อย่างไรก็ตาม ชื่นชมก็ส่วนชื่นชม ถ้าอีกฝ่ายดื้อดึงไม่ยอมรับ คิดแต่จะเป็นศัตรูกับตน เมื่อได้พบกันในอนาคตหลินสวินก็จะไม่ปรานีจินมู่อวิ๋นเพราะเหตุนี้แน่
หลินสวินนั่งขัดสมาธิบนพื้น จ้องมองการต่อสู้บนสนามประลองที่อยู่ห่างไปพลางสรุปประสบการณ์การต่อสู้ก่อนหน้านี้
อย่างที่ทุกคนเห็นก่อนหน้านี้ ตั้งแต่การแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์เริ่มขึ้นเขาก็ออมมือมาโดยตลอด!
ไม่ว่าจะเป็นการพุ่งสังหารตอนขึ้นเขา ครองภูผา หรือการประลองในรอบแรกและรอบที่สอง ล้วนไม่เคยทำให้หลินสวินสำแดงพลังออกมาอย่างเต็มที่
ชิงเหวินเจวี้ยนทำไม่ได้ โก่วเหยียนเจินทำไม่ได้ หลี่ชิงผิงและปี้ตงหลิ่วเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน!
บางทีคนเหล่านี้ล้วนเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎชั้นหนึ่งแห่งยุค
แต่สำหรับหลินสวิน ไม่ได้มีพลังคุกคามที่แท้จริง
มีเพียงตอนที่ประลองกับจินมู่อวิ๋นเมื่อครู่นี้ที่ทำให้เขาระเบิดพลังออกมาอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแค่ใช้โทสะหยาจื้อ แม้แต่วิชาอริยะยุทธ์ก็ยังถูกเอามาใช้ด้วย
อีกทั้งยังสำแดงนัยเร้นลับที่แท้จริงของเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรอย่างเต็มศักยภาพ!
ซึ่งก่อนหน้านี้หลินสวินไม่เคยใช้เลย
เหตุผลง่ายมาก ก็เพราะไม่นานมานี้เขาเพิ่งหยั่งถึงแก่นพิสุทธิ์ของวิชาลับของสองวิชานี้ โดยอาศัยวิญญาณแห่งพลังจิต
อย่างเช่นเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ มรดกวิชาที่มาจากห้องโถงมรรคาสวรรค์ อานุภาพลึกล้ำไม่อาจคาดเดา นัยเร้นลับของหมัดเก้ากระบวนท่ารวมเข้าด้วยกัน ก็สามารถสำแดงอานุภาพอันยอดเยี่ยมของมัน…
หนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์!
แน่นอนว่าถูกจำกัดด้วยพลังปราณในตัว แม้หนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์จะแข็งแกร่งอย่างมาก แต่ถ้าใช้ในมือราชันที่แท้จริง เพียงแค่หมัดเดียวก็สามารถเขย่าท้องฟ้าแปดทิศ สังหารศัตรูอย่างง่ายดายราวกับฉีกภาพวาด
ส่วนมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรนั้น ได้รับมาจากเก้าศิลาประตูมังกรในภาคีนักสลักวิญญาณแห่งจักรวรรดิจื่อเย่า
มรดกวิชานี้แปรเป็นคำว่า ‘เคราะห์’ ที่เก่าแก่เรียบง่ายและแปลกประหลาด ลอยอยู่ในห้วงนิมิตของหลินสวินตลอดมา
จนถึงตอนนี้เขาฝึกวิชานี้มาหลายปีแล้ว แต่ช่วงที่ผ่านมานี้เพิ่งพอจะเข้าใจนัยเร้นลับทั้งหมดของเก้ากระบวนแปร
และตอนนี้เองที่หลินสวินเพิ่งค้นพบว่า เมื่อใช้พลังแห่ง ‘เก้ากระบวนแปร’ พร้อมกัน สามารถสำแดงอานุภาพที่เหนือจินตนาการได้
เขาถึงขั้นสงสัยว่า นี่ต่างหากที่เป็นนัยเร้นลับที่แท้จริงของมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หลอมรวมความมหัศจรรย์ของเก้ากระบวนแปร ผสานรวมเข้าไปในการต่อสู้ พลังอำนาจระดับนั้น แข็งแกร่งจนทำให้หลินสวินเองยังรู้สึกตกใจ
‘นัยเร้นลับของหนึ่งหมัดสะเทือนสวรรค์รู้ทะลุปรุโปร่งแล้ว อยากยกระดับอานุภาพนี้ ต้องอาศัยการเปลี่ยนแปลงของพลังปราณและพลังมหามรรคเท่านั้น’
‘ส่วนอานุภาพมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร กลับควบคุมได้เพียงขั้นเริ่มต้นเท่านั้น ห่างจากการหลอมรวมอย่างสมบูรณ์อีกระยะหนึ่ง หากต้องการยกระดับอานุภาพนี้ จะต้องใช้เวลากับมันมากกว่านี้’
หลินสวินใคร่ครวญและสรุปเงียบๆ
‘หลังจากเพิ่มพลังของดาบหัก หลอมรวมแก่นมรรคธาตุน้ำ โทสะหยาจื้อและวิชาอริยะยุทธ์ กระบวนเฉือนเกิดดับที่สำแดงออกมาดุเดือดรุนแรงถึงที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย’
‘แต่นี่ยังไม่ใช่ขีดจำกัดของวิชานี้…’
หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วไม่คิดมากอีก
ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีไพ่ใบเอกที่แท้จริงอีกใบที่ยังไม่ได้ใช้ หากไม่ถึงขั้นที่ถูกบีบจนไม่มีทางเลือก เขาจะไม่มีทางเปิดเผย!
……
ในสนาม การประลองระหว่างจินมู่อวิ๋นและเซี่ยวชางเทียนกำลังจะจบลงแล้ว
อย่างที่ทุกคนกังวล จินมู่อวิ๋นที่เพิ่งผ่านความเป็นตายมา ข้อเสียเปรียบของสภาวะจิตที่ไม่มั่นคงเผยออกมาในการต่อสู้ ทำให้เขาถูกเซี่ยวชางเทียนกดข่มไว้ตั้งแต่ยังสู้ไม่ถึงห้าร้อยกระบวนท่าแล้ว
ตอนที่ต่อสู้กันถึงแปดร้อยกระบวนท่า เขาก็ไม่มีแรงจะโต้ตอบแล้ว ทำได้เพียงหลบเลี่ยงป้องกันตัว
สุดท้ายเขาก็พ่ายแพ้
ไม่มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้น ถูกดาบหนึ่งของเซี่ยวชางเทียนสะเทือนจนกระอักเลือดตัวลอย ร่วงตกลงบนพื้น
ทุกคนต่างถอนหายใจ การพ่ายแพ้ในมือหลินสวิน สร้างแรงสะเทือนอันใหญ่หลวงต่อจินมู่อวิ๋นอย่างไม่ต้องสงสัย
หากไม่เป็นเช่นนี้ แม้เขาไม่สามารถเอาชนะได้ แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะพ่ายแพ้ไวขนาดนี้
เพียงแต่เหนือความคาดหมายของทุกคน จินมู่อวิ๋นที่พ่ายแพ้แล้ว แม้เงาร่างจะสะบักสะบอม ใบหน้าจะซีดเซียว แต่แววตาของเขากลับเจิดจ้าและแน่วแน่ แสดงความมุ่งมั่นออกมา ไม่ได้หดหู่เหมือนก่อนหน้านี้
‘ไม่เสียทีที่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอด ผ่านการต่อสู้ครั้งหนึ่ง กลับทำให้เขาใช้การต่อสู้นี้ค่อยๆ คลี่คลายเงามืดในจิตมรรค ผ่านการเคี่ยวกรำครั้งนี้ ทำให้เขามีสัญญาณว่ากำลังจะเปลี่ยนแปลงรางๆ อีกครั้ง!’
หลินสวินหรี่ตาลง สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงอันน้อยนิดในตัวจินมู่อวิ๋น
ทำให้เขาจำต้องยอมรับว่าจินมู่อวิ๋นสามารถฟาดฟันเข้ามาอยู่ในสี่อันดับแรกได้ ถือว่าไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ใช่ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎในความหมายทั่วๆ ไปจะสามารถเทียบได้
ทว่านี่ไม่มีผลใดๆ ต่อหลินสวิน ต่อให้จินมู่อวิ๋นมีการพัฒนาเปลี่ยนแปลง เขาก็มั่นใจว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้อีกครั้ง!
“ฝีมือเจ้าไม่เลว ครั้งนี้ข้าได้เปรียบไปมาก ต่อไปหากมีโอกาสสามารถประลองกันอีกครั้งได้”
เซี่ยวชางเทียนพูดจบก็หมุนตัวจากไป
จินมู่อวิ๋นเงียบและหมุนตัวจากไปเช่นเดียวกัน
สีหน้าของเขายิ่งดูนิ่งสงบ ไม่ได้เศร้าสร้อย แต่เป็นความรู้สึกที่เก็บซ่อนประกายคมอย่างหนึ่งหลังจากผ่านการเคี่ยวกรำ
“ดี!”
ผู้อาวุโสคนหนึ่งของสำนักกระบี่เทียมฟ้าเห็นเช่นนี้ สายตาพลันทอประกาย “คมกระบี่สมบัติผ่านการตีหลอม ข้ามผ่านความตาย หากสามารถเดินออกจากเงามืดได้ มู่อวิ๋นจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงที่น่าตกใจอย่างแน่นอน นี่อาจเป็นความโชคดีในความโชคร้าย!”
เมื่อคำพูดนี้ดังออกมา ก็ดึงดูดสายตาอิจฉาจำนวนไม่น้อยทันที
เหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเองก็ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
แต่ตอนนี้เอง เสียงหยาบกระด้างแปลกประหลาดของอาหลู่กลับสะท้อนก้องในลาน “เพราะฉะนั้นพวกเจ้าควรซาบซึ้งในบุญคุณของเทพมารหลินใช่หรือไม่ หากไม่มีเขาชี้แนะด้วยตัวเอง จะมีโอกาสให้จินมู่อวิ๋นได้เปลี่ยนแปลงเสียที่ไหน”
ทันใดนั้นบนใบหน้าของคนเหล่านั้นพลันย่ำแย่อย่างที่สุด โกรธจนจมูกเบี้ยว แทบอยากจะเข้าไปสู้กับอาหลู่สุดชีวิตเสียเดี๋ยวนี้
ผู้แข็งแกร่งของสำนักอื่นที่อยู่บริเวณนั้นก็ปวดหัวขึ้นมาวูบหนึ่ง ปากของเจ้าคนเถื่อนนี่ช่างร้ายกาจจนถึงที่สุด!
เพียงแต่การกระทำหลังจากนั้นของจินมู่อวิ๋น กลับเหนือความคาดหมายของทุกคนอีกครั้ง
ตอนที่เขาได้ยินคำพูดของอาหลู่ก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงมองยอดเขาไกลๆ ที่หลินสวินยืนอยู่ พูดว่า “ที่สหายยุทธ์คนนั้นพูดไม่ผิด ครั้งนี้ข้าต้องขอบคุณเจ้าเทพมารหลินจริงๆ ผ่านประสบการณ์ความตายมา ทำให้ข้ามีโอกาสอาบเพลิงเกิดใหม่ ถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก”
ทั้งลานเงียบกริบ ต่างไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งสำนักกระบี่เทียมฟ้าเหล่านั้นต่างหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างกะทันหัน รู้สึกไม่เข้าใจและอัดอั้นอย่างมาก
“แต่ความแค้นระหว่างข้ากับเจ้าไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ ชาตินี้ทั้งชาติก็ไม่มีทางคลี่คลายได้”
จินมู่อวิ๋นเปลี่ยนประเด็น สีหน้าเย็นชา ท่าทางไร้อารมณ์ราวกับกำลังพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกับตน
“เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง คำพูดที่ข้าพูดไปแล้วจะไม่เปลี่ยนแปลง หลังออกจากเขตหวงห้ามไร้มรณะนี้ ที่ใดมีเจ้าเทพมารหลินปรากฏตัว ข้าจะหลีกหนีไปให้ไกล!”
นี่คือสิ่งที่เขาพูดตอนเดิมพันสามกระบวนท่า
เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าจินมู่อวิ๋นกลับยอมรับอย่างจริงจังเช่นนี้ ทั้งยังนิ่งสงบมาก ไม่มีท่าทีว่าโกรธและเสียใจ
เขาเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ!
หลินสวินสามารถสังเกตได้อย่างฉับไวว่า สภาวะจิตและการขับเคลื่อนพลังของจินมู่อวิ๋นเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ยิ่งลึกล้ำและสงบกว่าเดิม
ราวกับกระบี่สมบัติที่ผ่านการหลอมตีมาอย่างโชกโชน ปลายคมเก็บงำอยู่ภายใน แต่กลับมีอานุภาพแห่งการตกตะกอนที่ทำให้คาดเดาไม่ได้
“เช่นนั้นย่อมดีที่สุด” หลินสวินพยักหน้า
พูดตามจริง เขาเจ็บแค้นเพียงแค่อวิ๋นชิ่งไป๋ และพวกคนที่ช่วยอวิ๋นชิ่งไป๋เท่านั้น สำหรับจินมู่อวิ๋น เขาไม่ได้มีความคิดที่จะฆ่าใดๆ
โดยเฉพาะตอนนี้ เห็นอีกฝ่ายรับคำตามสัญญาอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ ทำให้ในใจหลินสวินอดชื่นชมอีกฝ่ายมากขึ้นไม่ได้
จากการคาดเดาของเขา หลังจากมหายุคมาเยือน เพียงแค่พรสวรรค์น่าอัศจรรย์ไร้ที่เปรียบของจินมู่อวิ๋น เขาไม่มีทางเงียบหายไร้ชื่อเสียงแน่นอน
เพียงแต่ยามนี้กลุ่มคนสำนักกระบี่เทียมฟ้ากลับไม่จำยอมอย่างมาก การที่จินมู่อวิ๋นทำตามสัญญา ก็เท่ากับต่อไปไม่มีความคิดที่จะแก้แค้นหลินสวินอีกแล้ว
พวกเขาไม่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้!
สำหรับหลินสวิน พวกเขาชิงชังจนกัดฟัน ที่เป็นเช่นนี้เกี่ยวข้องกับอวิ๋นชิ่งไป๋ และเกี่ยวข้องกับเหล่าผู้กล้าสำนักกระบี่เทียมฟ้าอย่างพวกข่งหลิงที่หลินสวินเคยเอาชนะก่อนหน้านี้
……
ยกที่สี่ หลินสวินกับมารกระบี่เยี่ยเฉิน
ไม่ว่าการต่อสู้ก่อนหน้านี้จะสั่นสะเทือนเพียงใด อย่างน้อยตอนนี้ คำวิพากษ์วิจารณ์และการกระทำทั้งหมดในลานล้วนหยุดลงแล้ว
สายตาจับจ้องบนสนามประลองอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย!
มารกระบี่เยี่ยเฉิน ตอนนี้เพียงเสมอเซี่ยวชางเทียนเท่านั้น ยังไม่เคยพ่ายแพ้
ส่วนเทพมารหลินนั้นยิ่งวิปริตกว่า ตั้งแต่เริ่มการแข่งขันกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์จนถึงตอนนี้ ไม่ว่าสถานการณ์จะอันตรายเพียงใด ล้วนถูกเขาพลิกร้ายให้กลายเป็นดี เป็นการชนะขาดลอยอย่างแท้จริง
ทั้งสองกำลังจะเริ่มประลองกันตอนนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็ไม่อาจไม่จับตามอง
รวมทั้งเหล่าศัตรูของหลินสวินพวกนั้นยิ่งจับจ้องสนามประลองอย่างใกล้ชิด แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาคิดคือมารกระบี่เยี่ยเฉินสามารถชนะการต่อสู้ครั้งนี้ จบผลงานที่ไม่เคยพ่ายแพ้ของเทพมารหลิน!
“ในที่สุดก็จะได้เห็นความสามารถทั้งหมดของเทพมารหลินแล้ว…”
มีคนรุ่นอาวุโสถอนหายใจ
คนอื่นๆ ต่างรู้สึกเหมือนกัน ก่อนที่จะประลองกับจินมู่อวิ๋น ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเก็บออมพลังมาโดยตลอด
และแม้การประลองกับจินมู่อวิ๋นครั้งนี้ทำให้ทุกคนตระหนักได้ถึงความแข็งแกร่งของหลินสวิน ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบก็แค่สามกระบวนท่าเท่านั้น
เพียงแค่ทำให้พวกเขารู้ว่าหลินสวินแข็งแกร่งมากเท่านั้น แต่จะแข็งแกร่งแค่ไหน และแข็งแกร่งถึงขั้นไหนนั้น กลับไม่มีคำตอบที่แน่ชัด
ว่ากันถึงแก่นแล้วก็เป็นเพราะ ต่อสู้มาถึงตอนนี้ ยังไม่เคยมีใครบีบเทพมารหลินให้ตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย ดังนั้นขีดจำกัดของเขาอยู่ที่ไหนนั้นจึงไม่มีใครรู้ได้
ตอนนี้มารกระบี่เยี่ยเฉินปรากฏตัว บางทีอาจจะคลี่คลายคำตอบทุกอย่างได้!
“ขอพูดอีกครั้งว่าข้าจะไม่ออมมือ”
เยี่ยเฉินอยู่ในชุดคลุมสีม่วง แววตาสาดประกายประหลาดที่หมื่นกระบี่พุ่งทะลวง ราวกับจักรพรรดิแห่งกระบี่ มีอานุภาพเหยียดหยันรอบทิศ
เขาจ้องหลินสวิน สีหน้านิ่งสงบและจริงจังอย่างมาก
“หากเจ้าออมมือ จะแพ้ไวมาก”
หลินสวินยิ้ม เขารอคอยการประลองกับเยี่ยเฉินมานานแล้ว มีเพียงบุคคลระดับนี้ จึงจะกระตุ้นจิตต่อสู้ในใจเขาได้อย่างเต็มที่
เทียบกับเยี่ยเฉินที่เป็นเหมือนจักรพรรดิแห่งกระบี่ ทุกอริยบถของหลินสวินล้วนเผยความผงาดผยอง ทะนงตนไม่กลัวฟ้าดิน
กลิ่นอายที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งสองนี้ ความรู้สึกที่นำพามาสู่ทุกคนก็แตกต่างกัน แต่สิ่งที่สามารถมั่นใจได้คือ ทั้งสองล้วนน่ากลัวมาก!
“เช่นนั้นก็ให้ข้าได้ชื่นชมฝีมือของเจ้าสักหน่อย” เยี่ยเฉินไม่พูดพร่ำทำเพลง พลันกำฝ่ามือเรียวยาวขาวผ่อง
เสียงชิ้งดังขึ้นคราหนึ่ง กระบี่ไม่พันผูกที่คดโค้งดุจมังกรเจินหลง ไอม่วงซัดสาดโฉบออกมา เจตกระบี่ทะลวงฟ้า อัดแน่นในใต้หล้า
กลางฟ้าดิน เจตกระบี่เรืองรอง สยบผู้คน
ทันใดนั้นกลิ่นอายรอบตัวเยี่ยเฉินเพิ่มขึ้นจนถึงขีดสุด ผมสีดำปลิวพลิ้วอย่างบ้าคลั่ง อานุภาพราวกับสุริยันดวงโตสาดส่องจักรวาล
เห็นเช่นนี้นัยน์ตาดำของหลินสวินก็เป็นประกายขึ้นมา พูดอย่างไม่ปิดบัง “ขอบอกเจ้าอย่างไม่มีปิดบังว่า ข้ายังมีไพ่ตายที่ยังไม่ได้ใช้ หากเจ้าสามารถบีบจนข้าใช้มันออกมา ต่อไปหากจะดื่มเหล้า เจ้าเรียกเมื่อไหร่ ข้าจะไปเมื่อนั้น”
คำพูดราบเรียบ แต่กลับมีความหยิ่งทะนงอันเป็นเอกลักษณ์
——