มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 695
สมบัติทั้งสามชิ้นนี้ล้วนส่งพลังของการเป็นสมบัติขั้นสูงออกมาทุกชิ้น ซึ่งแต่ละชิ้นนั้นไม่ได้ด้อยไปกว่ากระบี่เสวียนยวนในมือของเขาเลย
“เวรแล้ว แบบนี้ก็ได้รึ” หลัวซิวอ้าปากค้าง และตอนนั้นเองถึงได้เข้าใจว่าทำไมอัจฉริยะจากแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นจำนวนกว่าครึ่งถึงไม่สามารถผ่านด่านหอคอยมหาภพชั้นหนึ่งได้
นั่นเป็นเพราะว่าที่นี่ไม่สามารถใช้สมบัติได้ เพราะหากเราใช้สมบัติเมื่อไหร่ คู่ต่อสู้ของเราก็จะหยิบเอาสมบัติในระดับเดียวกับเราออกมาใช้เช่นกัน
และเพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อสันนิษฐานของตัวเอง หลัวซิวจึงเก็บกระบี่เสวียนยวนลง สมบัติที่อยู่ในมือคู่ต่อสู้ทั้งสามก็หายวับไปเช่นกัน
“ดูท่าแล้วคงไม่สามารถเล่นตุกติกที่นี่ได้ คงต้องอาศัยเพียงความสามารถของตัวเองเพียงอย่างเดียวเท่านั้นในการฝ่าด่าน”
เมื่อคิดได้ถึงตรงนี้ หลัวซิวจึงก้าวอาดๆ ไปข้างหน้าแล้วเหวี่ยงฝ่ามือออกไป
มหายุทธ์กลั่นร่างผู้นั้นก็วิ่งตรงเข้ามาข้างหน้าเช่นกัน และเหวี่ยงฝ่ามือออกมาปะทะเข้ากับฝ่ามือของเขา
ปั้ง!
ฝ่ามือของมหายุทธ์กลั่นร่างแตกระเบิดออกเป็นไอเลือด หมัดกระบี่อันทรงพลังรุนแรงสะท้อนกลับไปยังร่างของมหายุทธ์กลั่นร่าง ทำให้ร่างกายของเขาแหลกสลายไปทันที
โจมตีคราเดียวถึงชีวิต!
มหายุทธ์กลั่นร่างในชั้นที่หนึ่งนี้ ร่างยุทธ์ร่างเนื้ออยู่ในมหายุทธ์ขั้นสาม ส่วนร่างยุทธ์ร่างเนื้อของหลัวซิวในปัจจุบันนี้ได้บรรลุไปถึงมหายุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว
เมื่อบวกกับหมัดกระบี่ที่เป็นทักษะยุทธ์ร่างเนื้อที่เขาตระหนักรู้แล้ว เมื่อใช้สังหารมหายุทธ์ขั้นสามย่อมทำสำเร็จได้อย่างง่ายดาย
“เปรี้ยง!”
เพลิงมรณะแผ่ซ่านออกมาจากภายในร่างแล้วหมุนวนไปทั่วร่าง ก่อนจะลุกโหมขึ้นสูง
พลังงานที่แผ่ซ่านออกมายังไม่ทันจะได้เข้ามาประชิดร่าง ก็ถูกเพลิงมรณะหลอมละลายไปจนไม่ส่งผลต่อความเร็วในการเคลื่อนที่ของเขา
เมื่อหลัวซิวใช้วิชาท่าร่างบรรลุมังกรเขียว ความเร็วของเขาก็ยิ่งเพิ่มขึ้นราวสายฟ้าฟาด เขาไม่สนใจการโจมตีของมหายุทธ์กลั่นวิญญาณแล้วพุ่งทะยานเข้าประชิดอีกฝ่ายทันที
ตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้จนถึงตอนจบ หลัวซิวใช้เวลาเพียงช่วง 3 ลมหายใจเท่านั้นและใช้หมัดกระบี่สามครั้งในการสังหารผู้แข็งแกร่งมหายุทธ์ขั้นสามทั้งสามคนจนสิ้นชีพกลางสนาม
อีกทั้งมหายุทธ์ทั้งสามคนนี้ยังไม่ใช่มหายุทธ์ทั่วๆ ไปอีกด้วย กระบวนท่าวรยุทธ์ที่แสดงออกมานั้นล้วนอยู่ในระดับวิชายิ่งเลิศ ซึ่งเทียบเท่ากับผู้แข็งแกร่งที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์
ตั้งแต่ตอนที่เข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ เวลาสั้นๆ ไม่ถึงหนึ่งปี พลังของหลัวซิวก็เพิ่มขึ้นมาจนอยู่ในระดับนี้ นับได้ว่าน่าหวาดหวั่นเป็นอย่างยิ่ง
“ผ่านชั้นหนึ่งภายในเวลาเพียงช่วงสามลมหายใจ พลังของเด็กคนนี้ไม่เลวเลย”
ผู้แข็งแกร่งนักยุทธ์จากแดนศักดิ์สิทธิ์หลายคนที่ล่องหนอยู่ด้านนอกหอคอยมหาภพ ดวงตาเป็นประกาย เพราะหลัวซิวมีอายุยี่สิบเอ็ดปีเท่านั้น
ส่วนอัจฉริยะที่มาจากแดนศักดิ์สิทธิ์ต่างตะลึงอ้าปากค้าง พวกเขารู้ดีว่าคู่ต่อสู้ที่อยู่ในชั้นหนึ่งรับมือยากขนาดไหน การพัฒนาฝีมือของหลัวซิวผู้นี้น่ากลัวยิ่งนัก
หอคอยมหาภพชั้นที่สอง
หลัวซิวพบกับคู่ต่อสู้สามคน ที่มีพลังอยู่ในระดับมหายุทธ์ขั้นหก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งขนาดนี้ แม้ว่าแดนร่างเนื้อของเขาจะไปถึงแดนมหายุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว แต่เขาก็ยังคงรู้สึกได้ถึงความกดดันอย่างใหญ่หลวง
ไม่มีทางเลือกอื่น หลัวซิวได้แต่ใช้พลังแห่งกฎความตายเท่านั้น
“เพียงช่วงสิบลมหายใจเข้าออกก็ผ่านด่านชั้นสองได้แล้วหรือ”
เมื่อฝูงชนที่อยู่ด้านนอกเห็นว่าเขาใช้เวลาเพียงช่วงสิบลมหายใจ แสงสีม่วงบนชั้นสามก็สว่างวาบขึ้น ทุกคนต่างตะลึงจนตัวแข็งทื่อ
แม้แต่ซิงหลิงเองก็ยังต้องขมวดคิ้ว เพราะแม้ว่าเขาจะตระหนักรู้พลังแห่งกฎสามชนิด ก็ยังต้องใช้ลูกเล่นมากมายถึงจะผ่านชั้นที่สามไปได้ผ่านในระยะเวลาเพียงช่วงสิบลมหายใจ
แต่เมื่อใช้กระบวนท่าที่มีพลังแข็งแกร่งจากวิชายิ่งเลิศแล้ว ทำให้ผู้ฝึกตนเกิดการสูญเสียอย่างมาก เมื่อผ่านไปถึงชั้นสามแล้วอาจจะหมดแรงไปเสียก่อน
“เฮ้อ ก็แค่อยากแสดงฝีมือก็เท่านั้น หลังจากใช้กระบวนท่าอันแข็งแกร่งแล้ว เขาจะทนอยู่บนชั้นสามได้อย่างมากสุดเพียงช่วงเวลายี่สิบลมหายใจเท่านั้้น” ซิงหลิงกล่าวขัดขึ้น
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินคำพูดของเขาเช่นนี้ก็แสดงทีท่าเห็นด้วย เพราะพวกเขาไม่ยอมที่จะเชื่อว่าหลัวซิวแข็งแกร่งกว่าซิงหลิง