Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1123 เบาะแสรังเจินหลง

ตอนที่ 1123 เบาะแสรังเจินหลง

บนเขาวิญญาณพันกระแสกลิ่นเนื้อเย้ายวนอบอวล ในอากาศล้วนเจือกลิ่นหอมที่ทำให้คนน้ำลายหก

เนื้องูสวรรค์ทองคำสดใหม่หาใดเปรียบอย่างแท้จริง ไม่ต้องปรุงรสเพิ่มเติมใดๆ หลังเนื้อขาวกระจ่างดุจหิมะนั้นถูกต้มสุกก็มีแสงวิญญาณเปล่งประกายไหลเวียน แฝงแก่นพลังวิญญาณน่าทึ่งไว้ภายใน

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นเนื้อของสัตว์ประหลาดยุคโบราณตนหนึ่ง ตามปกติแล้วหากินไม่ได้แน่!

เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกินจนเต็มคราบ ในปากยังมีประกายแสงแผ่ออกมา

หลินสวินเองก็ไม่เกรงใจ ร่ำสุราพลางกินเนื้อ เป็นสุขเสียนี่กระไร

เดิมผู้ฝึกปราณคนอื่นยังปล่อยวางไม่ลงอยู่บ้าง ใจยังหวาดกลัวเพราะหากแพร่ออกไปว่าพวกเขาก็กินเนื้อของจินเซี่ยวหมิงด้วย เช่นนั้นผลที่ตามมาคงร้ายแรงอยู่บ้าง

แต่สุดท้ายพวกเขาก็ทนต่อความยั่วยวนของอาหารเลิศรสเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ ทยอยเข้าร่วมขบวนกินเนื้อดื่มน้ำแกง เมื่อได้ลิ้มรสก็เลิศล้ำเกินบรรยายดังคาด ทุกคนต่างเสียอาการทันที กินกันอย่างตะกละตะกลาม

แม้แต่หญิงสาวที่วางมาดมารยาทงามส่วนหนึ่ง ขณะนี้ต่างไม่สนภาพลักษณ์แล้ว

หากถูกจินเซี่ยวหมิงเห็นเข้าเกรงว่าคงโกรธจัดแน่ ทายาทเผ่างูสวรรค์ทองคำที่น่าเกรงขามเช่นเขา บัดนี้ร่างแยกกลับถูกคนเห็นเป็นอาหารปันสุข นี่ช่างน่าอัปยศโดยไม่ต้องสงสัย

“ศิษย์พี่หมี การต่อสู้ของท่านกับไป๋หลงถิงครั้งนี้ใครแพ้ใครชนะหรือ”

ในที่สุดฉีชงโต้วก็อดถามไม่ได้

ความสนใจของทุกคนล้วนถูกดึงดูดไปทันที

ไป๋หลงถิงเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณของเผ่าเจียวขาว วิชายุทธ์เลิศล้ำพลังต่อสู้ร้ายกาจ พูดถึงชื่อเสียงเทียบกับจินเซี่ยวหมิงแล้วมีแต่จะเหนือกว่า!

หมีเหิงเจินกล่าวอย่างใคร่ครวญ “ศึกนี้สู้กันลำบากนัก ผ่านไปหลายชั่วยามก็ตัดสินแพ้ชนะไม่ได้ สุดท้ายแม้ข้าจะได้รับบาดเจ็บหนัก แต่ไป๋หลงถิงก็ไม่ดีไปกว่ากัน หากว่ากันตามจริงการต่อสู้นี้คงถือว่าเสมอ”

พูดถึงตรงนี้เขาก็ยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าการต่อสู้ของข้ากับเขา ด้วยมีคนรุ่นเดียวกันไม่น้อยชมการประลองอยู่ด้านข้าง ไม่ว่าข้าหรือไป๋หลงถิงจึงไม่ใช้ไพ่ตายที่แท้จริง หากไม่ทำเช่นนี้ สุดท้ายเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นพินาศไปพร้อมกันทุกสิ่ง”

เขาพูดอย่างผ่อนคลาย แต่ทุกคนกลับรู้ดีว่าการต่อสู้นี้ต้องดุเดือดหาใดเปรียบแน่!

ถึงอย่างไรไม่ว่าหมีเหิงเจินหรือไป๋หลงถิงต่างก็เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎที่แท้จริง ผลเสมอกันสำหรับพวกเขาก็ทำลายชื่อเสียงแต่ละคนแล้ว

หากมีสิทธิ์เอาชนะ ใครก็ล้วนไม่มีทางยอมรับผลที่ว่าเสมอกัน

“จากที่พี่หมีเห็น สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่อุบัติบนโลกตอนนี้ทรงพลังมากแค่ไหน” หลินสวินเอ่ยถาม

สีหน้าหมีเหิงเจินเปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา นิ่งเงียบนานพอควรค่อยเอ่ยว่า “แข็งแกร่งมาก ปัจจุบันผู้ที่สามารถต่อกรกับพวกนั้นได้ มีเพียงบุคคลระดับยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎที่ก้าวสู่ระดับบรรลุสูงสุด คนรุ่นเดียวกันคนอื่นล้วนด้อยกว่าอยู่สามส่วน”

ทันทีที่วาจานี้กล่าวออกมา จิตใจทุกคนต่างหนักอึ้ง

ด้วยฐานะของหมีเหิงเจินไม่มีทางเอ่ยวาจายกยอคนอื่นทำลายอำนาจตัวเองเด็ดขาด ในเมื่อเขาสันนิษฐานเช่นนี้ก็เพียงพอพิสูจน์ได้ว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณพวกนั้นน่ากลัวระดับใด!

บทสนทนาต่อจากนั้นวนเวียนอยู่กับเรื่องสัตว์ประหลาดยุคโบราณแทบทั้งสิ้น ผู้ฝึกปราณมากมายนั่งถกวิเคราะห์สถานการณ์ในใต้หล้า ทำให้หลินสวินได้รู้ข่าวมากมายไปด้วย

ตัวอย่างเช่น ใต้หล้าทุกวันนี้บุคคลขอบเขตมกุฎชั้นยอดส่วนใหญ่แบ่งเป็นสามประเภท

ประเภทหนึ่งคือยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎในยุคปัจจุบันอย่างหมีเหิงเจิน หวังเสวียนอวี๋ เย่หมัวเฮอ เยี่ยนจั่นชิว

อีกประเภทหนึ่งคือปีศาจที่มาจากแดนเร้นอริยะ ในนั้นไม่ขาดแคลนเหล่าอัจฉริยะโดยกำเนิดและครรภ์วิญญาณ เพียงแต่ทุกวันนี้ต่างยังไม่เคยปรากฏตัวบนโลกอย่างแท้จริง

มีเพียงเมื่อแดนมกุฎมาเยือนปีศาจเหล่านี้ถึงจะ ‘เข้าสู่โลก’

นี่กลับทำให้หลินสวินนึกถึงเยวี่ยไฉ่เวยที่มาจากลัทธิไร้สวรรค์ในแดนเร้นอริยะ และนึกถึงมู่เจิ้งผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์

ประเภทที่สามก็คือสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ทยอยปรากฏตัวช่วงนี้

“อวิ๋นชิ่งไป๋เทียบกับบุคคลเหล่านี้แล้วเป็นอย่างไร”

หลินสวินพลันเอ่ยถาม

ทันทีที่วาจานี้ดังขึ้น ทุกคนในที่นั้นต่างเงียบงัน เหมือนชื่อนี้มีเวทมนตร์มหัศจรรย์

แม้แต่นัยน์ตาหมีเหิงเจินก็หดรัด เหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่งอย่างค่อนข้างประหลาด “ปีนั้นที่ข้าเข้าร่วมการประลองกระดานดาราสี่แดนวิภู อวิ๋นชิ่งไป๋กลายเป็นอันดับหนึ่งใต้ระดับราชันแล้ว ความทรงพลังของเขากวาดสายตามองในใต้หล้าก็ไร้คนกระทู้ถาม”

“ปิดด่านสิบปีนี้ได้แค่พูดว่าอวิ๋นชิ่งไป๋แข็งแกร่งกว่าแต่ก่อน และยิ่งลึกล้ำยากหยั่งถึง!”

“ในฐานะสำนักโบราณ สำนักกระบี่เทียมฟ้าก็คือขุมอำนาจใหญ่ที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพกาล ไม่นานมานี้เคยมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งนาม ‘ตวนมู่จื่ออี’ ปรากฏตัวในสำนักกระบี่เทียมฟ้า อวดอ้างว่าตนเหนือกว่าอวิ๋นชิ่งไป๋”

พูดถึงตรงนี้สีหน้าหมีเหิงเจินเปลี่ยนเป็นลุ่มลึก หว่างคิ้วเจือกลิ่นอายที่บอกไม่ถูกว่าชื่นชมหรือตกตะลึงเสี้ยวหนึ่งอยู่รางๆ “แต่เจ้ารู้ไหมว่าผลเป็นอย่างไร”

ทุกคนต่างหูผึ่ง

พวกเขาเพิ่งเคยได้ยินข่าวลึกลับเช่นนี้เป็นครั้งแรก

“ผลคือในวันที่สองที่ตวนมู่จื่ออีปรากฏตัวบนโลกก็มุ่งหน้าไปเยือนแหล่งพำนักของอวิ๋นชิ่งไป๋ด้วยตนเอง คารวะสุราให้อวิ๋นชิ่งไป๋สามจอก!”

ทันทีที่คำพูดนี้ดังขึ้น ทั่วทั้งลานพลันเงียบเชียบ

สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งกลับไปเยี่ยมเยียนและคารวะสุราด้วยตัวเอง ความนัยนี้ช่างทำให้คนตกตะลึงเกินไปแล้ว

“ตวนมู่จื่ออีนี้หากมีความมั่นใจว่าเอาชนะอวิ๋นชิ่งไป๋ได้คงไม่ลดตัวเช่นนี้แน่ แต่เขากลับอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าอวิ๋นชิ่งไป๋เช่นนี้ นี่เพียงพิสูจน์ได้ว่าเขายอมรับว่าสู้อวิ๋นชิ่งไป๋ไม่ได้ หรือไม่ก็ไม่อยากขัดใจอวิ๋นชิ่งไป๋”

“แต่ไม่ว่าเป็นอย่างไหนล้วนสามารถพิสูจน์ได้ว่าอวิ๋นชิ่งไป๋ในตอนนี้… แข็งแกร่งถึงขั้นทำให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณหวาดกลัวเขาแล้ว!”

หมีเหิงเจินพูดถึงตรงนี้ก็อดถอนใจไม่ได้ “นี่ก็คืออวิ๋นชิ่งไป๋ ผู้ที่ไม่ให้คนอื่นรู้ว่าเขาทรงพลังมากแค่ไหนตลอดกาล”

หลินสวินสีหน้าราบเรียบกล่าวไร้อารมณ์ “ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็เป็นเพียงระดับกระบวนแปรจุติ ใช่ว่าไม่อาจถูกเอาชนะ”

ทุกคนตะลึงงันอดยิ้มขื่นไม่ได้ บนโลกนี้คงมีเพียงเทพมารหลินที่กล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ เปลี่ยนเป็นคนอื่นใครเล่าจะกล้า

หมีเหิงเจินได้รับบาดเจ็บ เดิมอยากจัดงานชุมนุมพันกระแสนานเจ็ดวัน แต่ก็ได้แค่ยุติลงก่อน

คืนวันนั้นหมีเหิงเจินไปพบหลินสวินเพียงลำพัง เอ่ยพูดตรงประเด็น “น้องหลิน ไม่นานแดนมกุฎก็จะมาเยือน ตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้ามีแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์เกี่ยวกับศุภโชคพลิกฟ้าในแดนมกุฎอยู่ม้วนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเจ้าสนใจหรือไม่”

หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “สามารถเล่าโดยละเอียดได้หรือไม่”

หมีเหิงเจินกล่าว “เจ้าก็รู้ สมัยบรรพกาลแดนมกุฎเคยมาเยือนแล้วหลายครั้ง แต่ศุภโชคและวาสนาใหญ่ภายในนั้นกลับอยู่ในสภาพปิดผนึก ไม่อาจนำออกมาได้”

“แต่มหายุคครั้งนี้ต่างจากอดีต เป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด ขอแค่แดนมกุฎมาเยือน ศุภโชคส่วนหนึ่งที่ปิดผนึกอยู่ในนั้นล้วนมีโอกาสถูกช่วงชิงได้!”

