เพียงแต่เมื่อหลินสวินเอาอาหารนานาชนิดออกมาเรียบร้อยแล้ว ซย่าจื้อกลับไม่ทำเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้กินอาหารทันที
นางยังคงจ้องมองหลินสวิน เหมือนในดวงตาและจิตใจเหลือเพียงหลินสวิน
ฟ้าดินจักรวาลนี้รวมถึงอาหารตรงหน้าล้วนเหมือนไม่มีอยู่
หลินสวินอึ้งไป “ทำไมหรือ”
เขาหยุดทำสิ่งที่ทำอยู่ มองมายังซย่าจื้อ ในใจกลับมีความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกอยู่รางๆ คล้ายว่าจะเกิดเรื่องที่อาจเกินความคาดหมายของเขาไป
ซย่าจื้อส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร หลุบตาลงแล้วนำเนื้อย่างชิ้นหนึ่งมากิน
หลินสวินพบว่าความเร็วตอนซย่าจื้อกินอาหารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กริยาดูเยือกเย็นสุขุม แต่ใจกลับไม่อยู่ตรงนั้น กินเพียงเพื่อกินเท่านั้น
หลินสวินมองดูอย่างเงียบๆ ในใจลอบครุ่นคิดว่า หรือตอนฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งก่อนเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น ถึงได้ทำให้ซย่าจื้อดู… แปลกออกไปอยู่บ้าง
ตอนนี้ซย่าจื้อกวาดอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยงแล้ว จากนั้นนางก็เงยหน้างดงามราวภาพเขียนขึ้น ดวงตาสุกสกาวดุจดวงดาราบนท้องฟ้าทั้งคู่จ้องมองหลินสวินอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ข้าจะจากไปสักพักหนึ่ง”
น้ำเสียงมีชีวิตชีวา ใสกังวานและนุ่มนวล
เมื่อมาถึงหูหลินสวิน กลับเหมือนสายฟ้าฟาดกะทันหัน ในใจพลันสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “จากไปหรือ”
ซย่าจื้อพยักหน้า ดวงตาราวจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า เอ่ยว่า “การฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าไม่เหมือนที่ผ่านมา จะต้องนิพพานระหว่างต่อสู้ แปรสภาพในความมืดมิด”
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วถาม “ไปที่ไหน”
ซย่าจื้อลุกขึ้น เงยหน้าพริ้มเพรามองไปยังเวิ้งฟ้า
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บนท้องฟ้านั้นมีม่านดำราวราตรีนิรันดร์ชั้นหนึ่งผุดขึ้น สีเข้มราวน้ำหมึก บดบังแสงนภา ส่งกลิ่นอายที่ทำให้ผู้อื่นกดดันออกมา
เจ้าคางคกกับอาหลู่ที่อยู่ห่างออกไปล้วนตกตะลึง พากันเบียดเข้ามา
ราตรีนิรันดร์นั้นประหนึ่งม่านเหล็กที่ปิดผนึกท้องนภา ดุจความมืดมิดแห่งวันสิ้นโลกมาเยือน มีพลังเงียบงันถึงขั้นทำให้คนหายใจลำบากอย่างหนึ่ง
“ไปที่นั่น”
เสียงซย่าจื้อต่ำลึก บนใบหน้างามเลิศที่สามารถทำให้ฟ้าดินหม่นหมองได้นั้น แม้สุขุมเยือกเย็นดังเดิม แต่กลับเจือความแน่วแน่ด้วย
หลินสวินจับจ้องม่านรัตติกาลบนเวิ้งฟ้านั้น สีหน้าหนักอึ้งอยู่บ้าง “ที่นั่นคือที่ไหน ข้าไปกับเจ้าได้ไหม”
ซย่าจื้อส่ายหน้า “ที่นั่นเป็นสนามประลองของข้าเพียงผู้เดียว นอกจากข้า ใครก็เข้าไปไม่ได้”
ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบเชียบกดดันหาใดเทียบ ประตูลึกลับบานหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ เหนือม่านรัตติกาลบนเวิ้งฟ้า รางเลือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองเห็นได้ไม่ชัด
“เวลาไม่มากแล้ว”
ทวนยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือซย่าจื้ออย่างเงียบเชียบ ทวนขาวบริสุทธิ์ทั้งเล่ม ประกายใสที่ราวนิมิตมายาสายแล้วสายเล่าอุบัติขึ้น
ในขณะเดียวกันไอสังหารไพศาลหาใดเทียบก็แผ่กระจายออกมาจากตัวซย่าจื้อ ทำให้อาภรณ์นางปลิวไสว เงาร่างอรชรเหนือโลกีย์และมีชีวิตชีวา เหมือนจะขี่ลมขึ้นไปจู่โจมเก้าชั้นฟ้า!
หลินสวินสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น
ความปรีดาแต่เดิมมลายไปสิ้น ในใจว่างเปล่า ความทุกข์ระทมสุมทรวง
ตั้งแต่อยู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นในโลกเบื้องล่างจนกระทั่งตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าจื้อเป็นฝ่ายบอกว่าจะจากไป!
ก่อนหน้านี้แม้ซย่าจื้อเคยถูกราชินีรัตติกาลพาตัวไป แต่หลินสวินรู้ว่ามีราชินีรัตติกาลดูแล ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายกับซย่าจื้อ
ทว่าตอนนี้…
ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!
ซย่าจื้อไปออกศึก ทั้งยังไปคนเดียว…
ชั่วขณะหนึ่งจิตใจหลินสวินสับสนยุ่งเหยิง คิดจะขัดขวาง แต่กลับทนไม่ได้อีก เพราะซย่าจื้อพูดไว้แล้วว่าการฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าของนางต้องนิพพานระหว่างต่อสู้
นี่เป็นมรรคาของนาง หลินสวินจะขัดขวางได้อย่างไร
ฉับพลันนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกว่าร่างของเขาถูกกอดไว้ ร่างงามที่ทั้งร้อนทั้งเย็นร่างหนึ่งโผเข้ามาในอ้อมกอด เมื่อก้มหน้าลงมองดูกลับเป็นซย่าจื้อ
เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว เสียงของซย่าจื้อดังขึ้นข้างหู “รอข้ากลับมานะ”
เสียงใสกังวาน เผยให้เห็นความรู้สึกที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ
หลินสวินพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
ซย่าจื้อถอยออกไปสองสามก้าวแล้วมองหลินสวินอย่างลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ถึงหันกายแล้วเหยียบย่างขึ้นไปบนห้วงอากาศ
อาภรณ์ของนางพลิ้วไหว ในมือถือทวนยาวกระโดดออกไปก้าวหนึ่ง เส้นทางที่ประหนึ่งควบรวมขึ้นจากความมืดสายหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ พุ่งตรงไปยังเวิ้งฟ้า
ไม่หันหลังกลับมาอีก แต่ไม่ใช่การจากลาชั่วนิรันดร์
ไม่มีลังเลอีก แต่ไม่ใช่การไปแล้วไปลับ
ซย่าจื้อไปแล้ว ก้าวย่างมั่นคง เหยียบย่างไปบนห้วงอากาศ เงาร่างอรชรยิ่งห่างไกลยิ่งคลุมเครือขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ถูกราตรีนิรันดร์มืดมิดปกคลุม
หลินสวินยืนอยู่บนเกาะสันโดษ จ้องร่างงามนั้นค่อยๆ หายไป ในใจเหมือนถูกทำให้ว่างเปล่า มีความรู้สึกอยากจะตามไปด้วยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!
ตูม!
พลังขับเคลื่อนรอบกายเขาส่งเสียงโครมคราม พลังค่ายกลวัฏจักรดาราในฟ้าดินแถบนี้ถูกโคจร ประกายดาวพร่างพราวพุ่งขึ้น แปรสภาพเป็นละอองแสงเต็มฟ้าพุ่งขึ้นไปในเมฆา
เพียงแต่เวิ้งฟ้าอยู่สูงเกินไป ความมืดมิดราวราตรีนิรันดร์ไม่อาจสั่นคลอนได้เลย
ก็ในตอนนี้เอง ซย่าจื้อมาถึงหน้าประตูดำสนิทที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของเวิ้งฟ้าบานนั้นแล้ว นางหยุดฝีเท้า
“เจ้าต้องรักษาตัวนะ! ข้าจะรอเจ้าเสมอ…”
เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น สั่นสะเทือนไปในชั้นเมฆา
ริมฝีปากซย่าจื้อคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ใบหน้างามล้ำผุดผาดเผยความแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชั่วพริบตานั้นเหมือนว่าแม้แต่ราตรีนิรันดร์ยังหม่นหมองลงเพราะนาง
จากนั้นนางก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูแล้วหายไปเช่นนี้
ที่หายไปด้วยกันกับนาง ยังมีราตรีนิรันดร์กับความมืดมิดที่เหมือนม่านเหล็กปกคลุมเวิ้งฟ้านั้น ฟ้ากลับมากระจ่างใส ดาราดวงแล้วดวงเล่าเปล่งประกายไหววูบอีกครั้ง
บนเกาะสันโดษ หลินอึ้งไป เสื้อผ้ากระพือไปตามลม
“โธ่ คำว่ารักคำเดียวช่างทำร้ายคนได้จริงๆ”
เสียงทอดถอนใจเสียดหูของเจ้าคางคกดังขึ้น
“เจ้าก็เคยถูกทำร้ายด้วยหรือ”
อาหลู่ประหลาดใจ “บนโลกนี้ยังมีคนชอบคางคกลายอย่างเจ้าด้วยหรือ แม่งอัศจรรย์เกินไปแล้ว”
“คราวนี้ข้าต้องฆ่าคนเถื่อนอย่างเจ้าให้ได้!” เจ้าคางคกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พุ่งขึ้นไปจะเอาเรื่องกับอาหลู่
เพียงแต่ไม่ว่าทั้งสองจะก่อเรื่องอึกทึกครึกโครมอย่างไร หลินสวินกลับเหมือนไม่ได้ยิน ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
นี่ทำให้เจ้าคางคกกับอาหลู่เป็นห่วงนัก เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ช้ำใจเพราะความรักจนคิดไม่ตกหรอกกระมัง
“หลินสวิน มีอะไรคิดไม่ตกกัน ในใต้หล้านี้ไม่เคยขาดธิดาเทพและนางฟ้าที่งดงามโดดเด่น รอภายหลังข้าจะไปฉวยสักสองสามคนมาอุ่นเตียงให้เจ้า เติมเต็มความเหงาของเจ้า”
เจ้าคางคกพูดเสียงดัง
“ใช่แล้ว เจ้าชอบแม่หญิงคนไหนรีบบอกมา ไม่ว่านางเป็นใคร ข้ารับรองว่าจะส่งนางให้ถึงเตียงเจ้าเลย!”
อาหลู่ก็ปลอบใจ เพียงแต่วิธีอุกอาจถึงที่สุด
ตอนนี้หลินสวินหันหน้ามา ชำเลืองมองทั้งสองคนปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “โหวกเหวกไร้สาระ พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร”
เจ้าคางคกร้องเสียงประหลาด “ให้ตายสิ พวกเราเจตนาดีนะ เจ้าไม่รับน้ำใจเสียอย่างนั้น”
อาหลู่กลับเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าว่าเขาคงไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรัก อารมณ์ความรู้สึกผกผันครั้งใหญ่จนไม่สนใจผู้หญิงในใต้หล้าแล้วใช่ไหม”
เจ้าคางคกอึ้งไป “ถ้าเป็นเช่นนี้จริงงั้นก็ยุ่งยากแล้ว อีกเดี๋ยวการชิงชัยในมหายุคจะเปิดฉากแล้ว มาติดขัดเพราะแผลใจเอาตอนนี้ได้หรือ”
“ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้าก็เหลือแต่เจ้าที่ช่วยได้แล้ว” อาหลู่พูดอย่างจริงจัง
“ข้า?” เจ้าคางคกชี้มาที่ตัวเอง สีหน้างงงวยไปหมด
อาหลู่ตบไหล่ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่ เจ้ารูปงามขนาดนี้ ไปลองดูหน่อยสิว่าเจ้าหมอนี่ชอบผู้ชายหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ลองดูได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกผกผันครั้งใหญ่หรือไม่กันแน่ แน่นอนว่าถ้าเขาชอบผู้ชายเข้าจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้า จับคู่กับเขาก็เหลือแหล่เลย”
“จะ เจ้า… ข้าแม่งจะฆ่าเจ้าให้ตายให้ได้!”
เจ้าคางคกเต้นผาง ครู่เดียวก็หน้าคล้ำเขียวแล้ว โกรธจนหน้าดำหน้าหน้าแดงไปหมด ส่งเสียงร้องคำรามลั่นฟ้า จะเข้าไปสู้เอาเป็นเอาตายกับอาหลู่ หมายจะฆ่าเขาเสียให้ได้
แม้แต่หลินสวินก็หนาวสะท้านขึ้นมาระลอกหนึ่ง ถ้าไม่ได้เจ้าคางคกพุ่งขึ้นไปสู้ก่อน เขาคงอดไม่ได้พุ่งเข้าไปอัดเจ้าคนเถื่อนปากไม่มีหูรูดผู้นี้เสียแล้ว
แต่ด้วยเรื่องอึกทึกนี้ ก็ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อย
สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่อ้อยอิ่งอีก จะออกจากทะเลหมากดารากลับสู่โลกภายนอก!
ซย่าจื้อมีมรรคาที่ตัวเองต้องเสาะแสวงหา ส่วนเขาก็ต้องเตรียมตัวเพื่อการมาเยือนของมหายุคเช่นกัน
……
“มหายุค ข้าจินตู๋อีมาแล้ว! นามของข้าต้องสะท้านไปทั้งเวิ้งฟ้า!”
ที่ชายฝั่งทะเลหมากดารา เจ้าคางคกตะโกนออกมาอย่างฮึกเหิม
เขาปิดด่านมาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ปรากฏตัวบนโลกอย่างโดดเด่น หมายจะเคลื่อนกวาดใต้หล้า สั่นสะเทือนโลกา เผยตัวอย่างโดดเด่นงดงาม
“เจ้าคางคกลายขี้โม้ คุยโวอวดตัวนัก!”
อาหลู่ดูแคลนยิ่ง
หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างฉับไวว่ากลิ่นอายกลางฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้ว!
ถัดจากชายฝั่งทะเลหมากดาราก็คือทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น เดิมทีที่นี่แห้งแล้งหนาวเย็นหาใดเทียบ นอกจากอสูรมารก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก
แต่ตอนนี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ในทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีต้นหญ้ามากมายเติบโต ดอกไม้สดผลิบานกลางลมหนาว โบกไหวอ่อนโยน
ขนาดในอากาศยังไม่มีไอหนาวกัดกินดั่งใบมีดอีกแล้ว แต่มีความอุ่นชื้นเข้มข้นเพิ่มขึ้นมาแทน ไอวิญญาณอบอวลพลุ่งพล่าน!
เปรี๊ยะๆ!
ใต้เท้าหลินสวิน ชั้นน้ำแข็งแยกออกทีละชุ่นๆ ภายใต้การสังเกตของหลินสวิน พืชพันธุ์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาไม่กี่อึดใจ ใบไม้เขียวชอุ่มกับดอกไม้สีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายพร่างพราวดอกหนึ่งโตออกมา
หลินสวินเด็ดดอกไม้นี้ลงมา สัมผัสรู้เล็กน้อย พลังชีวิตอุดมสมบูรณ์ก็ปะทะหน้าขึ้นมา
นี่ยังเป็นเพียงดอกไม้ธรรมดา หากเป็นสมุนไพรวิญญาณกับต้นหญ้าวิญญาณได้พลังชีวิตนี้หล่อเลี้ยง ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตะลึงแน่!
“มหายุคมาถึงจริงๆ แล้ว…”
หลินสวินพึมพำ ฟ้าดินแห่งนี้ สรรพสิ่งเหล่านี้… ล้วนกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตระหนก ต่างจากแต่ก่อน
อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ยังดำเนินอยู่!
“เอ๊ะ มีคนสลักรอยอักษรไว้ที่นี่ด้วย” ไม่ไกลนัก เจ้าคางคกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหินน้ำแข็งก้อนหนึ่งส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจ
หลินสวินเดินเข้าไปก็เห็นว่า บนพื้นผิวก้อนหินน้ำแข็งมีรอยอักษรเป็นแถวๆ สลักอยู่ เป็นสิ่งที่เซียวชิงเหอทิ้งเอาไว้
ที่แท้สิบกว่าวันก่อนเขาก็เคยมาทะเลหมากดารา แต่กลับชนกับช่วงที่หลินสวินปิดด่านฝึกปราณพอดี เมื่อไม่ได้พบหลินสวิน จึงทำได้เพียงทิ้งข้อความไว้ที่นี่
เขามาคราวนี้ก็เพื่อเชิญหลินสวินเข้าร่วมงานชุมนุมของบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์ ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ ‘เขาวิญญาณพันกระแส’
งานชุมนุมริเริ่มขึ้นโดยหมีเหิงเจินแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา คนผู้นี้เป็นถึงบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเก่าที่มีชื่อระบือในใต้หล้ามานานปี ตำแหน่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราเหนือธรรมดาถึงที่สุด
ส่วนเป้าหมายที่เขาริเริ่มงานชุมนุมนั้นก็ง่ายมาก คือเพื่อให้บุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันในสถานการณ์ที่มหายุคใกล้มาเยือน
อีกทั้งเซียวชิงเหอใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างหนึ่งแจ้งหลินสวินว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญ ต้องไปเข้าร่วมให้ได้
หลินสวินเห็นเช่นนี้ ในใจพลันตระหนักได้ว่าเป้าหมายของงานชุมนุมครั้งนี้น่าจะไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนกันธรรมดาๆ เท่านั้น
“ยังไม่นับว่าช้าไปนัก บนนั้นบอกว่างานชุมนุมจะเริ่มขึ้นอีกหนึ่งเดือนให้หลัง นี่เพิ่งผ่านไปสิบกว่าวันเท่านั้น พวกเราจะไปดูหน่อยไหม”
เจ้าคางคกลูบหมัด ตั้งหน้าตั้งตาคอยนัก
ที่เขาชอบที่สุดก็คือก่อเรื่องครึกโครม โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ล้วนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน นี่ทำให้เขาใจเต้นนัก
“เจ้าคางคกนี่อยากอวดตัวเต็มแก่แล้ว”
อาหลู่ชำเลืองมองเจ้าคางคกปราดหนึ่ง พูดสิ่งที่อีกฝ่ายคิดออกมา “แน่นอน ถ้าไปร่วมงานชุมนุมจริง ข้าจะจับตาดูเจ้าคางคกตัวนี้ไม่ให้เขาก่อเรื่อง”
หลินสวินแทบอดกลอกตาไม่ได้ คนปากเปราะโดยกำเนิดคนหนึ่ง ตัวเองไม่หาเรื่องได้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว ยังมาพูดปาวๆ ว่าเป็นห่วงคนอื่นจะก่อเรื่องอีก…
“ไปเถอะ!”
หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์
ระหว่างพูดเงาร่างก็พริบไหว เคลื่อนไปในพายุหิมะหนาแน่นนั้น
เบื้องหลังทะเลหมากดาราสงบนิ่งและกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนเช่นที่ผ่านมา
——