Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1100 ไปกลับล้วนไร้อุปสรรค

ตอนที่ 1100 ไปกลับล้วนไร้อุปสรรค

ทุกคนต่างฉุนเฉียวไม่สงบ คิดว่าหญิงลึกลับเรียกร้องมากเกินไป เห็นชัดว่าคิดว่าเผ่าพวกเขารังแกได้ง่ายๆ!

หมาดำบนพื้นตัวนั้น นอกจากเส้นขนดำขลับนุ่มลื่นแล้ว ดูลักษณะอย่าเอ่ยถึงเลยว่าใจเสาะปานใด ตั้งแต่ปรากฏตัวจนป่านนี้ก็เอาแต่หมอบฟุบกับพื้น หัวแทบจะมุดเข้าไปในรอยแยกชั้นดินอยู่แล้ว

ของห่วยๆ พรรค์นี้มีค่ามากถึงไผ่เทพต้นกำเนิดสิบปล้องด้วยหรือ

ห่วยๆ? หากให้อริยะเซวี่ยถูที่อยู่บนพื้นรู้ถึงความคิดความอ่านของพวกเขา คงโกรธจนแทบคลั่งกระอักเลือดเป็นแน่

นี่มันทนไม่ได้เลยสักนิด!

“สหายยุทธ์ เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬของข้ามีทายาทมากมายหลายหมื่น เจ้าเลือกส่งๆ ออกมาสักคนก็เรียกร้องเอาไผ่เทพต้นกำเนิดสิบปล้อง นี่… ออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่”

อริยะเซวี่ยซิงเอ่ยปากเนิบช้า ถึงแม้ตัวเขาจะแก่ชราหาใดเปรียบ ท่าทางดูเหมือนไม้ใกล้ฝั่ง แต่กลับมีความน่าเกรงขามไร้รูปแฝงอยู่

“กล่าวเช่นนี้ เจ้าคิดว่าสุนัขตัวนี้ไม่คุ้มค่ากับราคานี้หรือ” หญิงลึกลับเอ่ยถาม

“ไม่คุ้ม ไม่คุ้มเลยสักนิด”

อริยะเซวี่ยซิงกล่าว “อย่างมาก… ก็แค่ไผ่เทพต้นกำเนิดสามปล้อง นี่ยังเห็นแก่หน้าสหายยุทธ์ หาไม่ เฮอะๆ…”

คำพูดไม่ได้กล่าวจนจบ แต่ความหมายก็เปิดเผยอย่างแจ่มแจ้ง

แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ ผู้แข็งแกร่งเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬคนอื่นๆ ในลานก็ยังคงสีหน้าไม่น่าดู

ถูกคนบุกรุกประตูเขา ระหว่างทางโจมตีคนในเผ่าบาดเจ็บไปไม่รู้เท่าไหร่ ตอนนี้ยังมาถูกอีกฝ่ายรีดไถอีก นี่น่าคับแค้นเกินไปแล้วชัดๆ!

หลินสวินก็เกือบกลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่ สีหน้าแปลกพิกล หากให้เจ้าเฒ่านี่รู้ตัวตนของสุนัขตัวนี้ เกรงว่าคงต้องตบปากตัวเองเป็นแน่แท้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นสุนัขตัวนี้ข้าก็ไม่ขายแล้ว” หญิงลึกลับกล่าว

“โฮ่ง! โฮ่ง!”

เวลานี้อริยะเซวี่ยถูที่กลายร่างเป็นหมาดำบนพื้นตาตั้งทันที เงยหัวขึ้นมา เห่าใส่อริยะเซวี่ยซิงอย่างบ้าคลั่ง ท่าทางโกรธจัดหาใดเปรียบ

“บังอาจนัก! ถึงขั้นกล้าเสียมารยาทกับผู้อาวุโส!” โก่วหยางไห่ที่อยู่ข้างๆ ข่มกลั้นอารมณ์มาตลอด พอเห็นเช่นนี้ก็ถีบเท้าเข้าใส่คราหนึ่งอย่างไม่ลังเล

ตุ้บ!

หมาดำลอยคว้างทันที กระแทกลงบนโขดหินไกลออกไปสิบกว่าจั้ง ฝุ่นดินลอยคลุ้ง หมดสภาพอย่างที่สุด

หลินสวินอึ้งงัน เกือบยกนิ้วโป้งให้โก่วหยางไห่ สมกับเป็นหัวหน้าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ ถีบเดียวก็เตะอริยะคนหนึ่งลอยคว้างอย่างจัง!

“โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง! โฮ่ง!” กลับเห็นหมาดำเหมือนเสียสติ กระโจนออกมา เสียงขู่คำรามยิ่งดังมากขึ้นเรื่อยๆ คล้ายกับโรคพิษสุนัขบ้ากำเริบขึ้นอีกครั้ง

เมื่อเห็นว่าเจ้าหมอนี่ยังไม่รู้ภาษาเช่นนี้ โก่วหยางไห่ก็โกรธจนหน้าเขียวคล้ำ ตั้งท่าจะจัดการเขางามๆ สักตั้ง กลับเห็นอริยะเซวี่ยซิงคล้ายเอะใจอะไรขึ้นมา พลันร้องเสียงหลง “หยุดก่อน!”

เสียงตวาดลั่นสายนี้ดุจดั่งสายฟ้า สะเทือนฟ้าดิน ซัดจนโก่วหยางไห่เซเสียหลัก เกือบหกคะเมนลงกับพื้น

คนอื่นๆ ต่างพากันขวัญหนีดีฝ่อ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ไม่เข้าใจที่มาที่ไป

“เจ้า… เจ้าคือเซวี่ยถู?” นัยน์ตาเซวี่ยซิงวาบประกายชวนสยอง จ้องหมาดำที่เห่าอย่างบ้าคลั่งตัวนั้น

ชั่วขณะนี้หลินสวินเห็นชัดเจนว่าขอบตาของหมาดำมีร่องรอยน้ำตาวาบผ่าน ก็ไม่รู้ว่าตื้นตันจนน้ำตาไหลหรืออะไรกันแน่

ทั่วลานเงียบกริบ ทุกคนงงตาค้าง จ้องหมาดำบนพื้นอย่างอึ้งงัน ล้วนสงสัยว่าตัวเองหูเพี้ยนไปแล้วใช่หรือไม่

ใต้เท้าเซวี่ยถู?

หมาดำตัวนี้… เป็นใต้เท้าเซวี่ยถูได้อย่างไร

โดยเฉพาะโก่วหยางไห่ เมื่อครู่เขาเพิ่งเตะหมาดำตัวนี้เต็มเหนี่ยวไปหนึ่งครา หนำซ้ำยังตั้งใจจะจัดการมันงามๆ สักตั้งด้วย ไหนเลยจะคิดว่าดันเกิดเรื่องผิดคาดสุดขั้วเช่นนี้!

ครู่ต่อมาสีหน้าเขาดำมืดเหมือนก้นหม้อ

สุดท้ายหลินสวินก็กลั้นหัวเราะไม่อยู่ ภาพเบื้องหน้านี้ช่างน่าสนใจเหลือเกิน หยิบยกกลับมาเล่าซ้ำได้หลายครั้งแน่นอน

ท้ายที่สุดอริยะเซวี่ยซิงก็ยืนยันเรื่องนี้ได้ ครู่ต่อมาสีหน้าเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นมืดทะมึนหาใดเปรียบ แววตาปานสายฟ้าจับจ้องหญิงลึกลับ “สหายยุทธ์! เจ้ามาหยามหน้าเผ่าของข้าอย่างนั้นหรือ”

คนอื่นๆ ก็เดือดดาลยากระงับเช่นกัน รู้สึกอดสูหาใดเปรียบ อริยะคนหนึ่งกลับถูกมองเป็นหมา ถูกไล่ต้อนและซื้อขาย เรื่องนี้ใครจะทนไหว

หญิงลึกลับสีหน้านิ่งสนิทไร้ความตกใจ กล่าวว่า “หยามหน้า? ไม่ขนาดนั้น ก็แค่บทลงโทษของเขาเท่านั้นเอง หากพวกเจ้าไม่ยอม จะสู้กันสักคราก็ได้”

คำกล่าวแสนเรียบง่าย แต่กลับเผยความเผด็จการผงาดผยองอย่างไม่อาจบรรยาย พาให้ฟ้าดินล้วนสั่นโคลง คล้ายกำลังก้มหัวศิโรราบ

ผู้แข็งแกร่งที่ระดับต่ำกว่าอริยะในลานเหล่านั้นล้วนรู้สึกพียงว่าในสมองเกิดเสียงดังวู้ม เบื้องหน้าสายตาปรากฏดาวสีทอง รู้สึกโดนกดบีบหาใดเปรียบ เกือบหายใจไม่ออก!

ชั่วขณะนี้หญิงลึกลับประหนึ่งกลายเป็นนายเหนือหัว อานุภาพปานเหนือสุดนั้นทำให้อริยะเซวี่ยซิงยังหน้าเปลี่ยนสี

“โฮ่ง! โฮ่ง!”หมาดำเห่าขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายร้อนรนหาใดเปรียบ

อริยะเซวี่ยซิงใช้พลังจิตวิญญาณสื่อสารกับเขา ก็ไม่รู้ว่าทั้งคู่พูดอะไรกัน ทำเอาอริยะเซวี่ยซิงสีหน้าวูบไหวไม่มั่นคง

ตอนที่เงยหน้าขึ้นมองหญิงลึกลับอีกครั้ง นัยน์ตาของเขาเจือแววตกใจอย่างสุดซึ้ง คล้ายไม่อยากจะเชื่อ

หลินสวินพอจะเดาออก เกรงว่าอริยะเซวี่ยซิงคงเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งทะเลหมากดาราแล้ว

“ได้ ตามที่สหายยุทธ์ว่า!”

ในที่สุด อริยะเซวี่ยซิงสูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ทำการตัดสินใจ สั่งคนไปหยิบกล่องไม้ทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งออกมา ด้านในกล่องวางไผ่สิบปล้องอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย

ไผ่นี้ตัวไผ่ขาวแวววาวเจิดจ้า แต่ละปล้องประทับลายมรรคแปลกประหลาดตามธรรมชาติเอาไว้ มีแสงอสนีเป็นริ้วๆ ดุจเส้นผมไหลเวียนอยู่บนนั้น แผ่พลังชีวิตเข้มข้นหาใดเปรียบ

นี่ก็คือไผ่เทพที่ฟูมฟักในถิ่นกำเนิดบรรพบุรุษของเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ สามพันปีจึงจะงอกออกมาหนึ่งปล้อง เป็นวัตถุดิบเทพที่ได้แต่เฝ้าฝันไม่อาจครอบครอง

หญิงลึกลับเหลือบมองปราดหนึ่ง แล้วสั่งให้หลินสวินไปรับมันไว้

ในใจอริยะเซวี่ยซิงเจ็บปวด ไผ่เทพต้นกำเนิดสิบปล้อง นี่เท่ากับของที่สั่งสมมาสามหมื่นปีปลิวหายไปในพริบตา!

“สหายยุทธ์ ตอนนี้พอใจหรือยัง” อริยะเซวี่ยซิงกล่าวเสียงเข้ม

“ค่อยยังชั่วแล้ว”

หญิงลึกลับพยักหน้า จากนั้นสายตากวาดมองคนทั่วลาน กล่าวว่า “ครั้งนี้ข้าแค่มาเยี่ยมเยียนถึงที่ หากครั้งหน้ายังเกิดเรื่องผู้ใหญ่รังแกเด็กขึ้นอีก เช่นนั้นคงไม่ใช่แค่เยี่ยมเยียนง่ายๆ ขนาดนั้นแล้ว”

นี่เป็นคำข่มขู่อย่างแน่นอน!

ใครก็ฟังออก แต่สุดท้ายอริยะเซวี่ยซิงก็ยังข่มไอสังหารภายในใจเอาไว้ กล่าวว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สหายยุทธ์ปล่อยตัวคนได้แล้วกระมัง”

ในตอนท้าย หญิงลึกลับทิ้งอริยะเซวี่ยถูไว้ และต้อนแกะทั้งฝูงออกไปพร้อมกับหลินสวิน

ขามา บุกฝ่าประตูเขาขึ้นมา ตลอดทางเหมือนเข้าสู่ดินแดนไร้ผู้คน บีบจนอริยะเซวี่ยซิงก็ไม่อาจไม่ก้มหัว

ขากลับ ไม่มีใครกล้าหยุดยั้ง ไม่มีใครกล้าขวางเช่นเดียวกัน!

มาดเช่นนี้พาให้หลินสวินได้เปิดโลกทัศน์ หากมีฝีมือระดับนี้ ต่อให้ตัวคนเดียวไร้ที่พึ่งพิงก็ย่อมไม่มีใครกล้ารังแกแน่!

“ใต้เท้า เหตุใดถึงตกปากรับคำนาง! หรือพลังของทั้งเผ่าเรายังเอาอริยะคนหนึ่งไม่อยู่เชียวหรือ”

เนิ่นนานโก่วหยางไห่ถึงกล่าวลอดไรฟัน

เรื่องในวันนี้ สำหรับทั้งเผ่าของพวกเขาล้วนเรียกได้ว่าเป็นการโจมตีหนักอึ้งหาใดเปรียบ ซ้ำยังเป็นความอัปยศครั้งใหญ่หลวงอีกด้วย!

“เจ้าสังเกตแกะฝูงนั้นบ้างหรือไม่” อริยะเซวี่ยซิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่แสดงอารมณ์

โก่วหยางไห่อึ้งงัน ในใจผุดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมา กล่าวว่า “หรือว่า…”

“ถูกต้อง นั่นเป็นอริยะจากห้าสำนักโบราณอื่น เสกอริยะเป็นเดรัจฉาน ต้อนฝูงสัตว์เดินทางมา หากผู้หญิงคนนี้คิดฆ่าคน ครั้งนี้ตอนที่ขึ้นเขามา เจ้าคิดว่าคนในเผ่าจะโชคดีเหลือชีวิตรอดได้เท่าไหร่กัน”

อริยะเซวี่ยซิงกล่าวแค่นเสียงเย็น

โก่วหยางไห่เย็นวาบไปทั้งร่าง ยิ่งคิดในใจก็ยิ่งพรั่นพรึง

“หยางไห่ เจ้าในฐานะหัวหน้าเผ่า แต่ความเฉียบคมของสายตาจุดนี้ยังไม่มี มิน่าปราณถึงได้หยุดค้างอยู่ระดับอมตะเคราะห์ด่านเก่า ตั้งนานก็เหยียบย่างระดับอริยะไม่ได้เสียที!”

อีกด้านหนึ่ง อริยะเซวี่ยถูที่คืนร่างเดิมก็กล่าวถ้อยคำเย็นชา

โก่วหยางไห่หนังหัวชาหนึบ ไม่กล้าสบตาอริยะเซวี่ยถูสักนิด ควรรู้ว่าเมื่อครู่นี้เขาเตะอริยะเซวี่ยถูปลิวเลยเชียว…

ถึงจะไม่ได้ตั้งใจ แต่หากอริยะเซวี่ยถูถือสาเอาความขึ้นมา ผลที่ตามมาคงไม่ดีสักเท่าไหร่เป็นแน่!

“แต่… เรื่องนี้จะปล่อยไปทั้งอย่างนี้เลยหรือ”

ในใจโก่วหยางไห่อึดอัด

“เป็นไปไม่ได้แน่นอน!”

อริยะเซวี่ยซิงไม่ลังเลสักนิด ใบหน้าเหี่ยวชราของเขาทะมึนเยียบเย็น นัยน์ตาสีแดงฉานวาบแสงเลือดน่าสะพรึง “ไม่ว่าใครหน้าไหน กล้าหยามเกียรติเผ่าข้าก็ต้องชดใช้คืนสิบเท่าร้อยเท่า!”

เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ออกคำสั่ง “ตรวจสอบ! ไม่ว่าต้องเสียอะไรมากเท่าไหร่ ก็ต้องตรวจสอบที่มาที่ไปและภูมิหลังของผู้หญิงคนนี้ออกมาให้ได้! แม้ว่าตอนนี้ยังไม่อาจแก้แค้น ต่อไปก็ต้องแก้แค้นให้ได้!”

ถึงแม้คำพูดจะเกี้ยวกราดหาใดเปรียบ แต่ทุกคนล้วนฟังออก อย่างน้อยก่อนที่จะรู้ชัดถึงภูมิหลังของหญิงลึกลับคนนั้น แค้นนี้ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะชำระในทันทีทันใด

เรื่องนี้ยิ่งทำให้ในใจพวกเขาไม่อภิรมย์มากขึ้นเรื่อยๆ

“สมบัตินี้น่าจะชื่อว่า ‘ไผ่อสนีหมื่นเคราะห์’ เติบโตในการดับสูญ ทุกๆ สามพันปีจะข้ามเคราะห์หนึ่งครั้ง แต่ละครั้งล้วนได้รับ ‘ของเหลววิญญาณปฐมอสนี’ จากอสนีเคราะห์”

“ของเหลวนี้ทั้งสามารถปลุกกระดูกคนตายได้ ทั้งสามารถเอื้อประโยชน์ที่ประเมินค่าไม่ได้ต่อการฝึกปราณ ถือได้ว่าเป็นวัตถุดิบเทพโอสถวิญญาณอย่างแท้จริง”

รุ้งเทพสีทองอร่ามแผ่ขยาย พาดกลางห้วงอากาศไร้ที่สิ้นสุด หญิงลึกลับเหยียบย่างอยู่บนนั้น กำลังชี้แนะหลินสวิน บอกให้เขารู้ถึงที่มาของ ‘ไผ่เทพต้นกำเนิด’

หลินสวินเพิ่งรู้ถึงมูลค่าของไผ่อสนีหมื่นเคราะห์สิบปล้องในมือ!

ไม่ว่าได้รับบาดเจ็บสาหัสเพียงใด ขอเพียงดื่ม ‘ของเหลววิญญาณปฐมอสนี’ ภายในกระบอกไผ่เข้าไป ก็สามารถคืนสภาพสูงสุดภายในชั่วอึดใจ

หนำซ้ำตอนที่ฝึกปราณ ยังสามารถหลอมฐานมรรค หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณ หลอมชำระจิตใจได้อีกด้วย!

กล่าวว่าสมบัตินี้เป็นของล้ำค่าแห่งฟ้าดินที่ได้แต่เฝ้าฝันไม่อาจครอบครองก็ไม่เกินจริงอย่างแน่นอน

“คิดไม่ถึงว่าเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬยังมีไผ่วิเศษเช่นนี้ด้วย…” หลินสวินกล่าวพึมพำ

“เจ้าอยากถอนรากไผ่นี้ติดตัวไปด้วยหรือ” จู่ๆ หญิงลึกลับก็ถามขึ้น

หลินสวินอ้ำอึ้งไป ก่อนส่ายหน้ากล่าวว่า “ตอนนี้ยังไม่มีความคิดนั้น”

“แสดงว่าต่อไปก็คิดจะทำเช่นนี้”

หญิงลึกลับกล่าว “แต่ว่า ข้าขอเตือนเจ้าว่าก่อนที่จะกลายเป็นมหาอริยะ อย่าเพิ่งพะวงกับสมบัตินี้จะดีกว่า”

“มหาอริยะ?”

ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน

“ใช่ อริยะบนโลกนี้ มีแบ่งเทียมแท้ และบนเส้นทางอริยะแท้จริง ก็มีขอบเขตที่ต่างกันออกไปอีก”

หญิงลึกลับพยักหน้า ชี้แนะหลินสวิน

อริยะเทียม แบ่งออกเป็นสองประเภท

ประเภทแรกคือตอนที่กลายเป็นราชัน ไม่สามารถสร้าง ‘เมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน’ ได้ จึงต้องหยิบยืม ‘เมล็ดพันธุ์มรรค’ มาสร้างรากฐานมรรคราชันอย่างไม่อาจเลี่ยง

คนประเภทนี้จริงอยู่ว่ามีเมล็ดพันธุ์มรรค สามารถหยั่งถึงมรรคแห่งอมตะ ข้ามเคราะห์อมตะได้ แต่เพราะเมล็ดพันธุ์มรรคแต่เดิมก็ไม่ใช่ของตน แม้กลายเป็นอริยะได้ แต่ก็เป็นปลายทางแห่งมรรคาของเขาแล้ว

คิดจะแยกอริยะเทียมประเภทนี้มีวิธีที่ง่ายที่สุดหนึ่งอย่าง ก็คือดูว่าเขาสามารถควบรวมกฎระเบียบอริยมรรคได้หรือไม่

หากไร้กฎระเบียบอริยมรรค นั่นก็คืออริยะเทียม เป็นพวกที่ด้อยคุณภาพมากที่สุดในระดับอริยะ

แน่นอน ความด้อยคุณภาพเช่นนี้หมายถึงในหมู่อริยะเท่านั้น สำหรับผู้ฝึกปราณที่ระดับต่ำกว่าอริยะแล้ว แม้จะเป็นอริยะเทียม ก็ยังเป็นบุคคลที่ต้องแหงนหน้ามองเท่านั้น

ระดับอริยะดุจสวรรค์ หาใช่การเปรียบเทียบที่เกินจริงเลยสักนิด!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท