Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1117 แย่งกันออกโจมตี

ตอนที่ 1117 แย่งกันออกโจมตี

ชายหนุ่มชุดแดงผู้นี้เงาร่างสูงใหญ่ แม้เป็นพลรบ แต่พลังที่แท้จริงกลับแกร่งกล้าผิดธรรมดา

หาไม่แล้วก่อนหน้านี้คงไม่สามารถเอาชนะบุคคลขอบเขตมกุฎที่อยู่บนกระดานยอดมกุฎรุ่นเยาว์ได้อย่างง่ายดาย

เมื่อเห็นเจ้าคางคกพุ่งเข้ามาเขาก็เผยรอยยิ้มชั่วร้าย เอ่ยว่า “รูปลักษณ์งดงามเหมือนพวกผู้หญิง เช่นนั้นก็จะทำลายหน้าเจ้าก่อนเลย!”

โครม!

เขาเหยียบย่างไปในอากาศ อานุภาพพลันพุ่งสูงขึ้น ไอสังหารน่าหวาดหวั่นแผ่กระจายออกมาทั่วกาย ทำให้ห้วงอากาศแถบนี้ปั่นป่วน

ที่ด้านหลัง หลินสวินพูดอย่างเรื่อยเฉื่อยว่า “เจ้าคางคก เขาว่าเจ้าเป็นพวกผู้หญิง เจ้าจะขี้ขลาดตาขาวไม่ได้นะ”

นี่ช่างเป็นการเอาน้ำมันราดบนกองไฟ ไม่กลัวว่าจะเป็นเรื่องใหญ่

ที่ต้องรู้คือ สิ่งที่เจ้าคางคกเกลียดที่สุดก็คือคนอื่นเอาเขาไปเทียบกับผู้หญิง!

“วางใจได้ ข้าจะฆ่าไอ้เดรัจฉานตามืดบอดคนนี้ให้ตาย!”

เจ้าคางคกโกรธจนควันออกหู ทั้งกายมีสีทองเจิดจ้า ส่งเสียงคำรามยาวแล้วพุ่งโจมตีขึ้นไป

ทุกคนในที่นั้นล้วนสีหน้าประหลาด เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้จองหองยิ่งตั้งแต่หะแรก เพียงแต่… เขาไหวจริงหรือเปล่า

ทุกคนไม่แน่ใจ แต่การต่อสู้ได้ปะทุขึ้นแล้ว

ตูม!

เจ้าคางคกสะบัดฝ่ามือ กลืนคายตะวันจันทรา เหนี่ยวนำพลังจักรวาลน่าหวาดหวั่น

ตอนแรกชายหนุ่มชุดแดงยังไม่สนใจเท่าไร แต่เมื่อเห็นภาพนี้เข้าสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา รับรู้ได้ถึงความร้ายกาจ

“นภาหลอมโลหิต!”

เขาตะโกน นิ้วมือกดลงกลางห้วงอากาศ แสงโลหิตแผ่พุ่งประหนึ่งกระแสน้ำผุด ทำให้ฟ้าดินบริเวณนี้ปรากฏภาพทำลายล้างราวภูเขาถล่มทะเลหวีดร้อง

ปึง!

เสียงปะทะรุนแรงจนหูแทบดับดังขึ้น

ชายหนุ่มชุดแดงเหมือนถูกสายฟ้าฟาดไปทั้งตัว กระตุกเกร็งไปทั้งร่าง โซซัดโซเซถอยหลังไปหลายก้าว เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที สีหน้ายิ่งหนักอึ้ง

“ด้วยความสามารถเช่นนี้ก็กล้ามาท้าทายข้าหรือ ฆ่าเจ้ายังกลัวมือสกปรกเลย!” ใบหน้าเจ้าคางคกเต็มไปด้วยความดูถูก

ตอนนี้ทุกคนในลานถึงได้รับรู้ว่าเด็กหนุ่มชุดเขียวขี้โม้นิสัยบ้าระห่ำผู้นี้ ก็เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่ง!

“หึ!”

ชายหนุ่มชุดแดงสีหน้าเย็นชา เรียกกระบี่ยักษ์สีเลือดเล่มหนึ่งออกมา พลานุภาพรอบกายพุ่งสูงขึ้นถึงขีดสุดในชั่วพริบตา พลังมหามรรคส่งเสียงโครมคราม ประหนึ่งอสูรกระหายเลือดตนหนึ่ง

“ฆ่า!”

