Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1128 ไม่อยากเกลือกกลั้ว

ตอนที่ 1128 ไม่อยากเกลือกกลั้ว

ปีกอินทรีฟ้ากิเลนเขียวยาวสิบกว่าจั้ง ทั่วร่างปกคลุมด้วยเกราะเกล็ดเขียวเลื่อมพราย แข็งแกร่งดุดันและป่าเถื่อน ยามร่อนลงฝุ่นฟุ้งตลบเศษหินกระจาย

คนไม่น้อยโดยรอบต่างถอยไม่หยุด สัมผัสได้ถึงพลังอันน่ากลัวจนหน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่อยู่

หญิงสาวสีหน้าเย็นชาครัดเคร่งคนนี้ยังไม่ลงมือ พาหนะนางก็ทำให้คนใจสั่นแล้ว ข่มพลานุภาพของผู้ฝึกปราณบางส่วน

พวกหลินสวินก็อยู่ในบริเวณนั้น แต่ไม่ได้ถอยหลบ

“นางเป็นใครกัน”

“เป็นไปไม่ได้กระมัง พวกเจ้าไม่รู้จักแม้แต่เทพธิดาหลิงหวาแห่งสำนักยุทธ์นครนิลรึ”

“เทพธิดาหลิงหวา? คงไม่ใช่ผู้กล้าหญิงขอบเขตมกุฎที่ช่วงนี้เพิ่งออกมาจากการเก็บตัวนั่นกระมัง”

“เป็นนางนี่แหละ!”

ผู้คนละแวกใกล้เคียงวิพากษ์วิจารณ์ สายตาที่มองไปยังหญิงสาวบนอินทรีฟ้ากิเลนเขียวล้วนเจือความยำเกรงวูบหนึ่ง

สัตว์ประหลาดยุคโบราณแต่ละคนต่างมีรากฐานพลังพอจะทำให้ผู้ฝึกปราณคนใดก็ตามหวาดกลัว

ก็เหมือนเทพธิดาหลิงหวาเบื้องหน้า แม้สันโดษ แต่ในที่นั้นกลับไม่มีคนกล้าดูหมิ่น!

“ช่างวิ่งมาหาที่ตายยิ่งนัก”

หลิงหวาเหลือบมองพวกหลินสวินวูบหนึ่งพลางกล่าว “ข้าเองไม่อยากหาเรื่องพวกเจ้า แต่ตอนนี้พวกเจ้าหายไปจากสายตาข้าจะดีที่สุด”

น้ำเสียงสบายอารมณ์ แต่กลับเผยมาดออกคำสั่งสูงส่งเหนือคนอื่น

“เจ้าจะยึดครองอาณาเขตนี้คนเดียวรึ” เจ้าคางคกเลิกคิ้ว เพลิงโทสะในใจเดือดพล่าน ผู้หญิงคนนี้กำเริบเสิบสานเสียจริง

“ไม่ใช่ยึดครอง แค่ไม่อยากเกลือกกลั้วกับพวกเจ้า เข้าใจไหม”

วาจาเทพธิดาหลิงหวาราบเรียบ แฝงความเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด

อันที่จริงเวลานี้สถานที่ในรัศมีหลายสิบจั้ง นอกจากพวกหลินสวินแล้วก็ไม่มีคนกล้าเข้าใกล้ ถูกพลานุภาพของเทพธิดาหลิงหวาเขย่าขวัญ

และตอนนี้นางยังเอ่ยปากขับไล่พวกหลินสวินโดยตรง ท่าทีโอหังอวดดีเช่นนี้ทำให้คนไม่น้อยตื่นตระหนกไม่หยุด

ไม่อาจไม่พูดถึงว่าหญิงสาวผู้นี้ทรงพลังนัก พลานุภาพที่แผ่ออกมาจากร่างทำให้ผู้ฝึกปราณทั่วทิศต่างแบกรับไม่อยู่ ทยอยถอยอย่างต่อเนื่อง

อินทรีฟ้ากิเลนเขียวที่นางนั่งอยู่ก็องอาจไม่โอนอ่อน กวาดมองเหล่าผู้กล้าอย่างหยิ่งทะนง บนปีกรัศมีสายฟ้าอัศจรรย์ไหลบ่าแหวกผ่านอากาศ กร้าวแกร่งหาใดเปรียบ

ผู้ฝึกปราณบริเวณนี้ต่างถอยหลีกห่างไกล มีเพียงพวกหลินสวินที่ยังอยู่ราวกับไม่ได้ยินคำพูดนาง หรือกล่าวได้ว่ามองข้ามไปทั้งอย่างนั้น

ชั่วขณะเดียวนัยน์ตาหลิงหวาเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นหาใดเปรียบ อินทรีฟ้ากิเลนเขียวใจ้ร่างพลันทะยาน ทั่วร่างเปล่งแสงสายฟ้าบาดตา เหยียดกรงเล็บคมกริบเยียบเย็นดุดันตะปบไปทางหลินสวินเต็มแรง

หมายฉีกกระชากเขาราวอินทรีตะปบกระต่าย!

เจ้าคางคกและอาหลู่เดิมก็โกรธจนแทบควบคุมไม่อยู่ หากไม่ใช่หลินสวินห้ามไว้คงลงมือไปนานแล้ว แต่ตอนนี้อีกฝ่ายยังไม่ยอมเลิกรา ทำให้ทั้งคู่อดกลั้นไม่ไหวอีกต่อไป

ทว่าหลินสวินที่เดิมแน่นิ่งไม่ขยับกลับชิงลงมือก่อน พลันเอื้อมมือคว้าทันที

เร็วเกินไปแล้ว ชั่วพริบตาก็จับกรงเล็บคมกริบของอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนั่นอยู่หมัด ทำจนฝ่ายหลังดิ้นรนเท่าไรก็ไม่อาจสลัดหลุด!

หืม?

นัยน์ตาหลิงหวาพลันหดเกร็ง

พร้อมกันนี้แขนหลินสวินพลันส่งแรงเหวี่ยง ทุ่มอินทรีฟ้ากิเลนเขียวลงกับพื้นทันใด

ในกระบวนการนี้เงาร่างหลิงหวาพลันซวนเซเกือบถูกเหวี่ยงกระเด็น ร่างกายพริบไหวขยับตัวไปกลางอากาศตามจิตใต้สำนึก

ปึง!

พื้นดินสั่นสะเทือนเกิดหลุมยุบมหึมาหลุมหนึ่ง อินทรีฟ้ากิเลนเขียวนั่นถูกกระแทกจนคอเกือบหัก ส่งเสียงครวญกระชั้นถี่และโหยหวน ปีกทั้งสองขาดสะบั้น

จากนั้นร่างกายมันก็อ่อนยวบ ถึงกับถูกการโจมตีเดียวซัดสลบ!

โลหิตแดงสดไหลหลั่งชวนตระหนก หลินสวินยืนตระหง่านอยู่ตรงนั้นไม่ไหวติง โยนปักษาเทพที่สลบเหมือดตัวนี้ออกไปราวทิ้งขยะ

ฝุ่นควันบนพื้นแผ่คลุ้งพร้อมเสียงดังตึง

ในบริเวณใกล้เคียงมีเสียงฮือฮา ในใจทุกคนตระหนกหวาดผวา ใครก็คาดไม่ถึงว่าเจ้าหนุ่มที่ไม่พูดจาสักคำตั้งแต่ต้นจนจบคนนี้ ทันทีที่ลงมือจะป่าเถื่อนเช่นนี้

ถึงแม้หลิงหวาจะหลบการโจมตีนี้ได้ แต่สีหน้ากลับเยียบเย็นจนน่ากลัวในชั่วขณะเดียว ทั่วร่างแผ่ไอสังหารมืดฟ้ามัวดินเตรียมกระโจนสังหาร

“เป็นเขา เทพมารหลิน!” มีคนร้องเสียงหลง

และเสียงนี้เองที่ทำให้หลิงหวาผงะในใจวูบหนึ่ง หยุดกระทำการในมือลง ยามมองหลินสวินอีกครั้งสายตาก็เปลี่ยนไป

เทพมารหลิน!

เพียงสามคำราวกับมีเวทมนตร์ ดึงดูดสายตาผู้คนใกล้เคียงมาจนหมด ชั่วขณะเดียวบรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงัดไม่น้อย

ใต้หล้าทุกวันนี้ใครกล้าพูดว่าไม่เคยได้ยินเรื่องราวของเทพมารหลินคงถูกคนหัวเราะเยาะแน่

และด้วยรู้ผลงานการต่อสู้ที่ผ่านมาของหลินสวิน ยามได้ยินว่าเจ้าหนุ่มนั่นก็คือเทพมารหลินที่ชื่อเสียงสะเทือนดินแดนรกร้างโบราณในปัจจุบัน ผู้ฝึกปราณ ณ ที่นั้นจึงไหวหวั่นอย่างเลี่ยงไม่ได้

“มิน่าถึงได้ไม่เกรงกลัวสิ่งใดเช่นนี้ ที่แท้ก็เป็นเขา”

มีคนพูดเสียงเบา

ก่อนหน้านี้ไม่นานเรื่องที่เทพมารหลินเอาชนะสัตว์ประหลาดยุคโบราณจินเซี่ยวหมิงได้สั่นสะเทือนใต้หล้า เปิดฉากความปั่นป่วนโกลาหลอยู่ก่อนแล้ว!

“ทุกวันนี้คงมีเพียงเทพมารหลินที่ไม่หวาดกลัวการประลองกับสัตว์ประหลาดยุคโบราณ”

มีคนทอดถอนใจ

เมื่อแน่ใจฐานะของหลินสวิน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้าก็เห็นได้ว่าปกติ เทพธิดาหลิงหวานั่นบางทีอาจน่ากลัว แต่คู่ต่อสู้นางเป็นถึงเทพมารหลิน!

แค่สัตว์หน้าขนตัวหนึ่งข้างกายนางยังกล้าล่วงเกินเทพมารหลิน นี่ไม่ใช่ว่ารนหาที่ตายรึ

ในจุดที่ห่างออกไป ชายผมเทาที่แบกธนูยาวกระดูกสัตว์หน้าเปลี่ยนสีผิดธรรมชาติ เขานึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่เคยดูถูกพวกหลินสวิน

บนยานสำเภาสีเลือด ผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูรต่างมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ล้วนคิดไม่ถึงว่าในหมู่ผู้ฝึกปราณที่พวกเขาขับไล่บนเส้นทางก่อนหน้าจะมีเทพมารหลินอยู่ด้วย!

ชั่วขณะเดียวมีคนมุ่นคิ้วและมีคนไม่ใส่ใจ

มีเพียงสีหน้าเหลียงเซวี่ยอิ๋นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ปฏิบัติตัวอย่างเฉยเมย

“เจ้าก็คือหลินสวิน? ข้ามองผิดไปจริงๆ ดูไม่ออกว่าเจ้าร้ายกาจมากแค่ไหน”

เวลานี้หลิงหวาเอ่ยปาก สีหน้ายังเย็นชาครัดเคร่งไม่เปลี่ยน “แต่ไม่ว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าทำร้ายพาหนะของข้าก็ออกจะเกินไปหน่อยหรือไม่”

เจ้าคางคกโกรธจัด “ยัยผู้หญิงหน้าเหม็นนี่ บนทางก่อนหน้านี้เจ้าพูดจาเสียดแทงกระทบกระเทียบ หลังมาถึงที่นี่ยังจะขับไล่พวกข้า ก็คร้านจะเอาความเจ้าอยู่หรอก แต่เจ้ากลับเหยียบจมูกขึ้นหน้า ยังมียางอายอยู่ไหม”

อาหลู่ยิ่งตรงไปตรงมากว่า ตาจับจ้องอินทรีฟ้ากิเลนเขียวที่สลบอยู่กับพื้นกล่าว “พี่ใหญ่ ข้าอยากกินเนื้ออินทรี”

ก่อนหน้านี้หลินสวินเลือกจะอดกลั้น ด้วยไม่อยากดึงดูดสายตามากเกินไปก่อนเข้าสู่แดนมกุฎ ถึงอย่างไรการเสนอหน้าเวลานี้ก็ไม่ใช่เรื่องดี จะถูกคนเพ่งเล็งเอาได้

แต่การอดกลั้นไม่ได้หมายความว่าขี้ขลาด ฝ่ายตรงข้ามมาล่วงเกินกันก่อน หากแสร้งอ่อนแออีกกลับจะเห็นว่าพวกเขารังแกได้ง่าย!

“อยากกินเนื้อรึ ง่ายมาก!”

หลินสวินรวบนิ้วกรีดขวับ ตัดลำคอของอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนั่นดังฟุ่บ โลหิตแดงสดสาดพรมราวน้ำพุในชั่วพริบตา

ทุกคนใจสั่นสะท้าน ช่างเป็นเทพมารจริงๆ ฟังไม่เข้าหูก็ฆ่าได้แม้แต่พาหนะของฝ่ายตรงข้าม ทั้งยังคิดจะกินมันด้วย!

“เจ้ารนหาที่ตาย!”

หลิงหวากรีดร้องเดือดดาลถึงขีดสุด สัตว์พาหนะถูกคนเชือดคอต่อหน้าต่อตานาง นี่คือความอัปยศครั้งใหญ่โดยไม่ต้องสงสัย

ตูม!

เพียงแต่ช่วงที่นางคิดลงมือ ชายชราหนวดเคราเงินคนหนึ่งจู่ๆ ก็ปรากฏตัวขวางหน้าหลิงหวาไว้ “คุณหนู ก่อนเข้าสู่แดนมกุฎไม่เหมาะจะลงมือกับใคร”

บนตัวชายชราไหลเวียนด้วยพลังชวนประหวั่นอันเป็นของสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับราชัน ทันทีที่ปรากฏตัวก็ทำให้คนไม่น้อยต่างหน้าเปลี่ยนสี

แต่ก็มีคนอีกมากที่ไม่หวาดกลัว

ด้วยข้างกายพวกเขาต่างมีคนใหญ่คนโตคอยปกป้องในที่ลับ!

“ลุงอวิ๋น เขาฆ่าพาหนะของข้า จะอดกลั้นได้อย่างไร” ใบหน้าหลิงหวาเคร่งขรึม ในดวงตาเปี่ยมไอสังหารน่าพรั่นพรึง

“แค่สัตว์หน้าขนตัวหนึ่งเท่านั้น เทียบกับศุภโชคในแดนมกุฎแล้วก็ไม่สลักสำคัญอะไร” ชายชราเอ่ยราบเรียบ

ภาพนี้ช่างแปลกประหลาด ราชันคนหนึ่งมาเยือนชัดๆ แต่ตั้งแต่ต้นจนจบกลับขัดขวางไม่ให้หลิงหวาลงมือ และไม่มีท่าทีว่าจะช่วยนางออกหน้าเพียงเสี้ยว

แต่ผู้ที่เข้าใจสถานการณ์ภายในอย่างแท้จริงล้วนรู้ดี บนโลกยามนี้ ใครกล้าใช้วิธีผู้ใหญ่รังแกผู้น้อยกับหลินสวิน คนผู้นั้นก็ต้องชั่งน้ำหนักถึงผลที่จะตามมาของการทำเช่นนี้ให้ดี!

ต้องรู้ว่าเหตุการณ์ที่หญิงลึกลับคนนั้นบุกไปเยือนหกขุมอำนาจใหญ่ด้วยตัวคนเดียว บีบจนขุมอำนาจใหญ่ทั้งหกไม่อาจไม่ก้มหัว จนทุกวันนี้ก็ยังเล่าสืบต่อกันมา!

“ได้ ข้าจะจำไว้!”

หลิงหวาสูดหายใจลึก แววตาเยียบเย็นจ้องมองหลินสวินแล้วกล่าว “ถนอมเวลาตรงหน้าให้ดีเถอะ รอเข้าไปในแดนมกุฎแล้วข้าจะคิดบัญชีนี้กับเจ้าให้เต็มที่!”

น้ำเสียงเยียบเย็นเจือความเกลียดชัง ทำให้อากาศบริเวณนี้ราวถูกแช่แข็ง ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างสะท้านวาบในใจ

จากนั้นหลิงหวาจึงหันขวับออกจากบริเวณนี้ไป

“เจ้าหนุ่ม แดนมกุฎไม่ได้เอาชีวิตรอดง่ายเช่นนั้น ระวังตัวให้ดี”

ชายชราหนวดเคราขาวเหลือบมองหลินสวินวูบหนึ่ง แววตาเคร่งขรึมเย็นชาดุจอสนี หากเป็นไปได้เขาอยากจะฆ่าหลินสวินตอนนี้ด้วยซ้ำ แต่สุดท้ายเขาก็ยังข่มกลั้นเอาไว้

เหมือนกับที่ทุกคนคาด เขาไม่ได้ไม่อยาก หากแต่ไม่กล้า!

แน่นอนว่าที่เขาหวาดกลัวไม่ใช่หลินสวิน แต่เป็นหญิงลึกลับคนนั้นที่หนุนหลังหลินสวินอยู่

“ไอ้แก่ รอเมื่อพวกเรากลายเป็นราชันในแดนมกุฎแล้วกลับมา ดูซิว่าเจ้าจะยังกล้าพูดจาใหญ่โตเช่นนี้หรือไม่!” เจ้าคางคกยิ้มเย็น

ชายชราแค่นเสียงฮึคราหนึ่ง ก่อนหันหลังจากไป

ละครตลกฉากนี้ปิดฉากลงเพียงเท่านี้

แต่ทุกคนละแวกใกล้เคียงกลับไม่กล้าปฏิบัติตัวกับพวกหลินสวินเหมือนก่อนหน้าอีก ถึงขั้นมีน้อยคนนักที่กล้าเข้าใกล้บริเวณนี้!

เดิมทีหลังรู้ฐานะของหลินสวิน ยังมีคนไม่น้อยคิดอยากไปพูดคุยสมาคมกับหลินสวินอยู่บ้าง

ถึงอย่างไรหลังเข้าสู่แดนมกุฎ แม้ไม่อาจเคลื่อนไหวด้วยกัน อย่างน้อยที่สุดก็สามารถหลีกเลี่ยงการเกิดความขัดแย้งบางส่วนได้

แต่เมื่อเห็นภาพที่หลินสวินผูกพยาบาทกับหลิงหวากับตา คนพวกนี้ก็ดับความคิดนั้นไป

แม้หลินสวินจะแข็งแกร่ง แต่ศัตรูของเขาก็ไม่น้อย คิดคบค้าสมาคมกับเขาก็ต้องพิจารณาความเสี่ยงที่ต้องแบกรับ!

ด้วยประการฉะนี้จึงยิ่งทำให้บริเวณที่พวกหลินสวินอยู่เงียบเหงากว่าเดิม

แต่หลินสวินกลับยินดีที่ได้พักเงียบๆ กำชับเจ้าคางคกและอาหลู่ให้เริ่มชำแหละอินทรีฟ้ากิเลนเขียวตัวนั้นด้วยกัน วางแผนที่จะย่างมันกิน

ถึงอย่างไรก็ว่างอยู่แล้ว

เห็นดังนี้ผู้ฝึกปราณบางส่วนที่อยู่ห่างออกไปต่างหมดคำพูด เทพมารหลินก็ช่างใจกล้า ไม่รู้หรือว่าทำเช่นนี้จะยิ่งยั่วโมโหเทพธิดาหลิงหวาไปอีกขั้น

คนไม่น้อยล้วนมองไปยังหลิงหวา ในที่สุดก็พบว่าใบหน้างามของฝ่ายหลังอึมครึมดังคาด ทั่วร่างแผ่ไอสังหารชวนประหวั่นไร้ขอบเขต

แต่พวกหลินสวินกลับราวไม่รับรู้อะไร

เจ้าคางคกกำลังเสียบเนื้อ อาหลู่กำลังก่อไฟ หลินสวินก็กำลังเตรียมเครื่องปรุง ทั้งสามคนแบ่งงานกันชัดเจน ไม่ช้าก็เริ่มทำการย่างเนื้อ

หลิงหวาเก็บสายตากลับมา นางห่วงว่าหากดูต่อไปตนจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ ต้องพุ่งสังหารออกไปแน่!

ในเวลานี้เองผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบ สื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิงหวา คุณชายเผ่าข้าเรียนเชิญ’

หลิงหวาชะงัก เงยมองไปยังบริเวณที่อยู่ใกล้เมืองนำทางที่สุด

ที่นั่นมีชายชุดทองคนหนึ่งเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ที่ราวหล่อจากทองคำหลังหนึ่งอย่างเกียจคร้าน

……………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท