“ฮ่า ๆ เจ้ามาเข้าใจเอาป่านนี้มันสายเกินไปแล้ว!” สำแสงแปรเปลี่ยนเป็นรูปร่างของผู้เฒ่า สายตาลุกเป็นไฟนั้นจ้องเขม็งไปยังช่องจิตปลอมใจกลางตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว “พลังวิญญาณบริสุทธิ์เหลือเกิน หลังจากกลั่นแปรสามารถทำให้ข้าฟื้นฟูกลับสู่แดนเทพมารได้ในเวลาอันสั้น”
“ฮึ เจ้าดีใจเร็วเกินไปแล้ว” หลัวซิวหัวเราะเสียงเย็น มกุฎอัคคีนภาเหลืองสีทองปรากฏอยู่กลางตัวหยั่งรู้ พุ่งเข้าไปอีกฝ่ายทันที
อีกฝ่ายไม่ได้ลงมือโจมตีเขาในตอนที่เขาเข้ามาในตำหนักแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเศษจิตสำนึกที่หลงเหลืออยู่ของราชาเทพหงเทียนนั้นอ่อนแอมากเพียงใด ดังนั้นจึงทำได้เพียงอาศัยวินาทีที่เขาไม่ทันได้ระวังตัวลอบโจมตี ด้วยเหตุนี้ถึงแม้หลัวซิวจะตกใจมากเพียงใด แต่ก็ไม่ได้กังวลใจจนทำให้เกิดเรื่องผิดพลาด
“ภูตอัคคีร้อยแปร? เจ้าก็ฝึกตนวรยุทย์พลังอมตะด้วย?”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนมีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เหมือนกับที่หลัวซิวคาดการณ์เอาไว้ทุกอย่าง เขาถูกผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส เพียงฝ่ามือเดียวก็สามารถทำลายร่างเนื้อของเขา เทพจิตก็เหลือเพียงเศษจิตสำนึกบาง ๆ ดีกว่าสภาพวิญญาณแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“ดารานภาปราณม่วง!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนชี้นิ้วขึ้น ปราณม่วงพุ่งปะทุออกมา ดับเปลวเพลิงสีทองอย่างรวดเร็ว
ในเวลาเดียวกัน เขาได้กลายร่างเป็นลำแสงสีม่วงพุ่งตรงไปที่วิญญาณดั่งเดิมของหลัวซิว
“เหวิง!”
ทันใดนั้นตะเกียงเทพก็ปรากฏขึ้น แสงสีทองศักดิ์สิทธิ์เบ่งบานไม่รู้จบ กั้นขวางเศษจิตสำนึกของหงเทียนที่แปรเปลี่ยนเป็นลำแสงสีม่วงเอาไว้
จากนั้นหลัวซิวก็รวบรวมพลังแห่งกฎความตายอีกครั้ง แปรเปลี่ยนเป็นหอกยุทธ์มังกรดำ ด้วยการพยุงของเทพจิต ก้าวเข้าไปด้านหน้าเพื่อเข่นฆ่าทันที
หงเทียนถึงแม้ในตอนที่ยังมีชีวิตนั้นถือเป็นผู้แข็งแกร่งระดับราชาเทพ แต่ถึงอย่างไรเหลือเพียงแค่เศษจิตสำนึกบาง ๆ เท่านั้น หลัวซิวไม่ได้เกรงกลัวแม้แต่น้อย
“เจ้า ……”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนก็คาดไม่ถึงว่ามดตัวหนึ่งที่มีผลการฝึกตนมหายุทธ์กลับมีวิชาระดับนี้ ไม่นับว่าฝึกตนวิชาเพลิงพลังอมตะ แต่กลางตัวหยั่งรู้ยังมีนักยุทธ์เทพมารชิ้นหนึ่งคอยคุ้มกันอยู่
นาทีนี้เขาอยู่ในตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว จึงไม่สามารถเรียกใช้พลังงานของตำหนักจื่อเซียวได้เลย
“เจ้าหนู ข้ารอมาเป็นเวลาเนิ่นนานเพียงใด ในเมื่อเจ้าไม่ยอมให้ข้าใช้ร่าง เช่นนั้นข้าก็จะทำลายเจ้าให้สิ้น!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนรู้สึกถึงความสิ้นหวังในการยึดร่าง เศษจิตสำนึกอันแสนบอบบางที่เขาเหลืออยู่ทั้งหมด หากต้องสูญสิ้นไปเช่นนี้เรื่อย ๆ เกรงว่าอาจจะแตกสลายไปได้ทุกเวลา
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ความโกรธของเขาก็พุ่งขึ้นสูงเสียดฟ้า ทันใดนั้นก็หมายจะถอยออกมาจากตัวหยั่งรู้ของหลัวซิว
หลัวซิวรู้ดีว่า เมื่อใดก็ตามที่เขาออกมาจากตัวหยั่งรู้ได้ เมื่อนั้นก็จะสามารถใช้พลังของตำหนักจื่อเซียวได้ สามารถฆ่าเขาให้ตายคาที่อยู่ในตำหนักแห่งนี้ได้อย่างง่ายดาย
ดังนั้นเขายังไม่ลังเลที่จะผลักดันภูตอัคคีร้อยแปรอย่างเต็มกำลัง ปิดตายทางอออกเอาไว้
“สารเลว!”
เศษจิตสำนึกของหงเทียนกราดเกรี้ยว เศษจิตสำนึกอันบอบบางอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่ภายในอนัตตาไม่สิ้นไม่รู้วันรู้คืน เดิมคิดว่าสามารถรอจนที่จะได้มีโอกาสเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง แต่คาดไม่ถึงว่ากลับจะต้องมาพบเจอกับอันตรายที่นี่ จึงได้ไม่สามารถควบคุมความรู้สึกกลายเป็นความบ้าคลั่งขึ้นมาในทันที
ว่ากันตามหลักการ เขาคือราชาเทพผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง ถึงแม้จะเหลือเพียงแค่เศษจิตสำนึกอันบอบบาง ต้องการจะยึดร่างของมหายุทธ์ตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับเป่าฝุ่น แต่ไม่ว่าอย่างไรเขาก็คิดไม่ถึง เจ้าหนูมหายุทธ์ตัวเล็ก ๆ กลับรับมือได้ยากมากเช่นนี้ ความยากให้การยึดร่างของเขานั้น ดูเหมือนจะยากไม่น้อยกว่ายึดร่างของแดนมหาจักรพรรดิยุทธ์ท่านหนึ่งเลย
“ข้าไม่สนใจว่าในอดีตเจ้าจะแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ในเมื่อเจ้าหมายจะยึดร่างข้า ก็อย่าได้หาว่าข้าโหดเหี้ยมไร้ความปราณี”
หลัวซิวสีหน้าเย็นยะเยือก มกุฎอัคคีนภาเหลืองแปรเปลี่ยนเป็นกรงเพลิงสีทอง ขังเศษจิตสำนึกของหงเทียนเอาไว้
ทันใดนั้นเขาก็เอาตะเกียงเทพที่ส่องสว่างวางเอาไว้ด้านบนกรงอีกครั้ง กดเศษจิตสำนึกอันบอบบางนี้ด้วยกฎสว่างที่ตะเกียงเทพแพร่ขยายออกมา
เศษจิตสำนึกของหงเทียนคำรามอย่างฉุนเฉียว ไม่เสียดายที่จะใช้พลังงานวิญญาณที่เหลืออยู่ไม่มากทำลายกรงเพลิงให้แหลกสลาย หมายจะหนีออกมา
แต่หลัวซิวกลับไม่ได้ให้โอกาสเช่นนี้กับเขา เมื่อกรงเพลิงถูกทำลาย จากนั้นมันก็หลอมรวมขึ้นมาใหม่อีกครั้งในทันที
เดิมทีเศษจิตสำนึกของหงเทียนนั้นพลังงานวิญญาณที่ไม่ได้เหลืออยู่มากนัก ตามการโจมตีอย่างต่อเนื่องของเขา พลังงานวิญญาณก็ค่อย ๆ อ่อนแอลงไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งในท้ายที่สุด ก็ไม่สามารถทำลายการกักขังของกรงเพลิงได้อีกต่อไป