เขาพุ่งออกมา ทำให้ฟ้าดินบริเวณนี้ล้วนสั่นไหว คมกระบี่เหมือนม่านน้ำตกสีโลหิตม้วนตลบลงมา มีเสียงเทพมารหวีดร้องดังขึ้นท่ามกลางความคลุมเครือ ปรากฏการณ์ประหลาดทำให้ทุกคนหวาดผวา

ตึง!

ในขณะเดียวกันเจ้าคางคกก็พุ่งออกมาก่อนแล้ว

เขาแต่งกายด้วยอาภรณ์สีเขียวทั้งตัว ใบหน้างดงามมีเสน่ห์เหลือร้าย ดวงตาสีทองเจิดจ้า เพียงชั่วโบกมือเท่านั้น ปรากฏการณ์น่าตกตะลึงอย่างตะวันจมจันทรามลาย ดาราม้วยมอดก็ปรากฏขึ้น

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น เขากับชายหนุ่มชุดแดงก็ปะทะกันอย่างดุเดือด

“สหายผู้นี้มีพลังต่อสู้แข็งแกร่งนัก” ฉีชงโต้วประหลาดใจ

“เขาก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งเช่นกัน” หลินสวินเอ่ย

ฉีชงโต้วอึ้งไป จากนั้นก็สูดหายใจเยียบเย็น สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งถึงกับติดตามข้างกายเทพมารหลิน อีกทั้งยังมีท่าทางเป็นลูกไล่ของเขา นี่น่าตะลึงเกินไปแล้ว!

ฉับพลันทันใดในที่นั้นก็มีเสียงโห่ร้องยินดีระลอกหนึ่งดังขึ้น

ฉีชงโต้วมองไป กลับเห็นว่าเพิ่งเริ่มต่อสู้เท่านั้น ชายชุดแดงผู้นั้นก็ถูกกำราบไว้นิ่ง ไม่มีพลังตั้งกระบวนท่าแล้ว!

หันมาดูที่เจ้าคางคก กลับเห็นท่วงท่าเกรียงไกร ร่างกายทองอร่ามไปทั้งตัว ประหนึ่งมหาเทพสงครามตระการตาผู้หนึ่ง ไร้ความหวั่นเกรง อานุภาพเหลือคณา

“อึก!”

ในลาน ชายชุดแดงถูกเล่นงานจนทนไม่ไหวกระอักเลือดออกมา สีหน้าไม่น่าดู เขาคิดไม่ถึงว่าจะเจอคนถึกทนเช่นนี้คนหนึ่ง

“สวะ! ใครทำให้เจ้ากล้ามาหาเรื่องที่นี่กัน”

เจ้าคางคกสีหน้าโอหังหยิ่งผยอง ลงมือโหดเหี้ยมร้ายกาจถึงที่สุด ประหนึ่งพายุฝนบ้าคลั่ง ปิดทางถอยอีกฝ่ายไว้แน่นหนา กำราบฝ่ายตรงข้ามจนแทบเงยหน้าขึ้นมาไม่ได้

เสียงกู่ร้องยินดีในลานยิ่งคึกคักขึ้น ต่างโห่ร้องชื่นชมเจ้าคางคก

นี่ทำให้เจ้าคางคกยิ่งได้ใจ ยามต่อสู้ก็ยิ่งฮึกเหิม พลังเต็มเปี่ยม เพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็ซัดให้ชายหนุ่มชุดแดงหน้าบวมเป่ง รอยฝ่ามือปรากฏไปทั่วทั้งร่างกาย เสื้อผ้าหลุดลุ่ย น่าหดหู่ถึงที่สุด

คนตาบอดยังดูออกว่าชายชุดแดงไม่มีโอกาสพลิกกลับมาชนะได้อีกเลย

ทุกคนล้วนอุทานประหลาดใจอย่างอดไม่อยู่ น้องชายชุดเขียวผู้นี้ดูแล้วจองหองอยู่บ้าง แต่เขาก็มีความสามารถให้จองหองได้!

และเมื่อเห็นเจ้าคางคกสำแดงอานุภาพยิ่งใหญ่ อาหลู่ก็ทนดูต่อไปไม่ได้อยู่บ้าง ตะโกนออกมาว่า “ตาสีตาสาคนหนึ่งเท่านั้น ทำไมต้องใช้แรงเยอะขนาดนี้ด้วย เจ้าคางคกเจ้าไม่รู้สึกขายหน้าหรือไร”

เจ้าคางคกพลันชิงชังขึ้นมา รู้สึกว่าปากของอาหลู่ผู้นี้ช่างชวนอารมณ์เสียเกินไปแล้ว!

“ขายหน้าหรือ ข้าจะให้คนเถื่อนอย่างเจ้าได้รู้ถึงความสามารถที่แท้จริงของท่านปู่เสียหน่อย!”

ทันใดนั้นเจ้าคางคกก็ตะโกน นิ้วมือพลันทำมุทราคลุมเครืออัศจรรย์ ชั่วพริบตาแสงที่เปล่งประกายตระการตายิงพุ่งออกมา ประหนึ่งในมือเขากำสุริยันจันทราไว้!

กลิ่นอายน่าหวาดหวั่นยากบรรยายแผ่กระจายออกมาจากร่างเจ้าคางคกทันใด หลายคนรู้สึกเพียงแสบตาไปชั่วขณะ ไม่อาจมองเห็นได้ชัด

“แย่แล้ว!”

ชายชุดแดงอีกเจ็ดคนที่ชมการต่อสู้มาโดยตลอดล้วนหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย

ในขณะเดียวกันชายชุดแดงที่ถูกกำราบก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ก่อนหน้านี้เขาก็ต้านไว้อย่างยากลำบาก ถูกกำราบจนแทบแหลกสลาย เวลานี้เห็นเจ้าคางคกจะใช้กระบวนท่าไม้ตายอย่างชัดเจนก็ตื่นตระหนกจนไม่อาจสนใจสิ่งใดอีก ร้องคำรามออกมาครั้งหนึ่งแล้วคิดจะหลบหนี

เพียงแต่ สายไปแล้วก้าวหนึ่ง

ตูม!

กลางประทับใหญ่ สุริยันจันทราใหญ่โตเปล่งประกายหาใดเทียบ ชายชุดแดงดิ้นรนหลบหลีกไม่ทัน ร่างของเขาถูกแสงมรรคช่วงโชติปกคลุมจนมิดเสียแล้ว

มีชายชุดแดงหลายคนลงมือ หมายจะหยุดยั้งไม่ให้ทุกอย่างนี้เกิดขึ้น

แต่ในขณะเดียวกันอาหลู่ก็ลงมือเช่นกัน เงาร่างสูงใหญ่กำยำราวเจดีย์เหล็กพุ่งกวาดเข้าไปในลาน ทำให้ฟ้าดินสั่นคลอน

เขาเพียงคนเดียวเท่านั้น กลับรับการโจมตีของคนหลายคนไว้ได้ พลานุภาพอันแข็งแกร่งดุดันทำให้หลายคนตกตะลึงอ้าปากค้าง

ในที่สุดละอองแสงเปล่งประกายอบอวล ชายชุดแดงสูงใหญ่ผู้นั้นถูกกำราบโดยสมบูรณ์ ขนาดซากศพยังไม่เหลือ แปรสภาพกลายเป็นเถ้าธุลี

ใครจะรู้ว่าเจ้าคางคกกลับไม่ดีใจ เอ่ยว่า “ใครให้คนเถื่อนอย่างเจ้ามาแส่ แค่สวะกลุ่มหนึ่งเท่านั้น เจ้าคิดว่าพวกมันจะทำร้ายข้าได้หรือ”

“อย่าเข้าข้างตัวเองไปหน่อยเลย ข้าไม่ได้มาช่วยเจ้า เพียงแค่คันไม้คันมือเท่านั้น” อาหลู่ยิ้มหยัน

ไกลออกไป เหล่าชายชุดแดงที่เหลือล้วนสีหน้าไม่น่าดูขึ้นมาแล้ว

ส่วนผู้ฝึกปราณที่อยู่บริเวณนั้นอย่างพวกฉีชงโต้วต่างฮึกเหิมไม่ว่างเว้น เจ้าคางคกกับอาหลู่ออกโจมตี เอาชนะอีกฝ่ายได้สำเร็จ กดข่มความยโสโอหังของฝ่ายตรงข้ามไว้ได้ ทำให้พวกเขาล้วนสะใจนัก

“ทุกท่านอย่าเพิ่งดีใจไป รอข้าปลิดชีพสวะพวกนี้ทีละคนแล้วค่อยว่ากัน”

เจ้าคางคกคุยโวนัก ดวงตาจับจ้องชายชุดแดงอีกเจ็ดคน

“ให้ข้าสู้เถอะ”

อาหลู่คำรามออกมา ชิงมาถึงก่อนก้าวหนึ่งแล้วพุ่งกระโจนขึ้นไป เห็นท่าทางนั้นก็รู้ชัดว่าต้องการเข้าไปท้าสู้ชายชุดแดงเหล่านั้นผู้เดียว!

“อาจหาญนัก!” หญิงสาวงามเฉลาผู้หนึ่งร้องเสียงแหลมอย่างตื่นเต้น

“คนเถื่อนอย่างเจ้าจะหน้าไม่อายเกินไปแล้ว ใครให้เจ้ามาแย่งกับข้า” เจ้าคางคกโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง ออกโจมตีอย่างไม่ลังเล กลัวแต่จะถูกอาหลู่ชิงโอกาสให้ตนได้โดดเด่น

ผู้ฝึกปราณอื่นๆ ล้วนใจสั่นสะท้าน ตกตะลึงอ้าปากค้าง ทำใจเชื่อภาพตรงหน้านี้ได้ยาก

ก่อนหน้านี้ยามคนกลุ่มนั้นมาที่นี่ ท่าทางดุดันห้าวหาญ มองพวกเขาทุกคนที่อยู่ในงานชุมนุมเหมือนไม่มีตัวตน วาจามีแต่การดูถูก สร้างความอับอายให้พวกเขาอย่างใหญ่หลวง

แต่ตอนนี้ เพียงครู่เดียวกลับพลิกผันเสียแล้ว!

ในสายตาของอาหลู่กับเจ้าคางคก พลรบชุดแดงเหล่านั้นเหมือนเหยื่อฝูงหนึ่ง ถูกช่วงชิงแบ่งส่วนกัน ออกจะโหดร้ายเกินไปจริงๆ

“สหายสองท่านนี้ช่าง… ห้าวหาญเทียมฟ้านัก!” ฉีชงเทียนตาพร่าไปครู่หนึ่ง ในสมองงุนงง

ก่อนหน้านี้เขายังกังวลอยู่เลยว่างานชุมนุมใหญ่พันกระแสคราวนี้จะเกิดวิกฤต ถูกคนอื่นเหยียบย่ำทำลาย แต่ตอนนี้เหมือนทุกอย่างจะเปลี่ยนไปแล้ว!

“ช่วยไม่ได้ สองคนนี้อัดอั้นแทบแย่มาตลอดทาง ในที่สุดก็คว้าโอกาสไว้ได้ ย่อมต้องระบายออกมาดีๆ” หลินสวินยักไหล่

ฉีชงโต้วร้องอ้อ ในใจลอบพึมพำว่ามิน่าถึงเป็นเพื่อนกับเทพมารหลินได้ ที่แท้เจ้าสองคนนี้ก็เป็นพวกร้ายกาจราวราชันมารป่วนโลกเช่นกัน

“แต่เหตุใดก่อนหน้านี้พวกเขาถึงไม่อยากลงมือล่ะ” ฉีชงโต้วอดไม่ได้เอ่ยถาม

“ไม่ใช่ไม่อยาก แต่ดูแคลน” หลินสวินเอ่ยแก้ “แม้สองคนนี้จะนิสัยไม่ดีไปหน่อย แต่ก็ภาคภูมิในตัวเองและรักหน้าตามาก”

ฉีชงโต้วพลันหมดคำพูด

ยามไปดูที่ลานอีกครั้ง ความโกลาหลก็เกิดขึ้นก่อนแล้ว เจ้าคางคกกับอาหลู่เหมือนเสือเข้าไปในฝูงหมาป่า รบราไปทั่ว แม้เป็นการประลองกับชายชุดแดงเจ็ดคน แต่กลับไม่ตกเป็นรองเลย

นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณในงานชุมนุมยิ่งฮึกเหิม พากันช่วยส่งเสียงโห่ร้องให้กำลังใจ สายตาที่หญิงสาวหลายคนมองมายังทั้งสองต่างเจือด้วยความหลงใหล

ฟุ่บ!

ไม่นานอาหลู่ก็ชิงสังหารพลรบชุดแดงคนหนึ่งได้ก่อน อดไม่ได้ต้องทอดถอนใจออกมาว่า “เฮ้อ อ่อนแอเกินไปแล้ว อย่างกับฆ่าหมูฆ่าหมา”

แม้พูดเช่นนี้แต่เขาแสดงสีหน้าได้ใจยิ่งนัก

ทว่าเจ้าคางคกกลับเข่นเขี้ยว หงุดหงิดไม่ว่างเว้น ลงมืออย่างร้ายกาจยิ่งขึ้น

ฟุ่บ!

ไม่นานนักเจ้าคางคกก็ปลิดชีพพลรบชุดแดงคนหนึ่งเช่นกัน เขาดีดนิ้วมือ ทำท่าเหมือนยอดฝีมือเดียวดาย พึมพำว่า “ตอนนี้ข้าถึงเข้าใจว่าอย่างไรเรียกยิ่งสูงยิ่งหนาว”

มุมปากหลินสวินกระตุกเกร็ง ทนดูสองคนนี้ทำท่าดัดจริตเช่นนี้ไม่ไหวอยู่บ้างแล้ว

แต่เหลือเชื่อ ผู้ฝึกปราณคนอื่นกลับมีท่าทางบ้าคลั่งกันหมด เคารพเลื่อมใสทั้งสองคนอย่างยิ่ง เสียงโห่ร้องให้กำลังใจยิ่งดังขึ้นไปอีก

ฟุ่บ!

ไม่นานนักอาหลู่ก็ชิงฆ่าได้อีกคน

แต่เจ้าคางคกก็เอาชีวิตคู่ต่อสู้อีกคนหนึ่งตามมาติดๆ

ทั้งสองคนเหมือนแข่งขันประชันกัน ไม่มีใครยอมใคร ถึงกับยังต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่าย ทำให้การต่อสู้ที่นองเลือดและน่าพรั่นพรึงอยู่เดิม กลับมีกลิ่นอายแปลกประหลาดเพิ่มขึ้นมาบ้าง

“พอแล้ว!”

ทันใดนั้นเสียงเฉยชาเหี้ยมเกรียมเสียงนั้นก็ดังขึ้นจากเกี้ยวสมบัติกระพรวนทองที่นิ่งเงียบมาตลอด จากนั้นรุ้งเทพเจ็ดสีก็แผ่พุ่งออกมารอบเกี้ยวสมบัติ กระจายไปทั่ว

หืม?

ฟุ่บ! ฟุ่บ!

รุ้งเทพเจ็ดสีนั้นโฉบเข้ามาในลาน แต่กลับสังหารพลรบชุดแดงที่เหลือเพียงสองคนในคราวเดียว ฝนโลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว!

ก่อนตายพลรบสองคนนี้ต่างเผยสีหน้างุนงงและผิดหวัง เหมือนทำใจเชื่อได้ยากว่าผู้ที่ฆ่าตนจะเป็นเจ้านายของพวกเขาเอง

ในขณะเดียวกันเสียงโห่ร้องในลานก็เงียบลงทันที ทุกคนพลันหน้าเปลี่ยนสี ในใจหนาวสะท้าน ตกใจกับภาพนองเลือดโหดร้ายนี้

แน่นอนว่าใครก็คิดไม่ถึง ว่าเจ้าของเกี้ยวสมบัตินั้นจะลงมืออย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้กับพลรบของตัวเอง!

ดวงตาดำของหลินสวินหรี่ลง ฉีชงโต้วก็สีหน้าหนักอึ้งเช่นกัน

“ไอ้พวกเลี้ยงเสียข้าวสุก ขนาดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ยังทำไม่ได้ เก็บไว้ก็ไร้ประโยชน์”

ท่ามกลางเสียงเรียบเฉยเย็นชา ม่านที่บดบังเกี้ยวสมบัติม้วนขึ้นอย่างเงียบเชียบ

จากนั้นเงาร่างสูงผึ่งผายร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากในเกี้ยว

นี่เป็นชายหนุ่มผู้หนึ่ง แต่งกายด้วยอาภรณ์สีเลือดทั้งตัว คาดเอวด้วยเข็มขัดหยก ผมยาวสีทองทั้งศีรษะเต็มไปด้วยประกายพร่างพราวราวดวงตะวัน ยาวสยายอยู่เบื้องหลัง

ผิวของเขาขาวซีดอย่างประหลาด เบ้าตาลึกโหล นัยน์ตามีแสงสีเขียวอ่อนพิสดารน่าหวาดหวั่น

ทันทีที่ปรากฏตัว กลิ่นอายที่กระจายออกมาจากร่างก็ทำให้ฟ้าดินสั่นไหว เมฆลมแปรปรวน!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท