Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1129 คำเชิญขององค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง

ตอนที่ 1129 คำเชิญขององค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง

เนื้อย่างใกล้สุกแล้ว สีเหลืองทองอาบมัน ด้านบนโรยด้วยเครื่องปรุง กลิ่นหอมยวนใจถูกลมพัดโชยอบอวลทั่วลานทันที

ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างลอบกลืนน้ำลาย ให้ตายเถอะ หอมเกินไปแล้ว!

ที่สะดุดตาที่สุดคือปีกย่างทั้งคู่ที่ยาวราวสิบกว่าจั้ง แม้ถูกสับเป็นหลายท่อนแต่ก็ยังใหญ่โตเกินจริง

หลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่นั่งลงกับพื้น ต่างคนต่างโอบปีกอินทรีย่างท่อนหนึ่งกินจนปากมันเยิ้ม ทั้งยังดื่มเหล้าชามใหญ่ตลอดเวลา ช่างเป็นสุขเสียนี่กระไร

ทุกคนต่างพูดไม่ออก ที่นี่คือหน้าเมืองนำทาง เหล่าผู้กล้าทั่วทิศรวมตัวกัน ล้วนเตรียมการเพื่อช่วงชิงความเป็นใหญ่ยามเข้าสู่แดนมกุฎ

แต่พวกเทพมารหลินนี่อย่างไร เริ่มก่อฟืนกลางแจ้งเสียอย่างนั้น!

“เนื้อหมาทมิฬนำมาปรุงอาหารอร่อยที่สุด งูสวรรค์ทองคำตุ๋นเป็นน้ำแกงดีที่สุด ส่วนอินทรีฟ้ากิเลนเขียวนี่ย่างไฟกินถึงจะเลิศรส”

หลินสวินเอ่ยวิจารณ์

เจ้าคางคกและอาหลู่กินอย่างตะกละตะกลามพลางพยักหน้าเห็นด้วย

ผู้ฝึกปราณใกล้เคียงไม่น้อยสูดหายใจเย็น ความอยากอาหารของเทพมารหลินนี่นับวันยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเกินขอบเขต ตั้งท่าวิจารณ์ของอร่อยในใต้หล้าแล้ว!

พาหนะของผู้ฝึกปราณไม่น้อยล้วนเป็นสัตว์ปีศาจและปักษาเทพ เวลานี้ต่างลนลานไปหมด ในใจแอบสาบานว่าจะต้องอยู่ห่างเทพมารหลินนั่นให้ไกลหน่อย!

เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้น ชายร่างผอมสูงคนหนึ่งเดินเข้ามา มือไพล่หลังก้มมองหลินสวินที่นั่งอยู่กับพื้นกล่าว “หลินสวิน องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเชิญเจ้า จงไปพร้อมข้าเถอะ”

น้ำเสียงราบเรียบ แต่เจือกลิ่นอายออกคำสั่งโดยไม่ต้องสงสัย

สีหน้าทุกคนบริเวณนั้นเปลี่ยนเป็นแปลกประหลาด รู้ว่าชายร่างผอมสูงนี้คือผู้แข็งแกร่งคนหนึ่งของเผ่าอีกาทองนามอูเหิง

และ ‘องค์ชายเจ็ด’ ที่อูเหิงกล่าวถึง ตอนนี้ก็อยู่หน้าประตูเมืองซึ่งใกล้เมืองนำทางที่สุด นามอูหลิงเฟย เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎที่ราวปีศาจแห่งยุคคนหนึ่ง!

แม้ไม่ใช่สัตว์ประหลาดยุคโบราณ แต่อูหลิงเฟยผู้นี้ก็เป็นราชนิกุลของเผ่าอีกาทอง สายเลือดบริสุทธิ์ พรสวรรค์โดดเด่น พลังต่อสู้ก็เรียกได้ว่าพลิกฟ้า

“มีอะไรรึ”

หลินสวินเคี้ยวเนื้อย่างพลางเอ่ยถามลอยๆ ไม่แม้แต่จะเงยหน้า

อูเหิงสีหน้าขรึมทันที ทั้งยังกระแทกเสียงกล่าวซ้ำอีกรอบ “องค์ชายเจ็ดเผ่าข้าเชิญเจ้า!”

