Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1113 ออกเดินทาง มหายุค!

ตอนที่ 1113 ออกเดินทาง มหายุค!

เพียงแต่เมื่อหลินสวินเอาอาหารนานาชนิดออกมาเรียบร้อยแล้ว ซย่าจื้อกลับไม่ทำเหมือนเมื่อก่อน ไม่ได้กินอาหารทันที

นางยังคงจ้องมองหลินสวิน เหมือนในดวงตาและจิตใจเหลือเพียงหลินสวิน

ฟ้าดินจักรวาลนี้รวมถึงอาหารตรงหน้าล้วนเหมือนไม่มีอยู่

หลินสวินอึ้งไป “ทำไมหรือ”

เขาหยุดทำสิ่งที่ทำอยู่ มองมายังซย่าจื้อ ในใจกลับมีความรู้สึกที่บรรยายไม่ถูกอยู่รางๆ คล้ายว่าจะเกิดเรื่องที่อาจเกินความคาดหมายของเขาไป

ซย่าจื้อส่ายหน้า ไม่ได้พูดอะไร หลุบตาลงแล้วนำเนื้อย่างชิ้นหนึ่งมากิน

หลินสวินพบว่าความเร็วตอนซย่าจื้อกินอาหารเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด กริยาดูเยือกเย็นสุขุม แต่ใจกลับไม่อยู่ตรงนั้น กินเพียงเพื่อกินเท่านั้น

หลินสวินมองดูอย่างเงียบๆ ในใจลอบครุ่นคิดว่า หรือตอนฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งก่อนเกิดเรื่องไม่คาดฝันบางอย่างขึ้น ถึงได้ทำให้ซย่าจื้อดู… แปลกออกไปอยู่บ้าง

ตอนนี้ซย่าจื้อกวาดอาหารทั้งหมดจนเกลี้ยงแล้ว จากนั้นนางก็เงยหน้างดงามราวภาพเขียนขึ้น ดวงตาสุกสกาวดุจดวงดาราบนท้องฟ้าทั้งคู่จ้องมองหลินสวินอีกครั้ง แล้วพูดว่า “ข้าจะจากไปสักพักหนึ่ง”

น้ำเสียงมีชีวิตชีวา ใสกังวานและนุ่มนวล

เมื่อมาถึงหูหลินสวิน กลับเหมือนสายฟ้าฟาดกะทันหัน ในใจพลันสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย “จากไปหรือ”

ซย่าจื้อพยักหน้า ดวงตาราวจันทร์เสี้ยวบนท้องฟ้า เอ่ยว่า “การฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าไม่เหมือนที่ผ่านมา จะต้องนิพพานระหว่างต่อสู้ แปรสภาพในความมืดมิด”

หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วถาม “ไปที่ไหน”

ซย่าจื้อลุกขึ้น เงยหน้าพริ้มเพรามองไปยังเวิ้งฟ้า

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่บนท้องฟ้านั้นมีม่านดำราวราตรีนิรันดร์ชั้นหนึ่งผุดขึ้น สีเข้มราวน้ำหมึก บดบังแสงนภา ส่งกลิ่นอายที่ทำให้ผู้อื่นกดดันออกมา

เจ้าคางคกกับอาหลู่ที่อยู่ห่างออกไปล้วนตกตะลึง พากันเบียดเข้ามา

ราตรีนิรันดร์นั้นประหนึ่งม่านเหล็กที่ปิดผนึกท้องนภา ดุจความมืดมิดแห่งวันสิ้นโลกมาเยือน มีพลังเงียบงันถึงขั้นทำให้คนหายใจลำบากอย่างหนึ่ง

“ไปที่นั่น”

เสียงซย่าจื้อต่ำลึก บนใบหน้างามเลิศที่สามารถทำให้ฟ้าดินหม่นหมองได้นั้น แม้สุขุมเยือกเย็นดังเดิม แต่กลับเจือความแน่วแน่ด้วย

หลินสวินจับจ้องม่านรัตติกาลบนเวิ้งฟ้านั้น สีหน้าหนักอึ้งอยู่บ้าง “ที่นั่นคือที่ไหน ข้าไปกับเจ้าได้ไหม”

ซย่าจื้อส่ายหน้า “ที่นั่นเป็นสนามประลองของข้าเพียงผู้เดียว นอกจากข้า ใครก็เข้าไปไม่ได้”

ฟ้าดินตกอยู่ในความเงียบเชียบกดดันหาใดเทียบ ประตูลึกลับบานหนึ่งปรากฏขึ้นช้าๆ เหนือม่านรัตติกาลบนเวิ้งฟ้า รางเลือนอยู่ท่ามกลางความมืดมิด มองเห็นได้ไม่ชัด

“เวลาไม่มากแล้ว”

ทวนยาวเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นในมือซย่าจื้ออย่างเงียบเชียบ ทวนขาวบริสุทธิ์ทั้งเล่ม ประกายใสที่ราวนิมิตมายาสายแล้วสายเล่าอุบัติขึ้น

ในขณะเดียวกันไอสังหารไพศาลหาใดเทียบก็แผ่กระจายออกมาจากตัวซย่าจื้อ ทำให้อาภรณ์นางปลิวไสว เงาร่างอรชรเหนือโลกีย์และมีชีวิตชีวา เหมือนจะขี่ลมขึ้นไปจู่โจมเก้าชั้นฟ้า!

หลินสวินสีหน้าแปรเปลี่ยนไม่ว่างเว้น

ความปรีดาแต่เดิมมลายไปสิ้น ในใจว่างเปล่า ความทุกข์ระทมสุมทรวง

ตั้งแต่อยู่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นในโลกเบื้องล่างจนกระทั่งตอนนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่ซย่าจื้อเป็นฝ่ายบอกว่าจะจากไป!

ก่อนหน้านี้แม้ซย่าจื้อเคยถูกราชินีรัตติกาลพาตัวไป แต่หลินสวินรู้ว่ามีราชินีรัตติกาลดูแล ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดอันตรายกับซย่าจื้อ

ทว่าตอนนี้…

ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด!

ซย่าจื้อไปออกศึก ทั้งยังไปคนเดียว…

ชั่วขณะหนึ่งจิตใจหลินสวินสับสนยุ่งเหยิง คิดจะขัดขวาง แต่กลับทนไม่ได้อีก เพราะซย่าจื้อพูดไว้แล้วว่าการฝึกปราณจุติกำเนิดใหม่ครั้งที่ห้าของนางต้องนิพพานระหว่างต่อสู้

นี่เป็นมรรคาของนาง หลินสวินจะขัดขวางได้อย่างไร

ฉับพลันนั้นหลินสวินเพียงรู้สึกว่าร่างของเขาถูกกอดไว้ ร่างงามที่ทั้งร้อนทั้งเย็นร่างหนึ่งโผเข้ามาในอ้อมกอด เมื่อก้มหน้าลงมองดูกลับเป็นซย่าจื้อ

เขาแข็งทื่อไปทั้งตัว เสียงของซย่าจื้อดังขึ้นข้างหู “รอข้ากลับมานะ”

เสียงใสกังวาน เผยให้เห็นความรู้สึกที่ไม่ยอมให้ปฏิเสธ

หลินสวินพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว

ซย่าจื้อถอยออกไปสองสามก้าวแล้วมองหลินสวินอย่างลึกซึ้งอีกครั้งหนึ่ง คราวนี้ถึงหันกายแล้วเหยียบย่างขึ้นไปบนห้วงอากาศ

อาภรณ์ของนางพลิ้วไหว ในมือถือทวนยาวกระโดดออกไปก้าวหนึ่ง เส้นทางที่ประหนึ่งควบรวมขึ้นจากความมืดสายหนึ่งปรากฏขึ้นในห้วงอากาศ พุ่งตรงไปยังเวิ้งฟ้า

ไม่หันหลังกลับมาอีก แต่ไม่ใช่การจากลาชั่วนิรันดร์

ไม่มีลังเลอีก แต่ไม่ใช่การไปแล้วไปลับ

ซย่าจื้อไปแล้ว ก้าวย่างมั่นคง เหยียบย่างไปบนห้วงอากาศ เงาร่างอรชรยิ่งห่างไกลยิ่งคลุมเครือขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็ถูกราตรีนิรันดร์มืดมิดปกคลุม

หลินสวินยืนอยู่บนเกาะสันโดษ จ้องร่างงามนั้นค่อยๆ หายไป ในใจเหมือนถูกทำให้ว่างเปล่า มีความรู้สึกอยากจะตามไปด้วยอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

ตูม!

พลังขับเคลื่อนรอบกายเขาส่งเสียงโครมคราม พลังค่ายกลวัฏจักรดาราในฟ้าดินแถบนี้ถูกโคจร ประกายดาวพร่างพราวพุ่งขึ้น แปรสภาพเป็นละอองแสงเต็มฟ้าพุ่งขึ้นไปในเมฆา

เพียงแต่เวิ้งฟ้าอยู่สูงเกินไป ความมืดมิดราวราตรีนิรันดร์ไม่อาจสั่นคลอนได้เลย

ก็ในตอนนี้เอง ซย่าจื้อมาถึงหน้าประตูดำสนิทที่อยู่ในส่วนลึกที่สุดของเวิ้งฟ้าบานนั้นแล้ว นางหยุดฝีเท้า

“เจ้าต้องรักษาตัวนะ! ข้าจะรอเจ้าเสมอ…”

เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น สั่นสะเทือนไปในชั้นเมฆา

ริมฝีปากซย่าจื้อคลี่ยิ้มอย่างเข้าใจ ใบหน้างามล้ำผุดผาดเผยความแจ่มใสอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ชั่วพริบตานั้นเหมือนว่าแม้แต่ราตรีนิรันดร์ยังหม่นหมองลงเพราะนาง

จากนั้นนางก็ก้าวขาข้างหนึ่งเข้าไปในประตูแล้วหายไปเช่นนี้

ที่หายไปด้วยกันกับนาง ยังมีราตรีนิรันดร์กับความมืดมิดที่เหมือนม่านเหล็กปกคลุมเวิ้งฟ้านั้น ฟ้ากลับมากระจ่างใส ดาราดวงแล้วดวงเล่าเปล่งประกายไหววูบอีกครั้ง

บนเกาะสันโดษ หลินอึ้งไป เสื้อผ้ากระพือไปตามลม

“โธ่ คำว่ารักคำเดียวช่างทำร้ายคนได้จริงๆ”

เสียงทอดถอนใจเสียดหูของเจ้าคางคกดังขึ้น

“เจ้าก็เคยถูกทำร้ายด้วยหรือ”

อาหลู่ประหลาดใจ “บนโลกนี้ยังมีคนชอบคางคกลายอย่างเจ้าด้วยหรือ แม่งอัศจรรย์เกินไปแล้ว”

“คราวนี้ข้าต้องฆ่าคนเถื่อนอย่างเจ้าให้ได้!” เจ้าคางคกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง พุ่งขึ้นไปจะเอาเรื่องกับอาหลู่

เพียงแต่ไม่ว่าทั้งสองจะก่อเรื่องอึกทึกครึกโครมอย่างไร หลินสวินกลับเหมือนไม่ได้ยิน ยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ท่าทางเหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

นี่ทำให้เจ้าคางคกกับอาหลู่เป็นห่วงนัก เจ้าหมอนี่คงไม่ได้ช้ำใจเพราะความรักจนคิดไม่ตกหรอกกระมัง

“หลินสวิน มีอะไรคิดไม่ตกกัน ในใต้หล้านี้ไม่เคยขาดธิดาเทพและนางฟ้าที่งดงามโดดเด่น รอภายหลังข้าจะไปฉวยสักสองสามคนมาอุ่นเตียงให้เจ้า เติมเต็มความเหงาของเจ้า”

เจ้าคางคกพูดเสียงดัง

“ใช่แล้ว เจ้าชอบแม่หญิงคนไหนรีบบอกมา ไม่ว่านางเป็นใคร ข้ารับรองว่าจะส่งนางให้ถึงเตียงเจ้าเลย!”

อาหลู่ก็ปลอบใจ เพียงแต่วิธีอุกอาจถึงที่สุด

ตอนนี้หลินสวินหันหน้ามา ชำเลืองมองทั้งสองคนปราดหนึ่งแล้วพูดว่า “โหวกเหวกไร้สาระ พวกเจ้าจะเข้าใจอะไร”

เจ้าคางคกร้องเสียงประหลาด “ให้ตายสิ พวกเราเจตนาดีนะ เจ้าไม่รับน้ำใจเสียอย่างนั้น”

อาหลู่กลับเอ่ยอย่างสงสัย “เจ้าว่าเขาคงไม่ได้เจ็บปวดเพราะความรัก อารมณ์ความรู้สึกผกผันครั้งใหญ่จนไม่สนใจผู้หญิงในใต้หล้าแล้วใช่ไหม”

เจ้าคางคกอึ้งไป “ถ้าเป็นเช่นนี้จริงงั้นก็ยุ่งยากแล้ว อีกเดี๋ยวการชิงชัยในมหายุคจะเปิดฉากแล้ว มาติดขัดเพราะแผลใจเอาตอนนี้ได้หรือ”

“ดังนั้นสถานการณ์ตรงหน้าก็เหลือแต่เจ้าที่ช่วยได้แล้ว” อาหลู่พูดอย่างจริงจัง

“ข้า?” เจ้าคางคกชี้มาที่ตัวเอง สีหน้างงงวยไปหมด

อาหลู่ตบไหล่ พูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ใช่ เจ้ารูปงามขนาดนี้ ไปลองดูหน่อยสิว่าเจ้าหมอนี่ชอบผู้ชายหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนี้ก็ลองดูได้ว่าอารมณ์ความรู้สึกผกผันครั้งใหญ่หรือไม่กันแน่ แน่นอนว่าถ้าเขาชอบผู้ชายเข้าจริงๆ ด้วยรูปลักษณ์ของเจ้า จับคู่กับเขาก็เหลือแหล่เลย”

“จะ เจ้า… ข้าแม่งจะฆ่าเจ้าให้ตายให้ได้!”

เจ้าคางคกเต้นผาง ครู่เดียวก็หน้าคล้ำเขียวแล้ว โกรธจนหน้าดำหน้าหน้าแดงไปหมด ส่งเสียงร้องคำรามลั่นฟ้า จะเข้าไปสู้เอาเป็นเอาตายกับอาหลู่ หมายจะฆ่าเขาเสียให้ได้

แม้แต่หลินสวินก็หนาวสะท้านขึ้นมาระลอกหนึ่ง ถ้าไม่ได้เจ้าคางคกพุ่งขึ้นไปสู้ก่อน เขาคงอดไม่ได้พุ่งเข้าไปอัดเจ้าคนเถื่อนปากไม่มีหูรูดผู้นี้เสียแล้ว

แต่ด้วยเรื่องอึกทึกนี้ ก็ทำให้ความรู้สึกนึกคิดของหลินสวินผ่อนคลายลงไม่น้อย

สุดท้ายหลินสวินตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะไม่อ้อยอิ่งอีก จะออกจากทะเลหมากดารากลับสู่โลกภายนอก!

ซย่าจื้อมีมรรคาที่ตัวเองต้องเสาะแสวงหา ส่วนเขาก็ต้องเตรียมตัวเพื่อการมาเยือนของมหายุคเช่นกัน

……

“มหายุค ข้าจินตู๋อีมาแล้ว! นามของข้าต้องสะท้านไปทั้งเวิ้งฟ้า!”

ที่ชายฝั่งทะเลหมากดารา เจ้าคางคกตะโกนออกมาอย่างฮึกเหิม

เขาปิดด่านมาหลายปีแล้ว และตอนนี้ก็ปรากฏตัวบนโลกอย่างโดดเด่น หมายจะเคลื่อนกวาดใต้หล้า สั่นสะเทือนโลกา เผยตัวอย่างโดดเด่นงดงาม

“เจ้าคางคกลายขี้โม้ คุยโวอวดตัวนัก!”

อาหลู่ดูแคลนยิ่ง

หลินสวินกลับสังเกตได้อย่างฉับไวว่ากลิ่นอายกลางฟ้าดินเปลี่ยนไปแล้ว!

ถัดจากชายฝั่งทะเลหมากดาราก็คือทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้น เดิมทีที่นี่แห้งแล้งหนาวเย็นหาใดเทียบ นอกจากอสูรมารก็ไม่มีสิ่งมีชีวิตอื่นอีก

แต่ตอนนี้กลับแตกต่างโดยสิ้นเชิง ในทุ่งน้ำค้างแข็งผลึกเร้นมีต้นหญ้ามากมายเติบโต ดอกไม้สดผลิบานกลางลมหนาว โบกไหวอ่อนโยน

ขนาดในอากาศยังไม่มีไอหนาวกัดกินดั่งใบมีดอีกแล้ว แต่มีความอุ่นชื้นเข้มข้นเพิ่มขึ้นมาแทน ไอวิญญาณอบอวลพลุ่งพล่าน!

เปรี๊ยะๆ!

ใต้เท้าหลินสวิน ชั้นน้ำแข็งแยกออกทีละชุ่นๆ ภายใต้การสังเกตของหลินสวิน พืชพันธุ์เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในเวลาไม่กี่อึดใจ ใบไม้เขียวชอุ่มกับดอกไม้สีน้ำเงินเข้มเปล่งประกายพร่างพราวดอกหนึ่งโตออกมา

หลินสวินเด็ดดอกไม้นี้ลงมา สัมผัสรู้เล็กน้อย พลังชีวิตอุดมสมบูรณ์ก็ปะทะหน้าขึ้นมา

นี่ยังเป็นเพียงดอกไม้ธรรมดา หากเป็นสมุนไพรวิญญาณกับต้นหญ้าวิญญาณได้พลังชีวิตนี้หล่อเลี้ยง ต้องเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตะลึงแน่!

“มหายุคมาถึงจริงๆ แล้ว…”

หลินสวินพึมพำ ฟ้าดินแห่งนี้ สรรพสิ่งเหล่านี้… ล้วนกำลังเกิดความเปลี่ยนแปลงน่าตระหนก ต่างจากแต่ก่อน

อีกทั้งการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ยังดำเนินอยู่!

“เอ๊ะ มีคนสลักรอยอักษรไว้ที่นี่ด้วย” ไม่ไกลนัก เจ้าคางคกที่ยืนอยู่เบื้องหน้าหินน้ำแข็งก้อนหนึ่งส่งเสียงออกมาอย่างประหลาดใจ

หลินสวินเดินเข้าไปก็เห็นว่า บนพื้นผิวก้อนหินน้ำแข็งมีรอยอักษรเป็นแถวๆ สลักอยู่ เป็นสิ่งที่เซียวชิงเหอทิ้งเอาไว้

ที่แท้สิบกว่าวันก่อนเขาก็เคยมาทะเลหมากดารา แต่กลับชนกับช่วงที่หลินสวินปิดด่านฝึกปราณพอดี เมื่อไม่ได้พบหลินสวิน จึงทำได้เพียงทิ้งข้อความไว้ที่นี่

เขามาคราวนี้ก็เพื่อเชิญหลินสวินเข้าร่วมงานชุมนุมของบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์ ที่กำลังจะจัดขึ้นที่ ‘เขาวิญญาณพันกระแส’

งานชุมนุมริเริ่มขึ้นโดยหมีเหิงเจินแห่งตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทรา คนผู้นี้เป็นถึงบุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเก่าที่มีชื่อระบือในใต้หล้ามานานปี ตำแหน่งในตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราเหนือธรรมดาถึงที่สุด

ส่วนเป้าหมายที่เขาริเริ่มงานชุมนุมนั้นก็ง่ายมาก คือเพื่อให้บุคคลขอบเขตมกุฎรุ่นเยาว์มีโอกาสได้แลกเปลี่ยนกันในสถานการณ์ที่มหายุคใกล้มาเยือน

อีกทั้งเซียวชิงเหอใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวอย่างหนึ่งแจ้งหลินสวินว่า หากไม่มีเรื่องสำคัญ ต้องไปเข้าร่วมให้ได้

หลินสวินเห็นเช่นนี้ ในใจพลันตระหนักได้ว่าเป้าหมายของงานชุมนุมครั้งนี้น่าจะไม่ใช่แค่การแลกเปลี่ยนกันธรรมดาๆ เท่านั้น

“ยังไม่นับว่าช้าไปนัก บนนั้นบอกว่างานชุมนุมจะเริ่มขึ้นอีกหนึ่งเดือนให้หลัง นี่เพิ่งผ่านไปสิบกว่าวันเท่านั้น พวกเราจะไปดูหน่อยไหม”

เจ้าคางคกลูบหมัด ตั้งหน้าตั้งตาคอยนัก

ที่เขาชอบที่สุดก็คือก่อเรื่องครึกโครม โดยเฉพาะเมื่อผู้ที่สามารถเข้าร่วมได้ล้วนเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในยุคปัจจุบัน นี่ทำให้เขาใจเต้นนัก

“เจ้าคางคกนี่อยากอวดตัวเต็มแก่แล้ว”

อาหลู่ชำเลืองมองเจ้าคางคกปราดหนึ่ง พูดสิ่งที่อีกฝ่ายคิดออกมา “แน่นอน ถ้าไปร่วมงานชุมนุมจริง ข้าจะจับตาดูเจ้าคางคกตัวนี้ไม่ให้เขาก่อเรื่อง”

หลินสวินแทบอดกลอกตาไม่ได้ คนปากเปราะโดยกำเนิดคนหนึ่ง ตัวเองไม่หาเรื่องได้ก็เป็นปาฏิหาริย์แล้ว ยังมาพูดปาวๆ ว่าเป็นห่วงคนอื่นจะก่อเรื่องอีก…

“ไปเถอะ!”

หลินสวินพูดอย่างไม่สบอารมณ์

ระหว่างพูดเงาร่างก็พริบไหว เคลื่อนไปในพายุหิมะหนาแน่นนั้น

เบื้องหลังทะเลหมากดาราสงบนิ่งและกว้างใหญ่ไพศาล เหมือนเช่นที่ผ่านมา

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท