Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1102 โลกหล้าล้วนสะเทือน

ตอนที่ 1102 โลกหล้าล้วนสะเทือน

แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ

ที่ราบผาเขียว ตำหนักยอดยุทธ์

บรรดาคนใหญ่คนโตระดับสูงรวมตัวกันเต็มโถง มีทั้งชายทั้งหญิง ทั้งแก่ทั้งเด็ก พลังที่ต่ำที่สุดยังอยู่ในระดับราชัน

ผู้ที่อยู่ตำแหน่งสูงสุดคือเด็กหนุ่มชุดคลุมหยกสวมเกี้ยวประดับคนหนึ่ง

เด็กหนุ่มท่าทางองอาจ คิ้วตาใสกระจ่าง นั่งสบายๆ อยู่ตรงนั้น กลิ่นอายที่แผ่ซ่านออกมาอย่างไร้รูปกลับบีบคั้นจนบรรดาคนใหญ่คนโตในที่นี้หายใจไม่ทั่วท้อง

หนำซ้ำคนใหญ่คนโตเหล่านี้แต่ละต่างนั่งคุกเข่าวางมือบนตัก สีหน้าเจือแววเคร่งขรึมถึงขั้นเคารพยำเกรง

เด็กหนุ่มหาใช่เด็กหนุ่ม แต่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่เหยียบย่างระดับอริยะตั้งแต่หลายพันปีก่อน นามว่าอวี้อวี่จวิน พลังปราณลึกล้ำสุดหยั่ง

“อัปยศนัก!”

อวี้อวี่จวินเอ่ยปาก ทำลายความเงียบในโถงใหญ่ พาให้ทุกคนในที่นี้ล้วนใจเต้นโครมคราม หน้าเปลี่ยนสีไม่มั่นคง

“แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของข้าดำรงอยู่นับตั้งแต่บรรพกาลจนบัดนี้ ยังไม่เคยพบเจอเรื่องอัปยศอดสูใหญ่หลวงเช่นนี้มาก่อน!”

เสียงอวี้อวี่จวินเรียบเฉย แต่ละคำหนักแน่นกังวานราวอสนีบาต เผยแววน่าเกรงขามที่ชวนอกสั่นขวัญผวา สะเทือนเลือนลั่นภายในโถง

“แต่ว่า…”

จากนั้นอวี้อวี่จวินพลันเปลี่ยนประเด็น น้ำเสียงอ่อนลง “นี่ก็โทษใครไม่ได้ ใครจะไปคิดว่าข้างกายมดเล็กจ้อยตัวหนึ่งจะถึงกับมีบุคคลเทียมฟ้าน่าทึ่งอยู่ด้วย”

ทุกคนต่างลอบถอนหายใจ สีหน้าซับซ้อน

“ใต้เท้า เช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไร รอตาปริบๆ ให้ผู้หญิงคนนั้นมา… เยี่ยมเยียนหรือ” มีคนอดเอ่ยถามไม่ได้

“นอกจากรอยังมีวิธีไหนอีก”

อวี้อวี่จวินทอดถอนใจ “อริยะเต้าคุนยังอยู่ในมือของนาง ไม่ว่าเดือดดาลและอดสูแค่ไหน ครั้งนี้พวกเราก็ได้แต่จำทน”

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ในใจล้วนทวีความเดือดดาล

ในฐานะสำนักโบราณชั้นนำแห่งใต้หล้า พวกเขาเคยต้องพบเจอกับการกระทำเช่นนี้เสียที่ไหน

“ใต้เท้า ท่านพอเดาได้หรือไม่ว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นอริยเทพจากไหนกันแน่ หรือว่ารากฐานของแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเราก็ไม่อาจมีเรื่องด้วยอย่างนั้นหรือ” มีคนเอ่ยถาม

“นั่นก็ต้องได้เจออีกฝ่ายก่อน อาจจะพอสอดส่องเบาะแสได้ส่วนหนึ่ง”

อวี้อวี่จวินกล่าวถึงตรงนี้นัยน์ตาพลันหดรัด ดีดตัวดังผึงกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนั้นมาแล้ว พวกเจ้าออกไปหานางพร้อมกับข้า!”

กล่าวจบพลันเดินออกนอกโถงใหญ่

ที่ราบผาเขียว ห้วงอากาศพลันปรากฏมหามรรคที่สร้างจากรุ้งเทพสายหนึ่ง เงาร่างอรชรและคลุมเครือสายหนึ่งเดินออกมาจากในนั้น

เบื้องหน้านางยังต้อนแกะอยู่ตัวหนึ่ง

แม้จะรู้ข่าวที่เกิดขึ้นริมฝั่งทะเลหมากดารากันหมดแล้ว แต่ตอนที่เห็นภาพนี้ บรรดาคนใหญ่คนโตแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณก็ยังคงรู้สึกอดสูและเดือดดาลหาใดเปรียบ

เสกอริยะเป็นเดรัจฉาน!

ผู้หญิงคนนี้ถึงกับต้อนแกะตัวหนึ่งซึ่งแปลงร่างมาจากอริยะเต้าคุนมาจริงๆ ด้วย หนำซ้ำยังมาคนเดียว ท่าทางมั่นใจไร้ห่วง

เงาร่างอรชรสายนี้แม้จะเป็นร่างแยกของหญิงลึกลับ แต่ก็ไม่ได้ต่างกับร่างเดิมของนางเลย

เวลานี้สายตานางกวาดสำรวจทุกคนที่เดินมาจากที่ไกลๆ กล่าวน้ำเสียงราบเรียบ “ดูเหมือนว่าพวกเจ้าคล้ายจะโกรธยิ่ง”

“ไยจะกล้า” มีคนกล่าวสีหน้าไร้อารมณ์

ตูม!

หญิงลึกลับสาวเท้าก้าวออกมาหนึ่งก้าว

ชั่วอึดใจ อานุภาพน่าสะพรึงไร้ที่สิ้นสุดแผ่กว้างออกมาจากเงาร่างอรชรของนาง พาให้ฟ้าดินแถบนี้กู่ก้อง

ตุบ! ตุบ! ตุบ!

ในลานไม่รู้มีคนใหญ่คนโตระดับสูงมากน้อยเท่าไหร่ถูกสยบหมอบราบพื้นในเวลานี้ ล้มกลิ้งระเนระนาด แม้แต่พลังต่อต้านก็ยังไม่มี

“สหายยุทธ์ นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”

อวี้อวี่จวินสีหน้าขรึมลง รอบกายแผ่อานุภาพอริยะออกมาสลายกลิ่นอายน่าสะพรึงจากตัวหญิงลึกลับ

แต่ที่ทำให้เขาตกใจกลัวคือ เมื่ออานุภาพต่อต้านกัน ทันทีที่พลังของเขาเฉียดใกล้ก็ถูกดันต้านกลับมาอย่างจัง!

ตูม!

ทันใดนั้นร่างอวี้อวี่จวินซวนเซ ราวกับถูกอาทิตย์ดวงใหญ่กดข่ม ลมฝนสมุทรคลั่งกำราบ

พลังที่คล้ายสูงสุดขีดเช่นนี้ทำเอาเขาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง ในที่สุดก็ตระหนักถึงความน่ากลัวของหญิงลึกลับคนนี้แล้ว

ส่วนคนใหญ่คนโตอื่นๆ ที่อยู่ในลาน เวลานี้ล้วนถูกสยบราบลงกับพื้น ทั้งตกใจทั้งโกรธ หมดสภาพหาใดเปรียบ ไม่มีใครกล้าพูดมากความอีก

อานุภาพอริยะระดับนี้ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาจะต่อกรได้สักนิด!

และในเวลานั้นหญิงลึกลับเก็บกลิ่นอายรอบตัวลง กล่าวว่า “ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ดูไม่ออกหรือ”

สีหน้าอวี้อวี่จวินพลันเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนขึ้นมาทันที

นี่หาใช่แค่ผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย แต่ไม่เห็นแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณของพวกเขาอยู่ในสายตาชัดๆ!

แต่แม้ในใจจะโกรธแค้น ทว่ายามเห็นแกะตัวนั้นที่หมอบราบอยู่ข้างๆ หญิงลึกลับ สุดท้ายอวี้อวี่จวินก็อดกลั้นเอาไว้

ภาพเหตุการณ์คล้ายคลึงกันเกิดขึ้นในสำนักกระบี่เทียมฟ้า แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์ สำนักยุทธ์สมุทรคราม และแดนพิสุทธิ์อมตะเกือบจะในเวลาเดียวกัน

ไม่ว่าสำนักเหล่านี้จะรู้สึกเดือดดาลและอดสูปานใด ท้ายที่สุดก็ได้แต่พากันเก็บงำเอาไว้

หญิงลึกลับเพียงแค่มาเยี่ยมเยียนถึงที่ หาได้เปิดศึกล้างบาง อีกอย่างในมือยังกำชีวิตอริยะที่กลายร่างเป็นแกะห้าคนอีก สำนักเหล่านี้จึงได้แต่ข่มใจ!

สุดท้ายตอนที่หญิงลึกลับจากไป ก็ได้รับ ‘เงินขายแกะ’ ที่เพียงพอจะทำให้สำนักเหล่านี้เจ็บปวดใจ

อย่างเช่น ‘น้ำค้างหยกลมทอง’ หนึ่งขวดจากแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ถึงจะมีเพียงเก้าหยด ทว่ามูลค่าของแต่ละหยดต่างเรียกได้ว่าประเมินค่าไม่ได้ ไม่ด้อยไปกว่า ‘ของเหลววิญญาณปฐมอสนี’ ที่บรรจุอยู่ในไผ่อสนีหมื่นเคราะห์ปล้องหนึ่งเลยสักนิด

หรืออย่าง ‘น้ำยาควบรวมจิต’ หนึ่งกาจากสำนักกระบี่เทียมฟ้า ก็เป็นสมบัติล้ำค่าชั้นหนึ่งในโลกนี้เช่นกัน พานพบได้แต่ไม่อาจครอบครอง

สรุปแล้วการไล่ต้อนแกะของหญิงลึกลับในครั้งนี้ เรียกได้ว่าหอบผลกำไรกลับไปเป็นกอบเป็นกำ

และพลังน่าสะพรึงที่แผ่ออกมาจากนางก็ทำเอาสำนักเหล่านี้สั่นสะท้านและกริ่งเกรง ต่อให้แค้นเพียงใดก็ได้แต่เก็บซ่อนไว้ภายในใจ

สิ่งเดียวที่ทำให้สำนักเหล่านี้สบายใจคือ ตอนที่คืนตัวอริยะที่ถูกจับเหล่านั้น หญิงลึกลับก็ส่งสมบัติอริยะของพวกเขาแต่ละสำนักคืนให้ด้วย

หาไม่ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เรื่องราวจะจบลงอย่างราบรื่นเช่นนี้

เรื่องระดับนี้ไม่อาจปิดบังได้สักนิด หลังจากหญิงลึกลับออกจากสำนักแต่ละแห่งได้ไม่นาน ข่าวเหล่านี้ก็เหมือนมีปีกงอกออกมา แพร่กระจายไปทั่วพื้นที่ต่างๆ ในสี่แดนวิภูของดินแดนรกร้างโบราณ

ชั่วขณะนั้นไม่รู้ชักนำความฮือฮาโกลาหลมากมายเท่าไหร่

และการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของหญิงลึกลับ ก็กลายเป็นปัญหาที่สำนักและผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนให้ความสนใจมากที่สุด

นางเป็นใคร

และเกี่ยวข้องกับเทพมารหลินอย่างไร

ทั่วหล้าล้วนเกิดคลื่นลูกใหญ่ด้วยเหตุนี้

ความจริงที่ไร้ข้อกังขาคือ หลังผ่านเรื่องนี้บรรดาสำนักโบราณอย่างพวกสำนักกระบี่เทียมฟ้า เรียกได้ว่าชื่อเสียงป่นปี้ ถูกลือจนอับอายขายหน้า หน้าเจื่อนไร้แวว

และนับแต่นี้ต่อไป ไม่ว่าใครคิดจะต่อกรเทพมารหลิน ล้วนต้องชั่งใจถึงผลที่จะตามมาด้วยแล้ว!

มรสุมลูกนี้พัดโหมรุนแรงยิ่ง ถึงขั้นที่แม้แต่แดนเร้นอริยะบางแห่งซึ่งแฝงเร้นอยู่ในโลกยังถูกทำให้แตกตื่น เริ่มให้ความความสนใจด้วยเช่นกัน

เขาจื่อเวย ตระกูลเยี่ย

เยี่ยเฉินกำลังร่ำสุราชั้นเลิศหนักหน่วง ท่าทางอภิรมย์ยิ่ง

ตั้งแต่ตอนที่รู้ว่าหลินสวินปลอดภัย เขาก็เริ่มดื่มสุรา จนกระทั่งตอนนี้บนพื้นมีไหสุรากองเกลื่อนไปหมด

“นายน้อย ขืนท่านดื่มอีกเดี๋ยวก็เมาขึ้นมาจริงๆ นะเจ้าคะ” ด้านข้าง ข้ารับใช้หญิงคนหนึ่งเอ่ยเตือน

“เจ้าไม่เข้าใจ นายน้อยอย่างข้ากำลังฝึกความคอแข็งอยู่” เยี่ยเฉินตาเยิ้ม พูดเสียงยานคาง

“ฝึกความคอแข็งไปทำไมหรือ”

“แน่นอนว่าเพื่อโค่นเจ้าหมอนั่นให้สิ้นซาก!”

“เจ้าหมอนั่นคอแข็งกว่านายน้อยอย่างนั้นหรือ”

กล่าวถึงตรงนี้ ข้ารับใช้หญิงพลันสังเกตเห็นว่านายน้อยเมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ฟุบตัวนอนบนเก้าอี้นุ่ม ท่าทางเมาแอ๋ ริมฝีปากยังคงพึมพำ “สะใจ… สะใจจริงๆ…”

เจ้าหมอนั่นเป็นใคร

ข้ารับใช้หญิงหน้าตางงงวย

“เสี่ยวเทียน เพื่อนเจ้าปลอดภัย คราวนี้เจ้าก็คงสบายใจได้แล้วกระมัง”

หญิงชรายิ้มละไมเอ่ยถาม

“ท่านย่าเสวียน ข้าจะบอกอีกทีว่าเขาไม่ใช่เพื่อนข้า”

เซี่ยวชางเทียนเอ่ยแก้อย่างเอาจริงเอาจัง “เขารอดชีวิตข้าย่อมสบายใจ เพราะข้าอยากล้างความอัปยศ กอบกู้หน้า ต้องโค่นเขาให้ได้”

หญิงชราร้องอ้อหนึ่งครา กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้ามั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้แล้วหรือ”

เซี่ยวชางเทียนกล่าวอย่างไม่ลังเลแต่อย่างใด “ตอนนี้ยัง แต่ต่อไปต้องมีแน่! แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นข้าจะไปเอาชนะเจ้าเยี่ยเฉินนี่ให้ได้เสียก่อน เจ้าหมอนี่ปั้นจิ้มปั้นเจ๋อเก่งเกินไป ข้ารู้สึกขัดตาเขาตั้งแต่เด็กแล้ว!”

คำพูดหนักแน่นมั่นคง ท่าทางเหยียดหยันหยิ่งผยอง

“มีปณิธาน”

หญิงชรายิ้มละไมพลางเอ่ยชื่นชมหนึ่งประโยค น้อยนักที่จะมีคนรู้ว่ายอดคู่ดาบกระบี่แห่งแดนดาราอุดรรู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก จนบัดนี้ก็ยังไม่มีใครยอมใคร

จ้าวจิ่งเซวียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะ กำลังเขียนจดหมาย ริมฝีปากพึมพำลำนำบทหนึ่ง สีหน้าผ่อนคลายสุขใจ

ลายมือของนางต่างจากผู้หญิงทั่วไป หนักแน่น ไร้ผูกมัด เหมือนงูมังกรผงาด คมชัดทรงพลัง ผ่าเผยและอิสระ

“ศิษย์น้องจิ่งเซวียน เจ้ากำลังครวญเพลงอะไรอยู่หรือ” นอกห้อง เสียงของเยี่ยนจั่นชิวดังขึ้น

ที่นี่คือเขตหวงห้ามหลังเขา ถึงจะถูกกักบริเวณอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็ไม่ได้หมายความจ้าวจิ่งเซวียนจะไม่รู้ข่าวโลกภายนอกเลย

เมื่อหลายวันก่อนได้ยินเสียงของเยี่ยนจั่นชิว จ้าวจิ่งเซวียนคงคร้านจะใส่ใจเป็นแน่ แต่เวลานี้นางอารมณ์ดีเป็นพิเศษ จึงเอ่ยตอบสบายๆ “ลำนำผู้กล้า”

“ไม่เลวนี่” เยี่ยนจั่นชิวอึ้งงัน พยักหน้ากล่าว

“ย่อมไม่เลวอยู่แล้ว ลำนำบทนี้จะว่าไปยังเกี่ยวข้องกับหลินสวินด้วย”

เสียงจ้าวจิ่งเซวียนเพิ่งสิ้นสุด เยี่ยนจั่นชิวที่ยืนอยู่นอกห้องก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ศิษย์น้องจิ่งเซวียน บอกข้าได้หรือไม่ ว่าเด็กนั่นได้รับมรดกวิชามังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรมาอย่างไร”

ความเบิกบานในใจจ้าวจิ่งเซวียนพลันหายวับไป รู้สึกหมดอารมณ์เล็กน้อย น้ำเสียงก็เยียบเย็นอยู่บ้าง “ท่านถามข้า ข้าจะรู้ได้อย่างไร”

เยี่ยนจั่นชิวทอดถอนใจ “เอาเถิด รอภายหน้ามีโอกาส ข้าจะลองถามเขาเอง”

“ท่านยังคิดจะตั้งตนเป็นศัตรูกับเขาหรือ” นัยน์ตากระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนเย็นชา

เยี่ยนจั่นชิวไหวไหล่กล่าวว่า “คนทั่วหล้าต่างรู้ดี ขอเพียงไม่ใช้วิธีผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย ไม่ว่าใครก็สามารถแลกเปลี่ยนความรู้กับหลินสวินได้ทั้งนั้น ปราณข้ากับเขาอยู่ในระดับเดียวกัน หากมีโอกาสแลกเปลี่ยนกันจริงๆ ก็คงไม่ถึงขั้นผู้ใหญ่รังแกผู้น้อย”

จ้าวจิ่งเซวียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็หัวเราะ “เช่นนั้นข้าก็อวยพรให้ศิษย์พี่เยี่ยนโชคดี”

“เจ้า…” ในที่สุดเยี่ยนจั่นชิวก็อดไม่อยู่ “ไม่ห่วงว่าเขาจะถูกข้าสังหารเลยหรือ”

“ไม่ห่วง” จ้าวจิ่งเซวียนตอบอย่างไม่ลังเลสักนิด

จู่ๆ ในใจเยี่ยนจั่นชิวพลันมีโทสะบอกไม่ถูกล้นทะลักออกมา สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง ไม่พูดมากความอีก ก่อนหันตัวออกไป

ภายในห้อง จ้าวจิ่งเซวียนก้มหน้าก้มตาเก็บจดหมายที่เขียนเสร็จแล้ว ปิดผนึกอย่างระมัดระวัง ตั้งใจจะหาเวลาส่งจดหมายไปยังจักรวรรดิ

ในจดหมายบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับหลินสวินหลายอย่าง นางล้วนเลือกสรรมาอย่างประณีตใส่ใจ

ในเวลาเดียวกันนั้นที่ริมฝั่งแม่น้ำพรมแดน หญิงลึกลับยืนตระหง่านกลางห้วงอากาศ เงาร่างอรชร อาภรณ์พลิ้วไสวประหนึ่งเซียนบนสวรรค์

ดวงตานางทอดมองส่วนลึกของแม่น้ำพรมแดนที่อยู่ไกลๆ เนิ่นนาน จู่ๆ ก็กล่าวว่า “มหายุคครั้งนี้… อาจจะมาเร็วกว่าที่คิด!”

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท