นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 468 ไม่ปล่อยไปเเน่
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลิวเสี่ยวหนิงก็อึ้งไปในตอนแรก ก่อนจะกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มเจื่อน
เธอก็อยากมีรักอยู่หรอก แต่คนที่เธอรักนั้นไม่ได้รักเธอ…
“ฉันจะไปคบใครได้ไงล่ะ ฉันจะรีบกลับไปที่บริษัทเดี๋ยวนี้แหละ เรื่องเมื่อคืนเดี๋ยวเจอแล้วค่อยว่ากัน”
หลังจากพูดอย่างนั้น หลิวเสี่ยวหนิงก็วางสายก่อนจะถอนหายใจและถอดสายชาร์จที่ชาร์จออก
“ขอบคุณคุณมากนะคะจินจิ่นหราน” หลิวเสี่ยวหนิงมองจินจิ่นหรานตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มขอบคุณ
“คุณพูดขอบคุณหลายครั้งแล้วนะ”
จินจิ่นหรานส่ายหัวอย่างช่วยไม่ได้และพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่นว่า “ไข้ลดลงแล้ว หลังจากกลับบ้านให้ระวังเรื่องอาหารหน่อย แล้วก็พักผ่อนให้มากๆ ด้วยนะครับ”
หลิวเสี่ยวหนิงที่ได้ยินก็เงยหน้ามองอีกคน และพูดติดตลกว่า “คุณเป็นหมอจริงด้วย น้ำเสียงแบบนี้ช่างทำคนไม่สบายใจจริงๆ”
จินจิ่นหรานยิ้มแห้ง “ติดจากที่ทำงานน่ะครับ”
“ไม่ว่ายังไงก็ต้องขอบคุณคุณนั่นแหละ” หลิวเสี่ยวหนิงพูดไปพลางลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้จินจิ่นหรานอย่างสุดซึ้ง
ดวงตาของจินจิ่นหรานอยู่บนตัวหลิวเสี่ยวหนิงและมึนงงเล็กน้อย
ให้พูดเขาก็เป็นแฟนหนังของหลิวเสี่ยวหนิง
แต่ที่ทำให้เขาประหลาดใจ หลิวเสี่ยวหนิงในจอกับที่ตัวเองเจอนั้นแตกต่างกันอยู่มาก
“คุณมีกระดาษกับปากกาไหม?” หลิวเสี่ยวหนิงมองขึ้นไปที่จินจิ่นหราน และเมื่อเขายิ้ม ลักยิ้มเล็กๆ สองอันก็ปรากฏขึ้นตรงแก้มเขา
จินจิ่นหรานไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาก็คงหยิบหนังสือออกมาจากชั้นวางหนังสือแล้วยื่นให้หลิวเสี่ยวหนิง
เห็นหลิวเสี่ยวหนิงที่รับไปก็เขียนอะไรบางอย่าง สุดท้ายก็ยื่นไปตรงหน้าจินจิ่นหราน
จินจิ่นหรานเหลือบมองไปที่มัน มีรูปเขาและมีลายเซ็นของเธออยู่ด้านล่าง แถมยังมีตัวอักษรใหญ่ที่ว่า ‘ผู้ช่วยชีวิต’
สิ่งนี้ทำให้จินจิ่นหรานมองไปที่หลิวเสี่ยวหนิงด้วยความประหลาดใจ
หลิวเสี่ยวหนิงแลบลิ้นเอียงคออย่างนึกสนุก
“สิ่งนี้เรียกว่าสวัสดิการของแฟนๆ ไม่ได้มีแค่ลายเซ็นของฉันเท่านั้นนะ แต่ยังมีรูปที่ฉันวาดเองกับมือ เป็นไง คุณเป็นคนแรกเลยนะ”
“ผมจะเก็บมันไว้อย่างดีเลย” จินจิ่นหรานปิดหนังสือ
มุมปากของเขาขดเป็นรอยยิ้ม
“งั้นฉันไปก่อนนะ และ…” หลิวเสี่ยวหนิงลังเล “ฉันหวังว่านายจะเก็บเรื่องเมื่อวานกับวันนี้ไว้เป็นความลับนะ”
จินจิ่นหรานพยักหน้า “ผมไปส่งคุณดีกว่า
แถวนี้เรียกรถยาก หากถูกปาปารัสซี่ถ่ายได้เข้าคงไม่ดี”
เมื่อได้ยินคำพูดของจินจิ่นหราน หลิวเสี่ยวหนิงคิดว่ามันสมเหตุสมผล เลยไม่ได้ปฏิเสธ และตามเขาไปที่ลานจอดรถ
ระหว่างทางไปส่งหลิวเสี่ยวหนิงที่สตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนต์ ทั้งสองก็ไม่ได้พูดอะไรมาก หลิวเสี่ยวหนิงมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง แต่กลับมีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้เข้ามาในหัวใจ
เธอใช้นิ้วเลื่อนเคสโทรศัพท์ และในที่สุดก็ถอดออก
เธอซื้อเคสโทรศัพท์นี้เพราะเฉินจุนเหยียนซื้อ
เพราะดูแล้วเหมือนคู่รักกัน
ตอนนี้พอมานึก สิ่งที่จินตนาการในตอนนั้นก็ช่างน่าขำเสียจริง
ในภวังค์ รถค่อยๆ หยุดนิ่ง หลิวเสี่ยวหนิงได้สติก่อนจะยิ้มให้จินจิ้นหรานที่อยู่ข้างๆ “ขอบคุณนะ รบกวนคุณแย่เลย”
จินจิ่นหรานไม่พูดอะไร เพียงแค่ส่ายหัวและช่วยหลิวเสี่ยวหนิงเปิดประตูรถ
ทั้งสองพูดกันอีกหน่อยก่อนที่จินจิ่นหรานจะขับรถออกไป ขณะที่หลิวเสี่ยวหนิงสูดหายใจเข้าลึก และกำลังจะเข้าไปในบริษัท ซูฉิงกลับมายืนอยู่ตรงหน้าเธอไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
“พี่ซูฉิง” หลิวเสี่ยวหนิงกระพริบตาด้วยความประหลาดใจ
“เมื่อกี้ใครมาส่งเธอน่ะ? ฉันได้ยินผู้จัดการเธอบอกว่าเมื่อคืนเธอไม่ได้กลับไปทั้งคืนเลยเหรอ?” ซูฉิงมองไปทางที่จินจิ่นหรานจากไป
เมื่อได้ยินอย่างนั้น หลิวเสี่ยวหนิงนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวาน สีหน้าก็ดูมืดมน และบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นในบาร์ให้กับซูฉิง
“ฉินซั่ง? ทายาทรุ่นสองที่คอยกวนใจเธอใช่ไหม?” คิ้วของซูฉิงขมวดเข้าหากันในทันที ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้
“ใช่ค่ะ” หลิวเสี่ยวหนิงพยักหน้า เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน เธอก็ยังคงกลัวอยู่
ซูฉิงตบไหล่หลิวเสี่ยวหนิงและพูดอย่างครุ่นคิด “เสี่ยวหนิง เธอไปแจ้งความไว้นะ ฉันจะไปตรวจกล้องวงจรปิด จะปล่อยฉินซั่งไปไม่ได้”
“แจ้งความ…”
หลิวเสี่ยวหนิงลังเลเล็กน้อย เธอเป็นบุคคลสาธารณะ และฉินซั่งก็มีภูมิหลังด้วย หากเป็นเรื่องใหญ่ต้องไม่ดีแน่
ซูฉิงเห็นความลังเลบนใบหน้าของหลิวเสี่ยวหนิง และน้ำเสียงก็จริงจังขึ้น “เสี่ยวหนิง ถ้าไม่สั่งสอนคนแบบนี้ เขาก็จะได้คืบจะเอาศอก ไม่ต้องห่วงนะ เรื่องนี้ฉันจะจัดการเอง”
พอพูดถึง ดวงตาของซูฉิงก็นิ่ง กล้ามาแตะต้องคนของเธองั้นเหรอ!
เธอต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับฉินซั่ง
หลังจากคุยกับผู้จัดการ ซูฉิงก็ตรวจวงจรปิดที่บาร์และโรงจอดรถในวันนั้น และบันทึกการกระทำของฉินซั่งไว้อย่างชัดเจน
หลิวเสี่ยวหนิงเองก็ไปที่สถานีตำรวจเพื่อรายงานกับตำรวจด้วยตัวเอง รวมกับซูฉิงแอบกดดัน จนฉินซั่งถูกนำตัวมาสอบสวนที่โรงพัก
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับฉันนะ ฉันเห็นเธอเมาแล้วจะไปส่งกลับบ้านเท่านั้นเอง”
ฉินซั่งพูดด้วยใบหน้าเฉยเมย ในใจกลับมีความแค้น
ไม่คิดเลยว่านังหลิวเสี่ยวหนิงบ้านี่จะทำแบบนี้ ไม่ได้ครองก็แล้วไปแล้ว แต่ยังจะโดนคนมาเล่นงานอีก
“แล้วก็พยานที่พวกคุณพามา เขาทุบตีฉันอย่างแรง แผลที่มุมปากฉันยังไม่หายดีเลยนะ บางทีพวกเขาอาจรวมหัวกันแบล็กเมล์ฉันก็ได้”
เมื่อพูดเช่นนั้น ฉินซั่งก็ชี้ไปที่บาดแผลตรงมุมปากของเขาด้วยท่าทางหยิ่งยโส “เห็นหรือยัง ฉันได้รับบาดเจ็บตรงนี้เนี่ย ฉันต้องการประเมินบาดแผล และจะฟ้องคนนั้นข้อหาทำร้ายร่างกายโดยเจตนาด้วย”
หลังหน้าต่างกระจก มุมริมฝีปากของซูฉิงกระตุกอย่างเย็นชาที่ได้ยิน คนนี้นี่มันช่างไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาจริงๆ
หลิวเสี่ยวหนิงที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็มองซูฉิงอย่างกังวล และเมื่อสังเกตเห็นสายตาของเธอ ซูฉิงก็ตบไหล่เธอก่อนจะส่งสายตาหลิวเสี่ยวหนิงให้มั่นใจ
จากนั้นซูฉิงก็ส่งที่ตรวจจากกล้องวงจรปิดให้ตำรวจ หลักฐานแน่นจนฉินซั่งที่นิ่งก็เริ่มตื่นตระหนกและจะหาทนายความ
“พวกคุณหมิ่นประมาท ฉันจะหาทนาย ไม่ก็พวกคุณก็ติดต่อพ่อฉัน พวกคุณรู้ไหมว่าพ่อฉันคือใคร…”
ท่าทีของฉินซั่งเริ่มน่ากลัวมากขึ้นเรื่อยๆ
แค้นนี้เขาจำไว้แล้ว เขาจะไม่ปล่อยหลิวเสี่ยวหนิงไปแน่!
“ตำรวจ ตอนนี้มีพยานและหลักฐานชัด ถึงเขาจะเถียงไปก็ไม่ได้หรอกค่ะ”
ผู้จัดการของหลิวเสี่ยวหนิงมองไปที่ตำรวจที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดด้วยเสียงลึก “พวกคุณไปสอบสวนพนักงานที่บาร์เมื่อวานนี้ก็ได้ ฉันเชื่อว่าเขาคงให้เบาะแสได้มาก”
เมื่อหันไปมองฉินซั่งที่ยังคงคำรามด้วยความโกรธ ใบหน้าของผู้จัดการก็รู้สึกขยะแขยง ก่อนหน้านี้เธอก็รู้ว่าคนนี้ที่คอยกวนใจหลิวเสี่ยวหนิง ไม่คิดว่าครั้งนี้เขาเกือบจะทำร้ายเสี่ยวหนิงแล้ว
ถ้าเขาทำสำเร็จ ผลที่ตามมาคงยากจะคิดได้