หลินสวินพยักหน้า เขาเคยได้ยินเจ้าคางคกพูดถึงความลับพวกนี้มาแล้ว

“แผนภาพที่ไม่สมบูรณ์ม้วนนี้ในมือตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้าเกี่ยวข้องกับ ‘รังเจินหลง’ ในแดนมกุฎ ทว่าก็เป็นแค่แผนภาพที่ไม่สมบูรณ์ฉบับหนึ่ง อีกทั้งหากปรารถนาช่วงชิงศุภโชคภายในนั้น อาศัยเพียงพลังของตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราแล้วยังห่างไกลจากคำว่าพอ ดังนั้นข้าจึงอยากเชิญเจ้าเข้าร่วมด้วย”

หมีเหิงเจินตรงไปตรงมายิ่ง ทั้งไม่ปกปิดซ่อนงำ

“แน่นอนว่าภายในนั้นก็มีอันตรายถึงขีดสุด เท่าที่ข้ารู้ขุมอำนาจที่ทราบเรื่อง ‘รังเจินหลง’ นี้ไม่ได้มีแค่ตำหนักศักดิ์สิทธิ์สุริยันจันทราของข้า นี่ก็หมายความว่าหากหมายชิงศุภโชค จะต้องเกิดความขัดแย้งกับบุคคลขอบเขตมกุฎอื่น”

หลินสวินได้ยินดังนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ “รังเจินหลงมีอยู่จริงหรือ”

หมีเหิงเจินกล่าว “วิเคราะห์จากเบาะแสทุกอย่างน่าจะเป็นเรื่องจริง แต่ก็พูดลำบาก ถึงอย่างไรที่แห่งนั้นก็ถูกผนึกมาตลอด แต่ไหนแต่ไรไม่เคยมีคนเข้าไปจริงๆ”

หลินสวินพลันลังเลอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้

หมีเหิงเจินยิ้มกล่าว “จะตกปากรับคำหรือไม่ ไม่ต้องรีบร้อน น้องหลินใคร่ครวญก่อนสักหน่อยค่อยตัดสินใจก็ไม่สาย”

“สิ่งเดียวที่ข้าบอกเจ้าได้คือ หากสามารถช่วงชิงศุภโชคในรังเจินหลงได้ เป็นไปได้สูงว่าจะก้าวสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชันได้ในคราเดียว!”

หลินสวินใจกระตุกวูบ ในที่สุดก็ไหวหวั่น

“หากน้องหลินใคร่ครวญดีแล้วก็ให้ขยำยันต์มรรคนี้จนละเอียด ข้าจะติดต่อเจ้าไปทันที” หมีเหิงเจินมอบยันต์มรรคที่สลักลวดลายตะวันจันทราชิ้นหนึ่งออกมาให้

หลินสวินกล่าวยินดี “ได้”

ในคืนนั้นหมีเหิงเจินและฉีชงโต้วออกจากเขาวิญญาณพันกระแสไปพร้อมกัน ผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ล้วนทยอยจากไป

หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็จากไปในเวลาเดียวกัน

พวกเขาตัดสินใจมุ่งหน้าไปยังแคว้นหมึกขาวสักรอบ ดูว่าจะติดต่อจ้าวจิ่งเซวียนที่แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณได้หรือไม่ วางแผนว่าหลังแดนมกุฎมาเยือนจะเชิญจ้าวจิ่งเซวียนออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน

ตอนนี้หลินสวินรู้ชัดแล้วว่าผู้ฝึกปราณที่อยู่ใต้ระดับราชันต่างมีโอกาสเข้าสู่แดนมกุฎ นี่ก็หมายความว่า เหล่าผู้สืบทอดสำนักโบราณอย่างหมีเหิงเจินต้องไม่มีทางเคลื่อนไหวคนเดียวแน่

“เจ้าคางคก เจ้าน่าจะรู้เรื่องรังเจินหลงใช่ไหม”

กลางดึกบนหนทางมุ่งสู่แคว้นหมึกขาว หลินสวินเล่าเรื่องที่หมีเหิงเจินเชิญตนร่วมเสาะหารังเจินหลงด้วยกันให้เจ้าคางคกและอาหลู่ฟัง

เจ้าคางคกพลันเลิกคิ้วกล่าว “พวกเขาช่างกล้าเสียจริง ถึงกับวางแผนไปที่นั่น ไม่รู้หรือว่าสมัยบรรพกาลมีบุคคลขอบเขตมกุฎมากเท่าไหร่พยายามบุกเข้าไปจนต้องตายอยู่ในนั้น”

ไม่ช้าเขาเปลี่ยนประเด็นทันที ถูไม้ถูมือกล่าว “ทว่ามหายุคครั้งนี้ต่างจากอดีต พลังผนึกของรังเจินหลงเป็นไปได้มากว่าจะพังทลายไปเอง หากสามารถเข้าไปเสาะหาในนั้นได้ก็ถือเป็นโอกาสที่หายากยิ่ง”

หลินสวินมุ่นคิ้วกล่าว “ไม่อันตรายรึ”

“อันตรายสิ อันตรายหาใดเปรียบ!” เจ้าคางคกเอ่ยจริงจัง “แต่ความมั่งคั่งต้องเสี่ยงดวง คิดชิงศุภโชคไม่แบกรับความเสี่ยงได้เสียที่ไหน”

“พูดอย่างนี้เจ้าแนะนำให้ไปรึ” หลินสวินรู้สึกได้อยู่บ้าง

เจ้าคางคกคิดหนักอยู่ครู่ใหญ่ สุดท้ายก็ส่ายศีรษะกล่าว “อย่าเพิ่งตัดสินใจ เรื่องนี้ยังต้องพิจารณาให้มาก เจ้าไม่รู้ว่ารังเจินหลงนี้ตั้งอยู่ใน ‘แดนเก้าบน’ ของแดนมกุฎ แม้ซ่อนศุภโชคพลิกฟ้าแต่ก็มาพร้อมเคราะห์สังหารพลิกฟ้า ศุภโชคในแดนมกุฎมากมายขนาดนั้น ไม่เห็นต้องเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยงที่นั่น”

หลินสวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าเคยเข้าไปในแดนมกุฎหรือ”

เจ้าคางคกถอนใจเบาๆ สองมือไพล่หลัง นัยน์ตาทอดมองเวิ้งฟ้า ท่าทางราวผู้ผ่านประสบการณ์มาโชกโชน “เรื่องมาถึงวันนี้ข้าก็ไม่ปิดบังพวกเจ้าแล้ว สมัยบรรพกาลข้าเคยประทับรอยเท้าในแดนมกุฎนั่นมาก่อน เรื่องราวเจิดจรัสเช่นนี้ปัจจุบันคงมีคนไม่มากที่จำได้…”

หลินสวินและอาหลู่กลอกตาใส่โดยพร้อมเพรียง เจ้าคางคกเรื้อนนี่เริ่มยกหางตัวเองอีกแล้ว

“ท่าทางเช่นนี้ของพวกเจ้าหมายความว่าอะไร”

เจ้าคางคกเห็นดังนี้ก็อดขุ่นเคืองไม่ได้ “บอกพวกเจ้าได้เลยว่าการมุ่งหน้าสู่แดนมกุฎครั้งนี้ หากพวกเจ้าฟังข้า รับรองว่าพวกเจ้าจะช่วงชิงศุภโชคได้ตามอารมณ์เหมือนดื่มชากินข้าว ไม่อย่างนั้นอาศัยประสบการณ์ตื้นเขินของพวกเจ้าสองคน อย่าว่าแต่ชิงศุภโชคเลย แม้แต่น้ำแกงก็ดื่มไม่ได้!”

“ขี้โม้!”

อาหลู่ทำหน้าดูถูก

“เชิญต่อเลย”

หลินสวินกอดอกยิ้มหยัน

เจ้าคางคกรู้สึกหน้าหม่นแสงทันที กระทืบเท้ากล่าว “พวกเจ้าคงรู้จัก ‘สามพันแดน’ ในแดนมกุฎ และคงรู้จัก ‘แดนเก้าบน’ แล้วงั้นสิ”

……………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท