บทที่ 710
บทที่ 712
ตลอดเวลามานี้ เขาเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นใหม่ที่เป็นที่ยอมรับกันทั่วไป ตอนนี้กลับได้ถูกเหยียบย่ำอยู่ที่ปลายเท้า จะให้ซิงหลิงทนได้อย่างไร?
นอกจากนี้ในบรรดาผู้คนทั้งหมด เขาเป็นคนเดียวที่สามารถผ่านชั้นสี่ของหอคอยสุดหล้ามาได้
“ข้าไม่มีหน้าที่ต้องมาตอบคำถามเจ้า” จงสุนเหลือบมองซิงหลิงอย่างเย็นชา ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นนายน้อยของตำหนักดารานภา แต่สำหรับตนแล้ว สถานะเช่นนี้กลับไม่นับอะไร
ซิงหลิงไม่ได้ถกเถียงอีกต่อไป แต่ภายในใจก็ยังไม่สามารถยอมรับเรื่องที่หลัวซิวแข็งแกร่งกว่าตัวเองได้
“คะแนนรวมของมันคิดจะเอาชนะข้า เว้นแต่มันจะสามารถผ่านชั้นที่สี่ของหอคอยสุดหล้าด้วยวิธีที่สองไปได้”
ความยากของหอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่ ซิงหลิงได้สัมผัสมาแล้ว อาศัยกฎสี่ชนิดถึงสามารถทนอยู่ในชั้นที่สี่เป็นเวลาหนึ่งก้านธูปมาได้อย่างลำบาก ต้องการสังหารเจ้ายุทธจักรทั้งสามคน ยากเสียยิ่งกว่าอีก
ซิงหลิงรู้สึกอึดอัดที่บริเวณหน้าอก สายตากวาดมองไปรอบด้าน ตามหาเงาร่างของหลัวซิว แต่กลับไม่พบเห็นใด ๆ เลย
ตามอันดับเมื่อตอนประลองยุทธ์ หลัวซิวสามารถฝึกตนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นเวลาหนึ่งเดือน
ด้วยเหตุนี้หลังจากที่หลัวซิวออกมาจากที่พักของเทวทูตจื่อเยียน ก็ตรงไปที่ตำหนักเต๋าทันที เพื่อใช้ระยะเวลาหนึ่งเดือนที่เหลืออยู่อย่างเต็มที่
ในตำหนักเต๋า ด้านหนึ่งหลัวซิวตระหนักรู้ร่อยรอบแห่งกฎ อีกด้านหนึ่งเริ่มฝึกฝนภูตอัคคีร้อยแปร
ก่อนที่จะเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ เขาอาศัยพลังไสยอัคคีที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถ่ายทอดให้ ลองผสานภูตอัคคีกลืนกินกับภูตอัคคีเปลวเยือกเข้าด้วยกัน
แต่ในตอนนั้นผสานกันไม่สำเร็จ เพราะคิดจะผสานภูตอัคคีสองชนิดเข้าด้วยกัน เป็นกระบวนการค่อยเป็นค่อยไปทีละขั้นตอน
ในวันนี้ได้มีภูตอัคคีร้อยแปร เป็นธรรมดาที่วิชาหลอมอัคคีที่เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวถ่ายทอดให้จะไม่มีประโยชน์อันใดอีก ดังนั้นครั้งนี้ หลัวซิวไม่ได้ผสานภูตอัคคีสองชนิดเข้าด้วยกัน แต่เป็นกลืนกิน!
เมื่อเทียบกับการผสานข้าด้วยกันแล้ว การกลืนกินเหี้ยมโหดยิ่งกว่า ถูกกำหนดเอาไว้แล้วว่าภูตอัคคีทั้งสองชนิดนี้จะหายไปโดยสิ้นเชิง!
มือรวบรวมพลังตราประทับขึ้นมา เปลวเพลิงสีน้ำตาลแดงปะทุออกมาจากจุดตันเถียนของหลัวซิว เปลวเพลิงกลายรูปเป็นเด็กทารก พลันอ้าปากและสูดลมหายใจเข้า ภูตอัคคีเปลวเยือกกลายเป็นเหมือนดั่งงูสีฟ้าตัวเล็ก ๆ ถูกกลืนกินเข้าไปในท้องของมัน
ตูม!
ชั่ววินาทีเดียว กระแสพลังอันร้อนระอุก็ได้รายล้อมไปทั่วร่างกาย หลัวซิวรู้สึกว่าทุกส่วนของร่างกายกำลังถูกแผดเผา ความเจ็บปวดชนิดนี้เพียงพอที่จะทำให้คนรู้สึกทุกข์ทรมานแทบเป็นแทบตาย ทว่าหลัวซิวยังคงรักษาเจตนาเดิมเอาไว้ ฝืนทนยืนหยัดด้วยปณิธานอันแข็งแกร่ง
ตามบันทึกของภูตอัคคีร้อยแปร ในระหว่างที่กลืนกินภูตอัคคีก็มีอัตราความล้มเหลวอยู่เช่นกัน ทันทีที่ล้มเหลว ภูตอัคคีที่ถูกกลืนกินก็จะพ้นจากการถูกควบคุม และแว้งกัดกลืนกินร่างของจอมยุทธ์เอง ทั่วทั้งกระบวนการกลืนกินภูตอัคคี จะให้เกิดความผิดพลาดขึ้นมาไม่ได้แม้แต่น้อย
หลัวซิวขับเคลื่อนพลังจิตแท้อย่างเงียบ ๆ ควบคุมภูตอัคคีกลืนกินตาม《ภูตอัคคีร้อยแปร》 ในขณะเดียวกันนั้นมือก็ได้สร้างพลังตราประทับออกมาเพื่อนำทางอย่างต่อเนื่อง ภูตอัคคีกลืนกินที่กลายร่างเป็นเด็กทารก ได้นั่งขัดสมาธิลงในจุดตันเถียนของเขา และเริ่มกลั่นแปรกลืนกินพลังแห่งภูตอัคคีเปลวเยือก
เปลวเพลิงเป็นภูตอัคคี จิตวิญญาณที่ได้รับตามมานั้น ก็คือวิญญาณอัคคี
รูปร่างวิญญาณอัคคีของภูตอัคคีกลืนกิน ก็คือทารก และรูปร่างวิญญาณอัคคีของภูตอัคคีเปลวเยือก ก็คืองูน้ำแข็งสีฟ้านั่นเอง
ในขั้นตอนการกลืนกิน แสงสีแดงดั่งโลหิตได้กะพริบวิบวับไปทั่วร่างของภูตอัคคีกลืนกิน เปลวเพลิงที่เดิมมีสีน้ำตาลแดงนั้น ก็ได้ค่อย ๆ กลายเป็นเปลวเพลิงสีแดง
เมื่อเปลวเพลิงสีน้ำตาลแดงได้เปลี่ยนเป็นสีแดงจนหมด การแปรเปลี่ยนครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคีร้อยแปร นับว่าฝึกฝนได้สำเร็จ
แน่นอนว่าภูตอัคคีเปลวเยือกไม่เต็มใจที่จะถูกกลืนกิน งูน้ำแข็งที่เกิดจากการแปลงร่างได้วิ่งไปทั่วร่างของภูตอัคคีกลืนกินอย่างร้อนรน พยายามที่จะหลุดพ้น
หลัวซิวขับเคลื่อนกฎการเวียนว่ายตายเกิดบีบบังคับเอาไว้ จากความสามารถในตอนนี้ของเขา สำเร็จการเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคีร้อยแปรขึ้นอยู่กับเวลาเท่านั้น
ชั่วพริบตา เวลาก็ได้ผ่านไปครึ่งเดือน ภูตอัคคีกลืนกินกลายเป็นสีแดง เปลี่ยนเป็นมกุฎอัคคีนภาแดงโดยบริบูรณ์