“ไม่ว่าง”

หลินสวินปฏิเสธโดยไม่แม้แต่จะคิด

อูเหิงตกตะลึงราวคาดไม่ถึง ขนาดเอ่ยชื่อองค์ชายเจ็ดแล้วยังมีคนกล้าไม่ใส่ใจ

ที่ทำให้เขาหัวเสียที่สุดคือ ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินนั่งอยู่กับพื้นมัวแต่กินเนื้อ ไม่คิดจะลุกขึ้นมารับคำสั่งแม้แต่น้อย

“เจ้าแน่ใจนะ?”

อูเหิงสูดหายใจลึก ตัดสินใจให้โอกาสหลินสวินพิจารณาอีกครั้ง

เจ้าคางคกอดกลอกตาใส่ไม่ได้ กล่าวไม่สบอารมณ์ “เจ้าก็เป็นแค่ลูกกะจ๊อก ในเมื่อปฏิเสธคำเชิญของเจ้าแล้วจะมัวยืนอยู่นี่ทำซากอะไร กลับไปบอกองค์ชายเจ็ดอะไรนั่นสิว่าไม่ว่าง!”

วาจานี้ไม่เกรงใจเกินไปแล้ว

อูเหิงโกรธจนหน้าอึมครึม ในที่นี้ขุมอำนาจผู้ฝึกปราณแม้มีมาก แต่พวกเขาเผ่าอีกาทองแห่งหุบเขาตะวันคล้อยนับว่าอยู่สูงสุด!

แต่ตอนนี้กลับมีคนปฏิเสธคำเชิญครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างคาดไม่ถึง ทั้งท่าทียังสบายอารมณ์ นี่ไม่อาจฝืนทนเกินไปแล้ว

“ฮึ โอกาสมาถึงแล้ว แต่น่าเสียดายที่พวกเจ้าไม่ไขว่คว้า ระวังตัวไว้ให้ดี!”

อูเหิงกล่าววาจารุนแรงทิ้งท้ายประโยคหนึ่งก่อนหันหลังจากไป

ทุกคนเห็นภาพเหตุการณ์นี้อยู่ในสายตา ในใจต่างอดตื่นเต้นไม่ได้ ช่างสมเป็นเทพมารหลินที่ชื่อเสียงโด่งดังทั่วหล้า แค่ความกล้าเช่นนี้ก็หาใช่สิ่งที่คนธรรมดาเอื้อมถึง

นั่นเป็นถึงทูตที่เผ่าอีกาทองส่งมา แต่กลับถูกไล่กลับลวกๆ เช่นนี้!

หน้ากำแพงเมืองที่ตระหง่านเก่าแก่ องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองนอนเอกเขนกอยู่บนบัลลังก์ทองอร่ามอย่างสบายอารมณ์ ท่าทางดูสบายใจเรื่อยเฉื่อย

“ประเดี๋ยวรอหลินสวินมาแล้ว ข้าจะให้เขาก้มหัวขอโทษเจ้า นี่ถือเป็นความจริงใจจากข้า”

อูหลิงเฟยกล่าวเนิบช้า เส้นผมทั้งศีรษะเปล่งประกายแวววาวดั่งน้ำตกสีทอง เครื่องหน้าทั้งห้าคมเข้มได้รูปดุจแกะสลัก มีพลังบีบคั้นผู้คน

“ร่วมมือกับเจ้าก็ไม่ใช่ไม่ได้ แต่ข้าไม่มีทางยอมรับคำขอโทษ” หลิงหวาที่อยู่ด้านข้างเอ่ยเย็นชา หว่างคิ้วเจือความเกลียดชังวูบหนึ่ง

อูหลิงเฟยเงียบสื่อจิตกล่าว ‘แม่นางหลิงหวา ใต้หล้าต่างรู้ว่าพลังต่อสู้ของเทพมารหลินนี่ไม่ธรรมดา พวกเราสามารถดึงเขามาเป็นพวก ให้เขาฝ่าฝันอันตรายเพื่อเราก่อน รอเมื่อชิงวาสนามาได้… อืม เจ้าน่าจะเข้าใจ’

