ในขณะเดียวกัน มกุฎอัคคีนภาแดงก็ได้มีจุดตันเถียนเป็นศูนย์กลางและแผ่ซ่านไปยังส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย พลังอันมหาศาลเติมเต็มไปทั่วร่างกาย
ภูตอัคคีเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่กำเนิดจากฟ้าดิน ภูตอัคคีที่แตกต่างกันออกไป มีแหล่งกำเนิดที่ไม่เหมือนกัน และการฝึกฝนของภูตอัคคีร้อยแปร คือการอาศัยพลังแหล่งกำเนิดของภูตอัคคีกลืนกินมาแย่งชิงดูดกลืนบ่อเกิดของภูตอัคคีอื่น ๆ
ภูตอัคคีกลืนกินได้กลืนกินบ่อกำเนิดของภูตอัคคีเปลวเยือก แต่พลังอันมหาศาลที่มีอยู่ในภูตอัคคีมาแต่เดิม จะกระจายไปโดยอัตโนมัติ กลายเป็นสารอาหารเพื่อเพิ่มระดับผลการฝึกตน
พลังอันบริสุทธิ์ถูกกลั่นแปรอย่างต่อเนื่อง ผลการฝึกตนพลังจิตแท้ของหลัวซิวเพิ่มขึ้นเรื่อง ๆ แสงสว่างสาดส่องไปทั่วร่างกาย ในตอนที่มกุฎอัคคีนภาแดงฝึกฝนสำเร็จนั่นเอง ผลการฝึกตนของเขาก็ได้มาถึงจุดหัวเลี้ยวหัวต่อ และกำลังจะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด
หลัวซิวรู้สึกดีอกดีใจขึ้นมา ในตอนที่เข้าพึ่งเข้ามาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์นั้นพึ่งจะอยู่ในแดนมกุฎยุทธ์ขั้นหนึ่ง คิดไม่ถึงว่าผ่านไปแค่หนึ่งปีกว่า ๆ เขาก็ใกล้จะบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ดแล้ว
หลับตารวบรวมสติ นำพาจิตใจและความรู้สึกนึกคิดให้อยู่ในสภาพที่สงบที่สุด หลัวซิวขับเคลื่อนวงล้อชีวิตแห่งเหล่าเทวเทพจนถึงขีดสุด รวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อทะลวงจุดคอขวด
ไม่รู้ว่าเป็นเช่นนี้อยู่นานเท่าใด จู่ ๆ คลื่นพลังจิตอันดุเดือดก็ได้กระจายไปทั่วตำหนักเต๋า และเนื่องจากพลังงานไม่เพียงพอ ทำให้ปราณทิพย์อันมหาศาลที่อยู่เหนือดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ถูกนำพามายังตำหนักเต๋า
“หือ? ปราณทิพย์ต่างรวมกันไปยังตกหนักเต๋า ดูท่าหลัวซิวจะบรรลุอีกแล้ว” ในตำหนักที่อยู่บนยอดเขาสูงสุด เทวทูตจื่อเยียนค่อย ๆ ลุกยืนขึ้น ใบหน้าแฝงไปด้วยรอยยิ้ม
“ฮ่า ๆ บรรลุจากมกุฎยุทธ์ขั้นปฐมภูมิถึงมกุฎยุทธ์ขั้นกลางได้ภายในระยะเวลาเพียงหนึ่งปี และแดนในการตระหนักรู้กฎยิ่งสูงกว่า ความสำเร็จในอนาคตของคนผู้นี้ไร้ขีดจำกัด” ไม่ไกลจากเทวทูตจื่อเยียนนัก เจ้าแดนหลิวมือลูบเคราขาวพลางยิ้มกล่าว
เทวทูตจื่อเยียนพยักหน้า แต่จู่ ๆ สีหน้าก็เปลี่ยนไป “ในมือเขายังมีภูตอัคคีชนิดอื่นอยู่อีกหรือ?”
นางสัมผัสได้แล้วว่าหลัวซิวฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงครั้งที่หนึ่งของภูตอัคคีร้อยแปรได้สำเร็จ นึกกว่าเขาได้กลืนกินภูตอัคคีฟ้าครามแต่ตอนนี้นางกลับยังคงสัมผัสถึงกลิ่นอายของภูตอัคคีฟ้าครามได้อยู่ เช่นนั้นภูตอัคคีที่เขากลืนกืนไปเมื่อสักครู่จะต้องเป็นภูตอัคคีชนิดอื่นอย่างไม่ต้องสงสัย
ในตำหนักเต๋า หลัวซิวถือลูกแก้วที่มีขนาดเท่ากำปั้นลูกหนึ่งเอาไว้ในมือ เป็นภูตอัคคีที่เจ้าแดนหลิวให้เป็นรางวัลกับเขานั่นเอง
ภูตอัคคีที่ถูกผนึกเอาไว้ด้านในลูกแก้วเปล่งแสงสีเขียวอ่อน ๆ มีชื่อว่าภูตอัคคีฟ้าครามว่ากันว่าสิ่งมีชีวิตที่ถูกภูตอัคคีชนิดนี้แผดเผา ต้นกำเนิดของวิญญาณนั้น ๆ ก็จะถูกแผดเผาไปด้วย ไม่ได้ผุดได้เกิดอีกเลย
“ตามบันทึกในภูตอัคคีร้อยแปร การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีเรียกว่ามกุฎอัคคีนภาเหลือง แม้แต่เจ้ายุทธจักรผู้แข็งแกร่งยังต้องหลบห่างจากมัน”
“แต่คิดจะฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีจะต้องมีความสามารถในแดนเจ้ายุทธจักร ไม่รู้ว่าข้าจะทำสำเร็จหรือไม่?” หลัวซิวขมวดคิ้วเล็กน้อย
สามารถทะลวงผ่านหอคอยสุดหล้าชั้นที่สี่ ที่จริงแล้วสามารถแสดงได้ว่าเขามีความสามารถในการต่อต้านเจ้ายุทธจักรธรรมดาทั่วไป แต่การเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคีไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย หากหลุดพ้นจากการควบคุมแล้วกลับมากลืนกินตัวเอง ผลลัพธ์ไม่อาจคาดเดาได้
หลัวซิวไม่ได้ลังเลมากนัก เขาบีบลูกแก้วแตกในทันที และดูดกลืนภูตอัคคีฟ้าครามลงไปยังจุดตันเถียน
หลายปีมานี้ ผลการฝึกตนของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่กลับไม่ได้เป็นไปอย่างราบรื่น แต่ได้ผ่านความทุกข์ทรมานอยากลำบากมามากมาย ดังนั้นเขาจึงทราบเป็นอย่างดีว่าการฝึกตนในโลกยุทธ์ โดยเฉพาะเมื่อเผชิญหน้ากับโอกาสและจุดหัวเลี้ยวหัวต่อในการบรรลุ ที่ต้องการยิ่งกว่าก็คือความกล้า!
นอกจากความกล้าแล้ว ยังมีความเชื่อมั่นในตนเอง เชื่อมั่นในตนเองจะต้องสำเร็จอย่างแน่นอน
บางทีอาจเป็นเพราะมกุฎอัคคีนภาแดงที่เกิดจากการกลืนกินนั้นแข็งแกร่งยิ่งกว่า ฝึกฝนการเปลี่ยนแปลงครั้งที่สองของภูตอัคคี ใช้เวลาประมาณสิบวันเท่านั้น
ภายใต้การหนุนนำจากพลังของภูตอัคคีเปลวเยือกและภูตอัคคีฟ้าครามในที่สุดผลการฝึกตนของหลัวซิวก็บรรลุจุดคอขวด ก้าวเข้าสู่แดนมกุฎยุทธ์ขั้นเจ็ด!
“สำเร็จแล้ว!”