ว ส่วนมากเมื่อเข้าไปแล้วไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็ถูกบีบให้ถูกส่งตัวออกมา ไม่สามารถทนต่อไปได้
ในนั้นมีอยู่หนึ่งคนที่สามารถทนมาได้เป็นเวลาหนึ่งก้านธูป แต่ก็ไม่มีความสามารถที่จะทำลายพื้นที่สีทองได้
ในตอนนี้เอง ก็ได้มาถึงคราวของหลัวซิว
วินาที่เดินเข้าสู่ค่ายกลนั่นเอง หลัวซิวก็ได้ปรากฏตัวขึ้นในพื้นที่สีทองของชั้นที่หนึ่งอีกครั้ง
ตามกฎของหอคอยฝึกตน มีเพียงใช้วิธีที่สองทะลวงผ่านด่านไป ถึงจะสามารถผ่านชั้นนั้น ๆ ไปได้โดยตรง
และก่อนหน้านี้หลัวซิวไม่สามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่หนึ่งมาได้โดยตลอด ดังนั้นเมื่อถูกส่งตัวเข้ามา จึงได้ปรากฏตัวขึ้นในชั้นที่หนึ่ง
กระแสพลังอันดุร้ายเป็นเหมือนดั่งมีดดาบที่กรีดเนื้อหนังของเขาอยู่ไม่หยุด ทว่าหลัวซิวกลับไม่ใส่ใจเลยสักนิด สายตามองไปยังด้านบนของพื้นที่สีทองในทันที
เมื่อตอนเข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก อดทนได้ไม่นานนัก ผิวหนังก็ถูกกรีดจนเลือดอาบ และเมื่อเข้ามาในครั้งนี้ การโจมตีของกระแสพลังอันดุร้ายที่เทียบได้กับแดนมหายุทธ์ขั้นสาม สำหรับเขาแล้วไม่ได้ทำให้รู้สึกจั๊กจี้เลยสักนิด
“พัง!”
เท้าขวาของหลัวซิวเหยียบลงไปบนพื้น ปากก็เอ่ยออกมาหนึ่งคำ จากนั้นก็ต่อยออกมาหนึ่งหมัด กระแสพลังในรูปกระบี่สีดำสายหนึ่งได้ลอยออกมาจากหมัดของเขา
เงารูปกระบี่สีดำนี้ ไม่ได้มาจากพลังจิตแท้ แต่เกิดจากการรวบรวมของร่างเนื้ออสุรา เพราะพลังจิตแท้และตัวสำนึกใช้ได้ไม่เป็นผลในที่แห่งนี้
และหมัดกระบี่นี้ เป็นทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อที่หลัวซิวได้ตระหนักรู้จากหอคอยร่างทองในระยะเวลาสามเดือนมานี้
กระบวนท่าที่แสดงออกมาโดยตัวสำนึกวิญญาณเป็นเคล็ดวิชาวิญญาณ
กระบวนท่าที่แสดงออกมาโดยร่างยุทธ์ร่างเนื้อนั้น คือทักษะการต่อสู้ร่างเนื้อ
ไม่ว่าจะเป็นเคล็ดวิชาหรือทักษะการต่อสู้ ล้วนอยู่เหนือขอบเขตของวิชายุทธ์โดยทั่วไป
หลังจากที่ตัวสำนึกกลายรูป ด้านร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวก็ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างเต็มเปี่ยม ได้ตระหนักรู้ถึงหมัดกระบี่
ครืน!
หมัดกระบี่ หมัดกระบี่แทงเข้าไปในอากาศ ระลอกคลื่นสีทองได้สั่นสะเทือนขึ้นมา รอยสีดำปรากฏขึ้น เหมือนกับว่าพื้นที่สีทองได้ถูกหมัดกระบี่ ของหลัวซิวตัดออกเป็นสองท่อน
จากนั้น พื้นที่สีทองก็เริ่มพังทลายลง แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ เหมือนดั่งกระจก รอยแตกที่หนาทึบคล้ายใยแมงมุม กระจายไปในทุกทิศทุกทาง
“หือ? พึ่งจะเข้าไปก็ทำลายพื้นที่สีทองได้แล้วเช่นนั้นหรือ?”
ในตอนที่หลัวซิวเข้าไป ชั้นที่หนึ่งของหอคอยร่างของก็ได้ส่องสองสีทองออกมา จากนั้นไม่นานนัก แสงสีทองก็ได้หายไป และชั้นที่สองก็ได้ส่องแสงขึ้นมา
นี่ก็หมายความว่า หลัวซิวพึ่งจะเข้าไป ก็สามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่หนึ่งไปได้ทันที
เพราะถ้าหากไม่ใช่ได้ทำลายพื้นที่ในชั้นที่หนึ่งไป เช่นนั้นก็จะต้องอยู่ในชั้นที่หนึ่งให้ครบเวลาหนึ่งก้านธูป ถึงจะสามารถผ่านด่านที่หนึ่งไปได้
“ต่อให้เป็นผู้ที่มีร่างยุทธ์ร่างเนื้อในแดนมหายุทธ์ขั้นกลาง ก็ไม่สามารถทำลายพื้นที่ในชั้นที่หนึ่งได้ภายในพริบตา เจ้าหมอนี่ช่างอยู่เหนือความคาดหมายจริง ๆ”
ซิงหลิงหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาคิดว่าตนเองได้มองหลัวซิวผู้นี้สูงพอแล้ว แต่เหมือนกับว่าตนยังมองอีกฝ่ายต่ำเกินไปอยู่
“หรือว่าเขาเองก็ได้ตระหนักรู้พลังแห่งกฎเช่นกัน?” ซินหลิงแอบกล่าวอยู่ในใจ
เพราะเขาทราบดีว่า หากต้องการทำลายพื้นที่ในหอคอยร่างทองโดยอาศัยร่างเนื้ออสุราเพียงอย่างเดียวนั้นยากมาก ที่เขาสามารถผ่านชั้นที่สามมาได้ ก็เพราะอาศัยพลังแห่งกฎนั่นเอง
ในสายตาของเขา ที่หลัวซิวสามารถทำลายพื้นที่สีทองในชั้นที่หนึ่งได้ภายในพริบตา อย่างน้อยจะต้องใช้ร่างเนื้ออสุราแดนมหายุทธ์ขั้นกลาง ซิงหลิงไม่เชื่ออย่างแน่นอนว่าแดนร่างเนื้อของหลัวซิวจะบรรลุถึงแดนมหายุทธ์ช่วงปลาย
ในตอนที่ซิงหลิงประหลาดใจอยู่นั่นเอง ก็ได้มีเสียงอุทานอย่างตกตะลึงดังมาจากรอบหอคอยร่างทอง พบเพียงว่าแสงสว่างในชั้นที่สองนั้นได้ดับลงแล้ว และแสงสีทองในชั้นที่สามได้สว่างขึ้นมา
“ผ่านชั้นที่สองไปได้เร็วขนาดนี้เชียว?” ซิงหลิงมีท่าทางเคร่งขรึมขึ้นมา แม้เขาจะทำถึงจุดนี้ได้โดยอาศัยการหนุนจากพลังแห่งกฎ แต่เขาได้ตระหนักรู้กฎถึงสามชนิดเชียวนะ แล้วหลัวซิวผู้นี้ทำได้อย่างไร?”