หลิงหวาตะลึงงัน รู้ว่าอูหลิงเฟยทำเช่นนี้เพราะต้องการหลอกใช้หลินสวิน หาได้คิดร่วมมือกับหลินสวินอย่างแท้จริง

นางคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้มกล่าว ‘สหายยุทธ์ เจ้าร่วมมือกับข้าคงไม่ใช่ว่ามีความคิดเช่นนี้ด้วยกระมัง’

อูหลิงเฟยหัวเราะลั่น จากนั้นเขาค่อยนั่งตัวตรงบนบัลลังก์ สีหน้าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังกล่าวว่า ‘ข้าขอสาบานในนามเผ่าอีกาทอง รับรองว่าไม่มีทางทำเรื่องข้ามแม่น้ำรื้อสะพานกับแม่นางเด็ดขาด’

หลิงหวาร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

เวลานี้เองนางพลันได้กลิ่นเนื้อยั่วยวน ทำเอานางน้ำลายสออยู่บ้าง

เมื่อมองตามกลิ่นหอมไปสีหน้าหลิงหวาพลันเปลี่ยนเป็นผิดแปลกหาใดเปรียบทันที กัดฟันกรอดแทบแหลก เทพมารหลินน่ารังเกียจนี่ถึงกับย่างสัตว์พาหนะของนางกินจริงๆ !

อูหลิงเฟยก็ตกตะลึง นัยน์ตาฉายแววประหลาดวูบหนึ่ง จากนั้นจึงกล่าวปลอบใจ “แม่นางอย่าวู่วาม เรื่องเล็กไม่ยอมทนจะเสียงานใหญ่ รอเข้าไปในแดนมกุฎแล้วยังมีโอกาสจัดการเจ้าเด็กนี่!”

หลิงหวากล่าวเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูก “ร่วมมือกันก็ได้ ช่วยข้าสังหารเจ้าเด็กนี่แล้วข้าจะรับปากเจ้าตอนนี้”

แววตาอูหลิงเฟยไหววูบคิดใคร่ครวญ

ในเวลานี้อูเหิงกลับมาอย่างรีบเร่ง สีหน้าอึมครึมกล่าว “องค์ชายเจ็ด เทพมารหลินนั่นไม่รู้จักดีชั่ว ไม่เพียงไม่ตามมา ท่าทียังต่ำทรามยิ่งนัก…”

เขาเล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้จนหมด

หลิงหวาได้ยินดังนั้นมุมปากปรากฏรอยยิ้มเย็นอย่างอดไม่อยู่ เหลือบสายตามองอูหลิงเฟย ดูว่าเขาจะตัดสินใจอย่างไร

อูหลิงเฟยเงียบไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าตนเชิญด้วยตัวเองแล้วอีกฝ่ายจะปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง!

นี่ไม่คิดจะไว้หน้าตนใช่ไหม

ส่วนลึกในนัยน์ตาอูหลิงเฟยฉายแววเย็นชาอย่างยากสังเกตเห็นวูบหนึ่ง

จากนั้นเขาก็ยิ้มเล็กน้อยลุกขึ้นกล่าว “ช่างเถอะ ข้าไปเชิญด้วยตัวเองแล้วกัน คนอย่างเทพมารหลินวางท่าใหญ่โตบ้างก็ปกติ สามารถเข้าใจได้”

ในใจอูเหิงไม่พอใจนัก เปิดปากกำลังจะพูดอะไรแต่ถูกสายตาอูหลิงเฟยกวาดมองมา ทำเอาเย็นวาบจนสั่นไปทั้งตัว ไม่กล้ากล่าวมากความอีก

“หลินสวิน ข้าน้อยอูหลิงเฟยเผ่าอีกาทอง ได้ยินชื่อเสียงพี่หลินมานาน วันนี้มีวาสนาได้พบกันที่นี่ มาพูดคุยกันหน่อยได้หรือไม่”

ทันใดนั้นฟ้าดินแถบนี้ถูกเสียงฉะฉานของอูหลิงเฟยปกคลุม ทำเอาผู้ฝึกปราณทั่วลานพลันแตกตื่น

ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลังจากอูเหิงถูกปฏิเสธ อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าอีกาทองคนนี้จะมาเชิญด้วยตัวเอง!

‘เกรงว่าคงมีเพียงเทพมารหลินที่ได้รับการปฏิบัติตัวด้วยเช่นนี้’

ผู้ฝึกปราณมากมายไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ คิดอย่างไร้เดียงสาว่านี่คือการให้ความสำคัญที่อูหลิงเฟยมีต่อหลินสวิน ต่างเลี่ยงไม่ได้ที่จะอิจฉาและทอดถอนใจอยู่บ้าง

‘คำเชิญที่ไม่มีปี่มีขลุ่ยไม่ต่างอะไรกับการทำดีหวังผล เจ้าต้องค่อยเป็นค่อยไป เผ่าอีกาทองตั้งแต่แก่ยันเด็กไม่มีสักตัวที่ดีงาม’ เจ้าคางคกสื่อจิตเตือน

หลินสวินพยักหน้า แสดงออกว่าเข้าใจ

“สหายยุทธ์อูมีอะไรชี้แนะเชิญพูดมาตามตรง”

หลินสวินเองก็กล่าวเสียงดัง น้ำเสียงสะท้อนไปไกล

ทันใดนั้นสีหน้าทุกคนในเผ่าอีกาทองต่างเปลี่ยนเป็นเยียบเย็นไม่น้อย องค์ชายเจ็ดของพวกเขาออกปากเชิญด้วยตัวเอง แต่เจ้าหมอนี่ยังโง่เขลาดึงดัน ไม่มีความตระหนักรู้แม้แต่น้อย

อูหลิงเฟยชะงักไปก่อนค่อยกล่าวต่อ “ไม่ถึงขั้นชี้แนะ เพียงแต่อยากเชิญพี่หลินไปไกล่เกลี่ยเรื่องเข้าใจผิดกับแม่นางหลิงหวาสักหน่อย ถึงอย่างไรยามแท่นมรรคบูชาอริยะมาเยือนพวกเราก็ต้องเข้าไปในเขตเดียวกัน มีสหายเพิ่มอีกคนย่อมดีกว่ามีศัตรูเพิ่มอยู่บ้าง”

น้ำเสียงนุ่มนวล ทำให้คนรู้สึกเหมือนอาบไล้ลมวสันต์

ผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างแอบทอดถอนใจ องค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทองผู้นี้เป็นถึงปีศาจแห่งยุค แต่การวางตัวกลับทำให้คนรู้สึกประทับใจโดยง่าย

ทว่าเมื่อฟังถึงตรงนี้หลินสวินพลันยิ้มกล่าวทันที “ไกล่เกลี่ยเรื่องเข้าใจผิด? ได้สิ ให้นางขอโทษพวกเราสามพี่น้อง ถ้าไม่อย่างนั้นก็อย่าได้เจรจาอะไรอีก”

เดิมหลิงหวาก็ข่มกลั้นไฟโทสะเต็มท้องอยู่แล้ว ได้ยินดังนี้ก็ทนไม่ไหวทันที “อยากให้ข้าขอโทษรึ ฝันไปเถอะ!”

สีหน้าอูหลิงเฟยเปลี่ยนเป็นเย็นชาเช่นกัน กล่าวว่า “พี่หลิน ความอาฆาตพึงละไม่พึงผูก หากเจ้ายอมถอยก้าวหนึ่ง ไม่แน่ว่าพวกเรายังอาจได้เป็นสหาย ช่วงชิงศุภโชคในแดนมกุฎด้วยกัน หากเจ้าดึงดันทำตามใจ เกรงว่าแม้แต่เพื่อนก็คงเป็นไม่ได้”

คำกล่าวตอนท้ายเจือกลิ่นอายเย็นชาครัดเคร่งวูบหนึ่ง

ผู้ฝึกปราณบางส่วนใจสั่นสะท้าน ตระหนักได้ว่าอูหลิงเฟยไม่ได้มีแค่ด้านที่อ่อนโยน เขายังมีด้านที่ดุดันและแข็งกร้าวอีกด้วย

เป็นเพื่อนกันไม่ได้ แน่นอนว่าเป็นได้แค่ศัตรู!

