Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1131 แท่นมรรคบูชาอริยะ

ตอนที่ 1131 แท่นมรรคบูชาอริยะ

มหายุคมาเยือน ใต้หล้าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

ส่วนสถานที่นำทางสามพันแห่งที่กระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของดินแดนรกร้างโบราณ ก็กำลังจะกลายเป็นสถานที่รวมผู้มีอิทธิพลในใต้หล้า!

ผู้กล้าและอัจฉริยะจากสำนักเก่าแก่ยิ่งใหญ่ต่างๆ ลูกหลานสายตรงและเหล่าผู้โดดเด่นรุ่นเยาว์ของเผ่าใหญ่โบราณกับตระกูลอริยะแต่ละกลุ่ม ล้วนหลั่งไหลไปยังสถานที่นำทางต่างๆ ราวกระแสธาร

ผู้ฝึกปราณในใต้หล้าต่างให้ความสนใจ!

วันนี้ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ยุคอันตระการตาถึงที่สุดมาเยือน จะกลายเป็นรอยประทับที่ไม่อาจลบเลือน เป็นสิ่งที่ตราตรึงในภายภาคหน้า

“วาดหวังถึงมหามรรคได้”

ที่สำนักกระบี่เทียมฟ้า อวิ๋นชิ่งไป๋สีหน้าเรียบเฉยดังเดิม

เพียงแต่หว่างคิ้วราวดาบของเขาแผ่พุ่งไอดุดันที่ไม่เคยมีมาก่อน คล้ายสามารถแทงทะลุนภากว้าง

สิบปีที่ลับกระบี่ ย่อมลองคมกระบี่ในมหายุค!

เขาได้รับกล่องกระบี่โบราณที่อยู่ในมือของข้ากระบี่ แบกกล่องกระบี่ไว้บนหลังอย่างจริงจังหาใดเทียบเหมือนสมัยฝึกกระบี่ในอดีต

ทุกคนในโลกต่างรู้ว่า เขาอวิ๋นชิ่งไป๋ไม่เคยสะพายกระบี่ แบกกระบี่เดินทางคือวิถีกระบี่ของเขา

วันนั้น อวิ๋นชิ่งไป๋ลงจากเขาเพียงลำพัง

“ควรออกเดินทางแล้ว!”

วันนี้บุคคลผู้มีอิทธิพลจากสำนักโบราณใหญ่ต่างๆ อย่างหวังเสวียนอวี๋ หมีเหิงเจิน เย่หมัวเฮอ ล้วนเดินทางไปยังสถานที่นำทางต่างๆ พร้อมผู้อาวุโสในสำนักที่ติดตามมา

ส่วนเหล่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณอย่างชื่อหลิงเซียวผู้ฝึกเคล็ดวิชาหกนรกดับโลกา หลิ่นเสวี่ยธิดาเทพแห่งยุคที่ทำให้ผู้กล้านับไม่ถ้วนต้องสยบเมื่อสามพันปีก่อน ไป๋หลงถิงจากเผ่าเจียวขาว…

ก็เริ่มออกเคลื่อนไหว!

หมื่นผู้กล้าธรรมบาล อัจฉริยะทุกยุคสมัยเริ่มรวมตัวกันในมหายุค ปรากฏตัวในสถานที่นำทางต่างๆ ทำให้ทั้งใต้หล้ากริ่งเกรง

ที่เคลื่อนไหวในเวลาเดียวกันยังมีขุมอำนาจที่อยู่ในแดนเร้นอริยะด้วย!

มหาวิหารธรรม หอฤทธิ์เทพ อารามกษิติครรภ์ ลัทธิไร้สวรรค์…

ขุมพลังเก่าแก่ที่ตัดขาดจากโลกมาตลอดเหล่านี้ หลังจากมหายุคมาเยือนก็เริ่ม ‘ปรากฏตัวในโลก’

“จำไว้ว่าต้องฆ่าเจ้าลูกหมาหลินสวินนั่น!”

ที่แดนศักดิ์สิทธิ์แกนสวรรค์มีคนใหญ่คนโตออกคำสั่ง

“ยังจำความอัปยศที่เจ้าเดรัจฉานหลินสวินนั่นนำมาสู่สำนักพวกเราได้ไหม เชื่อว่าพวกเจ้าน่าจะรู้ดีว่าหลังจากเข้าไปในแดนมกุฎควรทำเช่นไร”

“ไม่ว่าอย่างไร อย่าให้เจ้าเดรัจฉานตัวนี้เป็นราชันได้โดยเด็ดขาด!”

“ในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในมหายุค ข้อแรกต้องชิงศุภโชคที่ทำให้เป็นราชัน ข้อสองคือฆ่าเจ้าเด็กหลินสวินนี่”

การสนทนาทำนองนี้เกิดขึ้นในหมู่มหาอำนาจอย่างแดนพิสุทธิ์อมตะ แดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ สำนักกระบี่เทียมฟ้า สำนักยุทธ์สมุทรคราม เผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ

ตอนนั้นหญิงลึกลับเปลี่ยนอริยะเป็นเดรัจฉาน ไล่ต้อนพวกเขาราวคนเลี้ยงแกะ เหยียบย่ำขุมอำนาจเหล่านี้ด้วยตัวคนเดียว ความอัปยศอดสูครั้งใหญ่เช่นนี้ แม้สามารถทนได้ แต่ใครก็ไม่ลืม!

และตอนนี้แดนมกุฎกำลังจะมาเยือน ผู้ที่อยู่ระดับราชันขึ้นไปล้วนเข้าไปไม่ได้ นี่จึงกลายเป็นโอกาสงามที่สุดที่พวกเขาจะแก้แค้นล้างอายอย่างไม่ต้องสงสัย

อีกทั้งผู้สืบทอดที่จะเข้าไปในแดนมกุฎของขุมอำนาจเหล่านี้ คราวนี้ไม่เพียงมีจำนวนมาก ยังมีสัตว์ประหลาดยุคโบราณควบคุมด้วย!

นี่ จึงจะเป็นรากฐานพลังและไพ่ตายที่แท้จริงของพวกเขา!

……

ฟ้าดินกำลังแปรเปลี่ยน

ท้องนภาเหนือสนามรบโบราณ หมอกครึ้มถูกกวาดไปสิ้นอยู่ก่อนแล้ว ท้องฟ้ากระจ่างราวกระจกใสปลอดโปร่ง พลังชีวิตไพศาลแผ่พุ่งกลางซากปรักหักพัง ดูเป็นมงคลและบริสุทธิ์

เมื่อเวลาผ่านไป หน้าเมืองนำทางเงาร่างของผู้ฝึกปราญเหมือนกระแสธารไหลกลบพื้นที่รัศมีร้อยลี้

เพิ่งผ่านไปไม่กี่วัน คนที่นี่ก็มีมากขึ้นจากเดิมหลายเท่า!

โดยมากเป็นผู้สืบทอดสำนักและขุมอำนาจเผ่าต่างๆ และไม่ขาดผู้กล้าขอบเขตมกุฎและสัตว์ประหลาดยุคโบราณ

ในสถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าจะเป็นเผ่าอีกาทองหรือเขาวิญญาณหมื่นอสูรก็ต่างดูระงับอารมณ์ ไม่ต่องการสร้างความขัดแย้งในตอนนี้

ยังดีที่ผู้ฝึกปราณที่มาถึงบริเวณนี้ล้วนรู้ฐานะของหลินสวินอย่างต่อเนื่อง แม้พวกเขามีคนน้อย แต่ก็ไม่มีใครไปหาเรื่อง

“คนมากขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”

เจ้าคางคกถอนใจเบาๆ นี่เป็นวันที่สี่ที่มหายุคมาเยือน หลายวันนี้ไม่เพียงเกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในฟ้าดิน แม้แต่จำนวนของผู้ฝึกปราณที่มาเมืองนำทางก็ทะยานสูงขึ้นหลายเท่า

สามารถคาดการณ์ได้ว่า หลังจากเข้าสู่แดนมกุฎการแข่งขันจะใหญ่โตปานไหน

อาหลู่กำลังหลับปุ๋ย ส่วนหลินสวินนั่งขัดสมาธิ คล้ายไม่รับรู้เรื่องราวในโลกภายนอก

เจ้าคางคกหมดคำพูดไปครู่หนึ่ง เจ้าสองคนนี้… ซื่อจริงๆ สิน่า!

“ข่าวล่าสุด! ข่าวล่าสุด!”

ไกลออกไปผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยคนหนึ่งตีปีกบินมา ดึงดูดความสนใจของผู้ฝึกปราณไม่น้อย

หลายวันมานี้หากผู้ฝึกปราณที่มาถึงเมืองนำทางก่อนต้องการล่วงรู้ข่าวสารโลกภายนอก ก็มีแต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยเท่านั้นที่นำข่าวมาให้ได้

“อริยะหอฤทธิ์เทพสันนิษฐานว่าภายในเจ็ดวัน แท่นมรรคบูชาอริยะจะปรากฏบนโลก!”

ครืน!

ทั้งที่นั้นเดือดพล่าน

ผู้ฝึกปราณหลายคนล้วนนั่งไม่ติดที่แล้ว ดวงตาส่องประกาย

เวลาแห่งการรอคอยผ่านไปยากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย โดยเฉพาะเมื่อทุกโมงยามยังมีผู้ฝึกปราณมากมายเร่งมาถึง ทำให้ทุกคนยิ่งกดดันขึ้นทบทวี

“จากสถิติของคนเบื้องบนเผ่าข้า จำนวนผู้ฝึกปราณที่รวมตัวอยู่หน้าสถานที่นำทางสามพันแห่งทะลุห้าสิบล้านคนไปแล้ว!”

และเมื่อข่าวนี้กระจายออกไป คนจำนวนไม่น้อยทั้งที่นั้นก็หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกจิตใจหดรัด

“ทำไมถึงมีคนมากขนาดนี้”

หลายคนตกใจ

ไม่นานนักก็มีคนให้คำตอบ

ดินแดนรกร้างโบราณเดิมก็กว้างใหญ่ไพศาลหาใดเทียบ เขตแคว้นและเมืองมากมายนับไม่ถ้วนกระจายตัวอยู่ ผู้ฝึกปราณมีจำนวนถึงหลักร้อยล้าน!

และอย่างที่ทุกคนรู้กัน เงื่อนไขการเข้าแดนมกุฎก็ง่ายดายนัก ทุกคนที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันล้วนเข้าไปได้ทั้งนั้น

นี่ก็หมายความว่าผู้ฝึกปราณที่ตรงเงื่อนไขทุกคน ไม่ว่าจะเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎในหมู่คนรุ่นเยาว์หรือไม่ ล้วนมีคุณสมบัติเข้าสู่แดนมกุฎ!

บุคคลขอบเขตมกุฎมาเพื่อช่วงชิงศุภโชคเย้ยฟ้า บรรลุขอบเขตมกุฎระดับราชัน

ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นไม่มีความเพ้อฝันใหญ่โตเช่นนี้ ที่พวกเขาเข้าไปในแดนมกุฎก็เพียงเพื่อเสาะหาวาสนาและศุภโชคบางประการเท่านั้น

แล้วอย่างสำนักเก่าแก่บางแห่ง เหตุใดถึงส่งผู้สืบทอดออกมามากมายขนาดนั้น

ง่ายดายนัก ก็เพื่อฉกฉวยศุภโชคในแดนมกุฎให้ได้มากที่สุด ต่อให้ไม่สามารถเป็นระดับมกุฎราชันได้ อย่างน้อยก็มีความหวังอย่างยิ่งที่จะเลื่อนขั้นเป็นราชัน!

หรืออย่างเลวร้ายที่สุด ก็สามารถเสาะหาโอสถวิญญาณและของล้ำค่าที่บังเอิญพบเจอได้แต่ไม่อาจร้องขอบางอย่าง

ส่วนพวกคนที่พลังอ่อนแอย่อมมีแผนเช่นนี้ หมายจะเข้าไปเสี่ยงดวงในแดนมกุฎ ต่อให้รู้ดีว่าอันตรายถึงที่สุด แต่เพื่อให้ผงาดขึ้นและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จะไม่รับความเสี่ยงได้อย่างไร

เช่นนี้แล้วแค่คิดก็รู้ว่ายามแดนมกุฎมาเยือนคราวนี้ ใต้หล้านี้จะมีผู้ฝึกปราณที่ตรงเงื่อนไขแห่กันเข้าไปภายในนั้นเท่าไร

“ทุกท่านไม่รู้อะไร เมืองนำทางของสนามรบโบราณแห่งนี้ยังถือว่าดีแล้ว สถานที่นำทางที่กระจัดกระจายอยู่ในอาณาเขตที่พลุกพล่านบางแห่งมีผู้ฝึกปราณหลักล้านคนรวมตัวอยู่ สภาพการณ์เช่นนั้นน่าตกใจมาก!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าวาทวาโยก็เริ่มทอดถอนใจไม่ว่างเว้น

“การแข่งขันยิ่งโหดร้ายขึ้นแล้ว!”

มีคนวิตกกังวล

“หึ! อย่างมากก็เป็นแค่ตัวรับกระสุน ทำได้เพียงใช้เลือดสดๆ และซากกระดูกปูทางสู่ราชันให้คนอื่น!”

มีคนหยิ่งผยอง ดูถูกคนเหล่านี้

“พวกคนอ่อนแออยากผงาดขึ้นมาก็ทำได้เพียงเอาชีวิตเข้าสู้ แม้พูดว่าความหวังริบหรี่ แต่หากคว้าวาสนาในแดนมกุฎไว้ได้สักครั้ง ไม่แน่ว่าอาจสามารถพุ่งทะยานสู่เมฆครามที่นี่ก็ได้!”

“แต่เสียดายความหวังริบหรี่เกินไปแล้ว มีเพียงหนึ่งในหมื่น ศุภโชคที่แท้จริงไม่ใช่พึ่งดวงจึงจะได้มา”

ในที่นั้นมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุด

“ถือโอกาสก่อนแท่นมรรคบูชาอริยะมาเยือน ข้ามีบางเรื่องต้องบอกพวกเจ้า”

เจ้าคางคกทอดสายตามองหลินสวินและอาหลู่ สื่อจิตว่า ‘เส้นทางที่พวกเราเลือกนี้ จะไปถึง ‘แดนเผาเซียน’ ในสามพันแดน’

‘ขอเพียงเข้าไปได้ ผู้ฝึกปราณทุกคนจะถูกแยกออกจากกัน แล้วส่งเข้าไปในบริเวณต่างๆ ของแดนเผาเซียน’

‘เพรากฎระเบียบฟ้าดินภายในนั้นไม่เหมือนกัน วิธีการสื่อสารที่ใช้ในโลกภายนอกบางวิธีจะใช้ไม่ได้เลย หากพวกเราสามพี่น้องอยากรวมตัวกัน ก็ต้องไปถึงเมืองโบราณเผาเซียน’

‘เมืองโบราณเผาเซียนหรือ’ หลินสวินเลิกคิ้ว

‘ใช่ ที่นั่นคือใจกลางแดนเผาเซียน มีอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เมืองพรมแดน’ ในทุกแดนล้วนมีเมืองโบราณทำนองนี้อยู่เมืองหนึ่ง’

พูดถึงตรงนี้เจ้าคางคกก็เอ่ยเตือนว่า ‘ถึงเวลานั้นพวกเจ้าต้องระวังตัว แม้ในแดนมกุฎมีศุภโชคนับไม่ถ้วนซุกซ่อนอยู่ แต่ก็มีอันตรายมากมายเช่นเดียวกัน!’

หลินสวินกับอาหลู่พยักหน้า

‘แน่นอนว่าที่สำคัญที่สุดก็คือต้องไปถึงเมืองโบราณเผาเซียนก่อน ถึงเวลาข้าจะพาพวกเจ้าไปแดนศุภโชคอันยอดเยี่ยมแห่งหนึ่ง…’

เมื่อพูดจบเจ้าคางคกก็น้ำลายไหล เหมือนนึกถึงประสบการณ์ในอดีต

ในขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณคนอื่นก็ลอบพูดคุยแลกเปลี่ยนกันอยู่

สำนักโบราณบางแห่งครอบครองความลับที่คนภายนอกไม่อาจล่วงรู้ ความรู้เรื่องแดนมกุฎไม่ด้อยไปกว่าเจ้าคางคก เวลานี้ก็กล่าวเตือนผู้สืบทอดในสำนักของพวกเขาเช่นกัน

……

เวลาผ่านไป ผู้ฝึกปราณที่อยู่หน้าสถานที่นำทางสามพันแห่งยิ่งมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ บรรยากาศกดดันยิ่งขึ้น

ตูม!

วันนี้เหนือเวิ้งฟ้าสนามรบโบราณ ลำแสงศักดิ์สิทธิ์เปล่งประกายสายหนึ่งทอดลงมาจากฟ้า ตระการตาและผ่องแผ้วหาใดเทียบ งดงามจนทุกคนใจสั่นระรัว

ทุกคนพากันทอดสายตามองไป สั่นสะท้านไปทั้งร่างเพราะตื่นเต้น แท่นมรรคบูชาอริยะที่รอคอยมานาน…

ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!

ลำแสงศักดิ์สิทธิ์นั้นก็คือการวิวัฒน์ของมรรค ในยุคบรรพกาลก็เคยปรากฏขึ้นหลายครั้ง วันนี้ปรากฏขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว งดงามและบริสุทธิ์

อย่าว่าแต่ผู้แข็งแกร่งระดับกระบวนแปรจุติ แม้แต่สัตว์ประหลาดระดับราชันที่อยู่ที่นั่นบางคน รวมถึงอริยะที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืด เวลานี้ล้วนหรี่ตาจ้องมองด้วยใจจดจ่อ

นั่นเป็นระเบียบมหามรรคอันสูงสุด เดิมทีไร้รูปร่าง แต่ตอนนี้กลับปรากฏขึ้นมาเหมือนสามารถหยั่งรู้ กระทั่งอาจจะส่งเสริมมรรคาได้!

ละอองแสงปลิวว่อนกระจ่างใสแวววาวอบอวลไปทั้งฟ้าดิน เวลานี้ทุกคนต่างรู้สึกถึงกลิ่นอายของ ‘มรรค’ สีหน้าเคร่งขรึมจริงจัง สัมผัสอยู่เงียบๆ

ที่น่าเสียดายก็คือพลังเช่นนี้สูงส่งเกินไป แม้ถูกสัมผัสได้ แต่ยามต้องการหยั่งรู้กลับคลุมเครือดุจบุปผาในคันฉ่อง จันทราในวารี

โครม!

ลำแสงเปล่งประกายพุ่งเข้าไปในเมืองนำทาง ฉับพลันทันใดแสงมรรคไร้ที่สิ้นสุดก็ผุดขึ้นมา ย้อมไอศักดิ์สิทธิ์ไปทั้งฟ้าดิน

แสงมรรคนั้นเคลื่อนไหวไหลเวียนเหมือนธารดารา รุ้งเทพเทลงมาราวน้ำพุ งดงามและปราดเปรียว ประหนึ่งแหล่งกำเนิดแห่งมรรคกำลังอบอวล

ท้ายที่สุดแสงมรรคไร้ที่สิ้นสุดก็รวมตัวเป็นแท่นมรรคเก่าแก่แท่นหนึ่ง

ในขณะเดียวกันประตูใหญ่ของเมืองนำทางที่ถูกผนึกมาไม่รู้เนิ่นนานเพียงใด ก็เปิดออกอย่างเงียบเชียบในเวลานี้

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท