“วูบ!”
แสงอันมืดมิดมากระทบ ตัวสำนึกของหลัวซิวนั้นค้นพบอยู่นานแล้วว่ามีผู้แข็งแกร่งเผ่าพันธุ์มารหลบอยู่ในมุมมืด
เจ้าอสูรเสือสีดำระดับเจ็ดตัวนั้น มีเผ่าพันธุ์มารผู้นี้คอยควบคุม และพลังของเผ่าพันธุ์มารผู้นี้ คือแดนมหายุทธ์
“รนหาที่ตาย!”
หลัวซิวพลิกมือฟาดออกไป เพลิงนิลหลวมรวม กลายเป็นฝ่ามือขนาดมหึมา
ด้วยพลังการต่อสู้ในปัจจุบันของเขา นอกเสียจากเหล่าผู้แข็งแกร่งอาวุโสระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ขึ้นไปเท่านั้น ที่จะสามารถทำให้เขากังวลใจได้
ปัง!
วินาทีที่แสงมืดมิดปะทะเข้ากับฝ่ามือเพลิงนิล ก็พังทลายลงทันที จากนั้นฝ่ามือเพลิงนิลฟาดลงมา เผ่าพันธุ์มารวัยกลางคนคนหนึ่งก็เผยสีหน้าหวาดวิตก ก่อนที่จะถูกฝ่ามือนั้นฟาดจนแตกละเอียดกลายเป็นผุยผง
“คิดจะตามหาภูตทองในผืนป่าแห่งนี้ ดูแล้วคงจะไม่สงบสุข” หลัวซิวขมวดคิ้ว
หากมีเพียงกองกำลังใหญ่ต่าง ๆ จากเผ่าพันธุ์มนุษย์เข้าร่วมการค้นหา นั่นก็ถือว่าไม่เท่าไร
แต่เมื่อมีการมาของเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ ก็จะยิ่งทำให้สถานการณ์ในผืนป่าแห่งนี้วุ่นวายมากยิ่งขึ้น
ถึงแม้หลังจากประสบอุบัติภัยโบราณ มนุษย์ ปีศาจและมารจะได้ลงนามสงบศึก แบ่งอาณาเขตในโลกแสงดาวให้กับเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ก็สามารถรักษาความสงบได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
ระหว่างสามเผ่าพันธุ์มีการเคลื่อนไหวอย่างลับ ๆ ครั้งนี้มาตามหาภูตทอง อัจฉริยะรุ่นเยาว์จากเผ่าพันธุ์มนุษย์กองกำลังใหญ่ต่าง ๆ ก็เข้าร่วมไม่น้อย หากสามารถอาศัยโอกาสนี้เข่นฆ่าอัจฉริยะเผ่าพันธุ์มนุษย์ แน่นอนว่าต้องเป็นสิ่งที่น่าดูชมสำหรับเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ
หลัวซิวเดินต่อไปในผืนป่า ตัวสำนึกกระจายออกไปค้นหาการเคลื่อนไหวของออร่าพลังเกิงจิน
แต่ว่าเมื่อค้นหาเป็นเวลาสามวันติดต่อกัน กลับไม่พบสิ่งใดปรากฏขึ้นเลย และภายในระยะเวลาสามวันนี้ หลัวซิวก็ต้องพบกับการลอบโจมตีหลายครั้ง อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงแค่คนจากเผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจ แม้กระทั่งจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ยังอยากฆ่าเพื่อชิงทรัพย์
ความเยือกเย็นของมนุษย์ ช่างหน้าเกรงกลัว เผชิญหน้าการล่าของเผ่าพันธุ์มารปีศาจยังไม่พอ กลับยังต้องเผชิญการต่อสู่จากภายในอีก
นอกจากตนเองจะต้องเผชิญหน้ากับการลอบโจมตีแล้ว หลัวซิวก็ยังเห็นร่างไร้วิญญาณอีกจำนวนไม่น้อย มีทั้งเผ่าพันธุ์มาร มีทั้งเผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่ที่มากที่สุดเห็นจะเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์
เพราะเมื่อเข้ามาในผืนป่าแห่งนี้ ด้วยจำนวนที่มากมายของจอมยุทธ์เผ่าพันธุ์มนุษย์ อีกทั้งยังมีทั้งคนดีคนชั่วปะปนกันไป
แต่เผ่าพันธุ์มารและเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มาที่นี่นั้นต่างก็เป็นชนชั้นสูง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังระดับมหายุทธ์ช่วงกลางขึ้นไป และในนั้นก็ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์อยู่อีกหลายคน
วันที่สี่ หลัวซิวเหมือนว่าจะได้ยินเสียงการต่อสู่ที่ดุเดือด เขาจึงได้พุ่งไปตามทิศทางของเสียงนั้นทันที
จากนั้นไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงตำหนักแห่งหนึ่งที่ไม่โดดเด่นใกล้หุบเขาเล็ก ๆ คิ้วก็พลันขมวดเข้าหากันทันที
เพราะว่าหุบเขาเล็ก ๆ ที่ดูธรรมดามาก ไม่เป็นที่สะดุดตา แต่กลับมีร่องรอยของค่ายกลที่ซ่อนเร้นอยู่อย่างมิดชิด หากว่าระดับค่ายกลของเขาไม่ได้เข้าใกล้ระดับขั้นแปด เขาก็ไม่มีทางที่จะสามารถมองออกได้เลย
เสียงการต่อสู้ที่เขาได้ยินนั้น มันดังออกมาจากในหุบเขาเล็ก ๆ แห่งนี้เอง
หลัวซิวไม่ได้เสี่ยงเข้าไป แต่เดินสำรวจอย่างละเอียดไปรอบ ๆ บริเวณด้านนอกหุบเขา สังเกตการณ์ร่องรอยทิศทางของค่ายกล
“ยังดี เป็นแค่ค่ายกลซ่อนเร้น”
เนิ่นนานหลังจากนั้น หลัวซิวแน่ใจแล้ววาสค่ายกลที่นี่ไม่ใช่ค่ายสังหาร แต่เป็นเพียงค่ายกลซ่อนเร้นที่แยกตัวออกจากโลกภายนอกเท่านั้น
หากว่าเป็นเพียงค่ายกลซ่อนเร้น แม้ว่าระดับจะสูงมากเพียงใด ก็ไม่ได้มีความอันตรายใด ๆ แฝงอยู่ ดังนั้นหลัวซิวจึงสาวเท้าก้าวเข้าไปภายในหุบเขา
ภายในหุบเขาแตกต่างจากภายนอก ราวกับเป็นโลกสองใบที่ต่างกัน
ข้างนอกคือผืนป่ากว้างไม่มีที่สิ้นสุด แต่ด้านในหุบเขานี้ มันคือตำหนักที่เต็มไปด้วยแสงสว่างเปล่งประกาย
ตำหนักที่ส่องแสงระยิบระยับนี้ลอยอยู่กลางอากาศ ราวกับดวงอาทิตย์ที่เปล่งแสงสะพรั่งพราวพร่างพราย
“ออร่าเกิงจินเข้มข้นมาก เหมือนว่ายังมีความเคลื่อนไหวของกฎ หรือว่าภูตทองจะอยู่ที่นี่?”
หลัวซิวตื่นเต้นจนใจสั่น รีบเหยียบเหินเดินอากาศขึ้นไป ร่อนตัวลงหน้าตำหนักแห่งแสงสว่างที่ลอยอยู่บนอากาศ