นี่คือเรื่องที่ใครๆ ต่างรู้ดี อูหลิงเฟยทำเช่นนี้ก็เท่ากับส่งสารเตือนหลินสวินแล้ว ไม่เป็นเพื่อนก็เป็นศัตรู ไม่มีทางเลือกอื่น

บรรยากาศ ณ ที่นั้นพลันอึดอัดขึ้นมาด้วยคำพูดนี้

ขุมอำนาจมากมายต่างกำลังสังเกตการณ์อย่างเงียบๆ ตัวอย่างเช่นผู้ฝึกปราณของเขาวิญญาณหมื่นอสูรเป็นต้น

แต่สำหรับเรื่องนี้หลินสวินไม่แม้แต่จะคิดก็เอ่ยตอบ “ขอโทษด้วย ข้าไม่คิดผูกมิตรกับใครง่ายๆ”

หากอูหลิงเฟยพูดจาดีๆ หลินสวินคงให้เกียรติอีกฝ่ายอยู่สามส่วน แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับพูดจาทิ่มแทงเจือนัยข่มขู่ นี่ทำให้หลินสวินไม่พอใจ

ผู้ฝึกปราณในที่นั้นต่างตื่นตะลึงไม่หยุด คำพูดนี้ของหลินสวินหมายความว่าอะไร เหน็บแนมกลับว่าอูหลิงเฟยคบสหายง่ายไปหรือ

คนไม่น้อยต่างสังเกตเห็นว่าสีหน้าอูหลิงเฟยเย็นชายิ่งกว่าเดิม แม้มองร่องรอยความโกรธไม่ออก แต่ภายในใจคงตัดสินโทษตายหลินสวินแล้ว!

“เป็นตัวอะไรยังคิดมาไกล่เกลี่ย เขามีคุณสมบัติพอรึ” เจ้าคางคกพึมพำกล่าว

หลินสวินจมสู่ห้วงคิด อูหลิงเฟยนี่เห็นชัดว่ากำลังดึงคนเป็นพวก วางแผนเคลื่อนไหวพร้อมกันหลังเข้าสู่แดนมกุฎ

ดูจากสถานการณ์แล้ว หลิงหวาที่มาจากสำนักยุทธ์นครนิลคนนั้นคงรับปากร่วมมือกับอูหลิงเฟยแล้ว

ถ้าอย่างนั้นอูหลิงเฟยรับปากอะไรกันแน่ ถึงทำให้สัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างนางเลือกร่วมมือด้วย?

ขณะเดียวกันสีหน้าหลิงหวาเฉยชาสื่อจิตกล่าว ‘สหายยุทธ์อู เจ้าตัดสินใจแล้วหรือยัง’

อูหลิงเฟยสีหน้าราบเรียบ ไม่เห็นสัญญาณโกรธเคืองเพียงเสี้ยว กล่าวยิ้มเล็กน้อย ‘เช่นนั้นก็ขอให้พวกเราร่วมมือกันด้วยดี!’

นัยน์ตาหลิงหวาเป็นประกาย

นางรู้ว่าสาเหตุที่อูหลิงเฟยร่วมมือกับนางเพราะมีเจตนาส่วนตัว แต่ช่างปะไร สาเหตุที่นางรับปากร่วมมือด้วยไม่ใช่เพราะคิดหลอกใช้พลังของอีกฝ่ายเหมือนกันรึ

ต่างฝ่ายต่างเอื้อประโยชน์กันก็เท่านั้น หลิงหวารู้อยู่แก่ใจ

ตึง!

ทันใดนั้นทั่วฟ้าดินพลันสั่นสะเทือนหนักหน่วง ก้องเสียงกระเทือนลุ่มลึกหาใดเปรียบ สรรพสิ่งทั้งปวง ความว่างเปล่าทั้งมวลประหนึ่งกำลังสั่นคลอน

ผู้ฝึกปราณทุกคนในที่นั้นล้วนร่างสั่นสะท้านเซซวน ในใจตระหนก

ราวกับเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่ไม่เคยมีมาก่อน!

พร้อมกันนี้ทั่วสี่แดนวิภูแห่งดินแดนรกร้างโบราณ ต่างก็เกิดแรงสั่นสะเทือนแบบเดียวกัน…

…………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท