มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 919
หลัวซิวเหลือบไปตาขึ้นไปมองรอยฝ่ามือบนกำแพงตำหนักม่วง ใจในก็พลันรู้สึกตื่นตะหนกอย่างไม่มีสาเหตุ เห็นได้ชัดว่ารอยฝ่ามือนี้เป็นสิ่งที่หลงเหลือไว้จากมหาสงครามที่น่าเกรงกลัวนั้น
มหาสงครามสะเทือนขวัญนี้เกิดขึ้นที่กลางอวกาศ บางสิ่งที่มีความแข็งแกร่งมากเพียงแค่โบกมือก็สามารถทำให้ดวงดาวแตกสลายเป็นผุยผง แข็งแกร่งเกินคาดเดา
ก่อนที่ฝ่ามืออันน่าหวาดเกรงนั้นจะปรากฏขึ้น หลัวซิวก็เป็นว่าตำหนักม่วงลอยเข้ามา ปราณม่วงอันทรงพลังที่แผ่กระจายออกมานั้นเข้าโจมตี บดขยี้ดวงดาวนับร้อยดวงให้แหลกสลาย เข่นฆ่าผู้แข็งแกร่งนับพันคน
ในวินาทีที่ตำหนักม่วงถูกฝ่ามือปะทะเข้ามานั้น ภาพทั้งหมดที่ปรากฏขึ้นในปราณม่วงทั้งหมดก็ได้จบลง จากนั้นปราณม่วงที่ปั่นป่วนก็กลับมาสงบเช่นเดิม
หลัวซิวยืนอยู่ท่ามกลางหมอกม่วง รู้สึกขนลุกขนพอง เขาสามารถเห็นตำหนักม่วงที่อยู่ท่ามกลางมหาสงครามด้วยตาตนเอง เพียงแค่ปราณม่วงก็สามารถบดขยี้ดวงดาวให้แหลกสลายได้ ถ้าหากปราณม่วงยังคงมีพลังอันน่าหวาดเกรงเช่นนั้นอยู่ ไม่ต้องพูดถึงเขาเลย แม้แต่ร่างเนื้อของภูตมรณะมารเทพก็ต้องแหลกสลายเป็นผุยผงในชั่วพริบตาอย่างแน่นอน
ที่โชคดีก็คือ ตำหนักม่วงแห่งนี้สงบเงียบมาเนิ่นนานเป็นจนไม่สามารถประเมินระยะเวลาได้ อีกทั้งยังถูกผู้แข็งแกร่งไร้เทียมทานทำลายด้วยฝ่ามือเดียว บางทีอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูพลังอำนาจได้เหมือนอย่างเมื่อก่อนอีก
ภูตมรณะมารเทพกับเห้อหมิงกำลังเข้าไปสำรวจเส้นทางด้านหน้า หลัวซิวตามหลังไปติด ๆ เหาะตรงไปยังตำหนักม่วงที่ลอยอยู่กลางอากาศ
ตามระยะทางที่ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หลัวซิวพบว่าตำหนักแห่งนี้เหมือนกับหมู่เกาะ ที่ด้านบนของตำหนักมีตัวอักษรสลักเอาไว้ ตำหนักจื่อเซียว!
หลัวซิวเดินขึ้นไปข้างหน้า และไม่ได้รับรู้ถึงออร่าของความอันตราย เอื้อมมืออกไปดันประตูตำหนัก ด้วยความแข็งแกร่งของร่างเนื้อร่างยุทธ์แดนเจ้ายุทธจักรขั้นสุด กลับไม่สามารถทำให้ประตูนั้นเปิดออกได้
หลัวซิวจึงได้ให้ภูตมรณะทั้งสองเข้ามาช่วยกันในทันที ภายใต้การออกแรงสุดกำลัง ได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้น ประตูตำหนักถูกดันเปิดออกเป็นช่องว่างเล็ก ๆ
ออร่าที่กว้างใหญ่มหาศาลไม่สามารถคาดเดาได้นั้นพุ่งทะลุออกมา ทำให้หลัวซิวรู้สึกเหมือนว่ากาลเวลากำลังผันเปลี่ยน ราวกับออร่านี้มีความลึกลับของเวลาและปริภูมิทั้งสองกฎระดับสูงแฝงอยู่
ในเวลานี้เอง ออร่าแรงดึงดูดก็ลอยออกมาอย่างกะทันหัน หลัวซิวยังไม่ทันได้รู้สึกตัว ร่างกายก็พลันถูกดูดเข้าไปในภายในตำหนักโดยไม่สามารถควบคุมได้
วินาทีที่ถูกออร่าปริศนาดึงดูดเข้าไปภายในตำหนักนั้น หลัวซิวไม่ลังเลที่จะเรียกตำหนักเสวียนดำออกมา อีกทั้งยังเรียกหอกยุทธ์มังกรดำออกมาด้วย พลังทั้งหมดถูกปล่อยออกมา พร้อมตั้งรับเต็มรูปแบบ
แต่ว่าเขากลับไม่ได้รู้สึกถึงอันตรายใดที่ปรากฏออกมาแม้แต่น้อย ทั่วทั้งตำหนักแพร่กระจายเต็มไปด้วยปราณม่วงเข้มข้น ทุกสายในปราณม่วงต่างก็มีภาพนิมิตปรากฏอยู่ หลัวซิวรู้สึกราวกับกำลังดูวิวัฒนาการแห่งฟ้าดิน ภาพของสรรพสิ่งที่ต่างกลับคืนสู่เถ้าธุลี
เขามองไปรอบ ๆ ทั้งสี่ทิศ ภายในตำหนักมีเสาหิน 108 ต้น บนเสาหินทุกต้นต่างก็มีร่องรอยกฎสลักไว้นับไม่ถ้วน มากจนไม่สามารถคาดการณ์ได้
เงยหน้าขึ้นไปมอง เขามองเห็นท้องฟ้าที่เปล่งประกายระยิบระยับไปด้วยดวงดารา ซึ่งเป็นผลจากการแปรเปลี่ยนของปราณม่วง
“กาลเวลาผ่านไปเนิ่นนานเพียงใดไม่อาจล่วงรู้ แต่กลับรอคอยการมาถึงของชีวิตหนึ่งที่แม้แต่แดนเทพมารก็ยังไม่สามารถบรรลุถึง”
ทันใดนั้น เสียงน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความเสียดายก็ดังขึ้นมา ทำให้สติของหลัวซิวถูกรวบรวม ความเคร่งขรึมระแวดระวังเกิดขึ้นในใจ
“ใครกัน?” เขาหันไปมองทั่วทั้งสี่ด้าน แต่เสียงนั้นกลับไม่มีรูปร่างใด ๆ ไม่สามารถระบุได้ว่าดังมาจากที่ใด
“ถึงแม้จะมีแค่เพียงแดนมหายุทธ์ แต่แดนกฎกลับบรรลุถึงแดนสำเร็จน้อยช่วงปลายแล้ว นับว่ามีพรสวรรค์ที่ดีทีเดียว” น้ำเสียงของอีกฝ่ายแสดงให้เห็นถึงความแก่ชรา ประเมินคุณสมบัติของหลัวซิว
ทันใดนั้น ปราณม่วงลำแสงหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าหลัวซิว แปรสภาพกายเป็นรูปร่างของผู้เฒ่าท่านหนึ่ง มองมาทางเขาด้วยท่าทีสงบ
หลัวซิวรี่ตา สังเกตเห็นว่าร่างของผู้เฒ่าที่ปรากฏขึ้นมานั้นไม่ใช่ร่างจริง แต่เป็นภาพลวง อีกทั้งยังสูญเสียแขนไปอีกอีกหนึ่งข้าง
“เจ้าหนุ่มน้อย ข้าคือจิตภัณฑ์ของตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้ เจ้ามิต้องเป็นกังวลใจ ข้ามิได้หมายจะทำอันตรายต่อเจ้า” ผู้เฒ่าค่อย ๆ พูดออกมาช้า ๆ
“ข้าน้อยเพียงแค่บุ่มบ่ามเข้ามาในที่แห่งนี้ด้วยความไม่ระวัง หากทำสิ่งใดให้เกิดเป็นการรบกวน ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”
หลัวซิวไม่ได้ลดการป้องกันลงแต่อย่างใด ตำหนักจื่อเซียวแห่งนี้มีบางอย่างแปลกประหลาด เขารู้สึกเพียงแค่อยากจะออกไปให้เร็วที่สุด