แบกรับพลังกดขี่หาที่เปรียบไม่ได้ของเทพสงครามเอกภพอีกครั้ง ในใจของหลัวซิวยังคงตื่นเต้น พลังกดขี่ของเทพสงครามสามารถทำให้เทพมารหยุดลงได้ หากว่าเทพสงครามเอกภพยังมีชีวิตอยู่ หากเขาปลดปล่อยออร่าพลังกดขี่ของตนเองออกมา อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับเทพมาร แม้แต่เทพฟ้าที่พลังค่อยข้างด้อยลงมา เกรงว่าก็คงจะไม่มีคุณสมบัติที่จะเดินยืนหน้าเขาด้วยซ้ำ
ผลการฝึกตนหาที่เปรียบไม่ได้ สะเทือนแผ่นดิน แข็งแกร่งเหนือศัตรูทั้ง 800 โลก แข็งแกร่งถึงเพียงนี้ ในท้ายที่สุดก็ยังตายอยู่ดี!
ใช้ตัวสำนึกสื่อสารผ่านลูกแก้วความเป็นตาย อาศัยลูกแก้วความเป็นตายปลอดปล่อยออร่าดั้งเดิม ทันใดนั้นหลัวซิวก็พลันรู้สึกว่า พลังกดขี่อันน่าเกรงขามบนร่างนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทั่วร่างรู้สึกสึกผ่อนคลายขึ้นมา
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว หากถูกใครเห็นเข้าคงจะต้องตกใจมากเป็นแน่ เพราะต่อให้เป็นเทพมารขั้นสูงผู้แข็งแกร่งอย่างช่าจื่อเยียน ก็ยังไม่สามารถทำได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ราวกับชัยชนะของการต่อสู้โดยปราศจากการต่อต้านใด ๆ
ใช้เวลาไม่นาน หลัวซิวก็มาถึงที่ยอดเขา ตำหนักสูงตระหง่านที่ถูกสร้างขึ้น ณ ที่แห่งนี้ใหญ่โตมโหฬาร สีทองเจิดจรัส ทั้งหลังราวกับ สีเหลืองทองที่เทลงบนแม่พิมพ์
นี่คือตำหนักที่เทพสงครามเอกภพสร้างเอาไว้ก่อนตาย เป็นที่ฝังกระดูกของเขาเอาไว้หลังจากที่เสียชีวิต
เพียงแค่ตำหนักแห่งหนึ่งสำหรับรำลึกของภูตมรณะ ก็ทำให้หลัวซิวรู้สึกได้ถึงพลังกดขี่ของออร่าเทพมาร จะเห็นได้ว่าวัสดุที่ใช้สร้างตำหนักแห่งนี้ อย่างน้อยต้องมีสมบัตินักยุทธ์ที่กลั่นเทพมาร ความร่ำรวยของผู้แข็งแกร่งเทพฟ้าเป็นสิ่งที่เห็นได้ทั่วไป
ทันใดนั้น นัยน์ตาของหลัวซิวก็พลันรี่ลง เขาพบว่าที่หน้าประตูตำหนักของตำหนักเหลืองทองแห่งนี้มีวิชาห้ามอยู่มากมาย อีกทั้งเขายังเป็นว่า ในวิชาห้ามนั้นมีบุคคลที่เขาคุ้นเคยอยู่
วิชาห้ามค่ายกลทุกค่ายต่างก็แยกเป็นเอกเทศ เมื่อใดที่มีคนเข้าใกล้ ก็จะถูกอีกฝ่ายขังเอาไว้ในปริภูมิวิชาห้าม นอกเสียจากว่าจะสามารถทำลายปริภูมิวิชาห้าม ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางที่จะหลุดพ้นออกมาได้
วิชาห้ามค่ายกลที่มีอยู่ในบริเวณนี้ต่างก็มีระดับที่ค่อนข้างสูง อย่างน้อยก็คือค่ายเทพระดับสาม และมีบางค่ายที่เป็นค่ายเทพระดับสี่
ด้วยระดับของหลัวซิวในตอนนี้ที่เทียบเท่ากับนักค่ายเทพระดับหนึ่ง หากต้องการทำลายวิชาห้ามค่ายกลเหล่านี้เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ต่อให้ฝืนฝ่าเข้าไปก็ยังเป็นเรื่องที่ค่อยข้างยาก
หลัวซิวเหลือบตามองไป เห็นช่าจื่อเยียนเป็นคนแรก แม่นางผู้แข็งแกร่งถูกคุมขังอยู่ภายในปริภูมิวิชาห้าม ทั่วทั้งปริภูมิแผ่กระจายไปด้วยประกายแสงทอง ราวกับเป็นผืนมหาสมุทรสีเหลืองทอง
แสงเทวะสีเหลืองทองเหล่านี้เปี่ยมด้วยอานุภาพอันทรงพลัง พลังที่แฝงอยู่ในภายในนั้นก็ทรงพลังมากเช่นกัน ทำให้เป็นการยากสำหรับช่าจื่อเยียนในการรับมือ กระทั่งแทบจะไม่มีโอกาสทำลายมันได้เลย
สิ่งที่คุมขังช่าจื่อเยียนอยู่นั้นคือค่ายเทพระดับสี่ ค่ายเทพระดับนี้สามารถคุมขังเทพฟ้าได้เลย การขังเทพมารขั้นสูงเอาไว้ ย่อมเป็นสิ่งที่เรียกได้ว่ามากเกินพอ
หลังจากนั้น หลัวซิวก็มองเห็นเทวมังกรเขาทองผู้นั้น ก็ถูกคุมขังอยู่ภายในปริภูมิวิชาห้ามด้วยเช่นกัน กระทั่งกลายร่างเป็นมังกรทองห้าเท้า ฟาดหัวฟาดหางอย่างผิดปกติอยู่ภายในปริภูมิวิชาห้าม
สิ่งที่เทวมังกรเขาทองใช้โจมตีวิชาห้ามค่ายกลคือพลังโจมตีธาตุน้ำ ทั่วทั้งปริภูมิวิชาห้ามแผ่ซ่านไปด้วยพลังแห่งพื้นผิวด้วยเกล็ดน้ำแข็ง เพียงพริบตาเดียวก็สามารถขังร่างของเขาเอาไว้ได้ ต่อให้จะดิ้นรนฝ่าฝืนสักเพียงใด แต่จากนั้นก็จะถูกขังเอาไว้อีก เป็นเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง เป็นการยากที่จะหลุดพ้น
หลัวซิวไม่อาจกลั้นหัวเราะเอาไว้ได้ สีหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด เดิมที่เขาคิดว่าตนมาช้าแล้ว สมบัติชิ้นนั้นที่เทพสงครามเอกภพทิ้งเอาไว้คงจะมีเจ้าของไปเสียแล้ว แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือ เทพมารขั้นสูงทั้งสองคนแม้แต่ประตูใหญ่ของตำหนักยังไม่สามารถเข้าไปได้เลย ถูกคุมขังอยู่ในวิชาห้ามค่ายกลเป็นเวลาราว ๆ หนึ่งปีแล้ว!
ใช่ว่าผู้แข็งแกร่งโลกยุทธ์ทุกคนจะเชี่ยวชาญทางด้านค่ายกล จอมยุทธ์ส่วนมากต่างทุ่มเทให้กับการยกระดับแดนผลการฝึกตน มีเพียงจอมยุทธ์ที่มีพรสวรรค์ทางด้านค่ายกลสูงจำนวนน้อยเท่านั้น จึงจะเลือกเดินในเส้นทางค่ายกล