Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1136 ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

ตอนที่ 1136 ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

เมืองโบราณสูงตระหง่าน ครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางอย่างที่สุด กำแพงเมืองปรากฏสีแดงเพลิง งดงามโอ่โถ่งไร้ใดเปรียบ

จากคำพูดของเจ้าคางคก ในยุคบรรพกาลยามที่แดนมกุฎปรากฏ เมืองโบราณในแต่ละแดนก็มีมาอยู่ก่อนแล้ว ไม่อาจนับอายุได้

เมืองโบราณแต่ละแห่งล้วนเหมือนฐานที่มั่น ยามแดนมกุฎปรากฏขึ้นในเมืองก็จะครึกครื้นขึ้นมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน เป็นแหล่งรวมตัวของผู้ฝึกปราณทั้งแดนมาแลกสนทนากันที่นี่

บอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนสนทนา อันที่จริงเป็นการแลกเปลี่ยนศุภโชคและวาสนาที่แต่ละฝ่ายได้รับมามากกว่า

ถึงอย่างไรศุภโชคที่ผู้ฝึกปราณแต่ละคนต้องการก็ไม่เหมือนกัน และใช่ว่าทุกคนจะได้รับศุภโชคที่ตนปรารถนา

แต่กลับสามารถทำการแลกเปลี่ยนที่เมืองนี้ได้!

สวบ!

หลินสวินแปลงร่าง กลายเป็นชายทั่วไปที่หน้าตาไม่โดดเด่นคนหนึ่ง จากนั้นก็มุ่งเข้าใกล้เมืองโบราณเผาเซียนที่อยู่ไกลออกไป

ยังไม่ทันถึงจุดหมายก็เห็นว่า ในความรางเลือนของเมืองโบราณนั้นมีกลิ่นอายกร้าวแกร่งนับไม่ถ้วนรายล้อมอยู่ สั่นสะเทือนเมฆลมเวิ้งนภา

เห็นได้ชัดว่ามีผู้ฝึกปราณมากมายรวมตัวกันอยู่ในเมืองตั้งแต่ต้น กลิ่นอายแข็งแกร่งที่แผ่ออกจากร่างพวกเขาก่อให้เกิดลักษณ์ประหลาดเช่นนี้

ฟุ่บๆๆ!

เวลานี้ในห้วงอากาศรอบทิศมีเงาร่างผู้ฝึกปราณเบียดเสียดอัดแน่น กำลังเหาะเหินโถมกรูเข้ามาในเมืองอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับหลินสวิน

“ได้ยินกันหรือไม่ เมื่อวานนี้มีคนเปิดร้านขาย ‘ผลแรกมรรคไม้เขียว’ ดึงดูดความสนใจจากรอบด้านทีเดียว!”

ระหว่างทางมีคนวิพากษ์วิจารณ์

“สวรรค์! บนโลกนี้มีของวิเศษเช่นนี้อยู่จริงๆ หรือ ไม่ใช่แค่ตำนานเล่าขาน?”

คนมากมายรู้สึกทึ่ง

หลินสวินเองก็ตกใจเช่นกัน ผลแรกมรรค แฝงไว้ด้วยพลังต้นกำเนิดมหามรรค กินเพียงหนึ่งผล ไม่ต้องหยั่งรู้ก็สามารถควบคุมพลังมหามรรคตรงๆ ได้เลย!

อย่างสิ่งที่แฝงอยู่ในผลแรกมรรคไม้เขียวนี้ก็คือนัยเร้นลับมหามรรคธาตุไม้ ขอเพียงได้กลืนกิน ผู้ฝึกปราณก็จะสามารถควบคุมพลังมหามรรคแห่งไม้ได้ในคราเดียว

“นี่เป็นถึงศุภโชคใหญ่เชียว สุดท้ายถูกใครซื้อไปกัน”

มีคนถาม

“ฮ่าๆ การค้าขายระดับนี้จะให้คนอื่นรู้ได้อย่างไร แต่ข้าบอกพวกเจ้าอย่างมั่นใจเลยว่า ศุภโชคพลิกฟ้าระดับนี้ หากไม่มีอานุภาพแข็งแกร่งมากพอ ขอแค่กล้าเอาออกมาขายจะต้องถูกจับตามอง เป็นไปได้อย่างมากว่าแม้แต่ชีวิตก็ยังเสี่ยงไปด้วย!”

คนมากมายรู้สึกเย็นวาบในใจ

ที่นี่คือแดนมกุฎ ไม่ใช่โลกภายนอก ทุกอย่างล้วนต้องว่ากันตามพลังต่อสู้ หากไม่มีพลังต่อสู้ที่แกร่งมากพอ ต่อให้ได้รับศุภโชคพลิกฟ้าก็เป็นทุกข์หาใช่สุข!

ระหว่างทางหลินสวินก็เข้าใจแล้วว่า สัตว์ประหลาดยุคโบราณและบุคคลขอบเขตมกุฎแทบไม่ต้องเปลืองแรงไปเสาะหาวาสนาและศุภโชคอะไรนั่นสักนิด

บริวารข้างกายพวกเขาจะช่วยพวกเขาแสวงหาสมบัติทุกชนิดเอง

เมื่อเป็นเช่นนี้สัตว์ประหลาดยุคโบราณและบุคคลขอบเขตมกุฎเหล่านี้แค่ต้องจดจ่อกับการเคี่ยวกรำพลังก็พอ และมีแต่มหาศุภโชคพลิกฟ้าปรากฏเท่านั้นจึงจะดึงดูดให้พวกเขาเคลื่อนไหวได้

“จำไว้ว่าในเมืองห้ามเข่นฆ่า หากมีคู่แค้นก็ได้แต่หาที่อื่นสะสางเท่านั้น นี่คือกฎ หาไม่จะดึงดูดการกดข่มจากขุมอำนาจทุกฝ่าย”

ก่อนจะเข้าเมืองหลินสวินได้รู้กฎเกณฑ์ส่วนหนึ่งมาด้วย

“เฮอะ! นี่ก็เป็นแค่กฎที่ผูกมัดพวกอ่อนแอเท่านั้นแหละ สำหรับบุคคลแนวหน้าอย่างแท้จริงแทบไม่มีข้อผูกมัดใดๆ ด้วยซ้ำ” บางคนแค่นหัวเราะ

“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว ต่อให้เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎก็ย่อมไม่กล้ากระตุ้นโทสะผู้คน ควรรู้ว่าในเมืองมีผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่มากมายปักหลักอยู่ แต่ละขุมอำนาจล้วนมีบุคคลเยี่ยมยอดควบคุม เว้นแต่คร้านจะมีชีวิตอยู่แล้ว ใครก็ไม่อยากกลายเป็น ‘ศัตรูสาธารณะ’ หรอก!

หลินสวินเงี่ยหูฟังไปพลางเดินเข้าเมืองไปพลาง

ในเมืองมีรูปแบบเป็นของตัวเอง กว้างขวางอย่างที่สุด แผ่ซ่านด้วยแสงแวววาวสีชาดอ่อนๆ เก่าแก่และสันติ อาคารแต่ละแห่งล้วนแผ่ท่วงทำนองโบราณลายพร้อยออกมา

ในเมืองคึกคักยิ่ง เงาร่างผู้ฝึกปราณหลั่งไหลมาไม่หยุด ตึกอาคารส่วนหนึ่งล้วนถูกขุมอำนาจใหญ่ที่เร่งเดินทางมายึดครองไปตั้งแต่ต้นแล้ว

พวกที่พลังอ่อนแอเล็กจ้อยส่วนหนึ่งได้แต่สิงอยู่ตามท้องถนน

“เหล็กยอดโหมเพลิงหนึ่งชิ้นแลกได้แค่หญ้าแสงมรกตมันเซียนเท่านั้น”

“ในมือข้ามีแผนภาพไม่สมบูรณ์ของแดนสมบัติหนึ่งม้วน ต้องการบุคคลขอบเขตมกุฎเจ็ดคนร่วมมือกันเสาะสำรวจ ใครสนใจเชิญรีบมาลงชื่อ!”

“รับซื้อโอสถราชันทุกระดับในราคาสูง”

ระหว่างทางทุกแห่งหนล้วนมีแต่แผงลอย เสียงร้องแรกแหกกระเชอเซ็งแซ่ไม่รู้จบ

สิ่งที่ทำให้หลินสวินจนคำพูดคือตึกอาคารโบราณส่วนหนึ่งถูกดัดแปลงเป็นร้านค้าสารพัน ถึงขั้นที่มีโรงรับจำนำและโรงประมูลด้วย!

ทันใดนั้นหลินสวินก็ยิ้มเยาะตัวเอง ตนตื่นตูมไปแล้ว ผู้ที่อยู่ต่ำกว่าระดับราชันล้วนมีคุณสมบัติเข้าสู่แดนมกุฎ เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้คนมากหน้าหลายตาล้วนพรั่งพรูเข้ามาทั้งสิ้น

บางคนเสี่ยงอันตรายไปเสาะสำรวจวาสนาและศุภโชค และบางคนรอรับซื้อแลกเปลี่ยนอยู่ในเมือง ต่างฝ่ายต่างไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการก็เท่านั้น

“บังอาจเสียมารยาท สหายยุทธ์รู้หรือไม่ว่าฐานที่มั่นของเผ่าอีกาทองอยู่ที่ไหน” หลินสวินเอ่ยถามผู้ฝึกปราณคนหนึ่งระหว่างทาง

นี่คือชายหนุ่มชุดเงินคนหนึ่ง เขาอึ้งงันเล็กน้อยจากนั้นจึงกล่าวว่า “สหายยุทธ์ก็คิดจะไปพึ่งใบบุญเผ่าอีกาทองเหมือนกันหรือ”

ขณะพูด ไม่รอหลินสวินตอบคำถามเขาก็กล่าวอย่างขมันขมี “ไม่ปิดบังสหายยุทธ์ ข้าเองก็กำลังวางแผนจะมุ่งหน้าไปที่เผ่าอีกาทองอยู่พอดี ไม่สู้ร่วมเดินทางไปด้วยกันดีหรือไม่”

หลินสวินพยักหน้ากล่าวว่า “ก็ดี”

ระหว่างทางหลินสวินได้รู้ว่าในช่วงห้าหกวันนับตั้งแต่เข้าสู่แดนมกุฎนี้ ผู้ฝึกปราณอิสระที่ไร้ซึ่งอำนาจจำนวนไม่น้อย ได้แต่ติดสอยห้อยตามข้างกายผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่เพื่อให้ได้รับโชควาสนา

ชายหนุ่มชุดสีเงินคนนี้ก็ตั้งใจจะทำเช่นนี้เหมือนกัน

เขามีนามว่าหวังตง เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจเล็กคนหนึ่ง อันที่จริงในสายตาสำนักโบราณ ผู้สืบทอดขุมอำนาจเล็กอย่างเขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับผู้ฝึกปราณอิสระ

“ข้ามาถึงตั้งแต่เมื่อวานแล้ว และได้มุ่งหน้าไปยังถิ่นพำนักของเผ่าอีกาทองแล้ว น่าเสียดาย ผู้ฝึกปราณที่มุ่งหน้าไปพึ่งใบบุญเผ่าอีกาทองมีเยอะเหลือเกิน ข้าต่อแถวหนึ่งวันเต็มๆ ก็ยังไม่ถึงเสียที เฮ้อ!”

หวังตงถอนหายใจ

ผู้ฝึกปราณที่มีพื้นเพจากสำนักเล็กสำนักน้อยเช่นเขา คิดจะผงาดง้ำขึ้นมานั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ ต่อให้เข้าสู่แดนมกุฎ แต่หากอยากได้รับโชควาสนาก็ได้แต่ติดตามขุมอำนาจใหญ่เท่านั้น

“สหายยุทธ์ ตรงนั้นไง”

หวังตงชี้ไปที่ไกลๆ ตรงนั้นมีตำหนักโบราณแห่งหนึ่ง ใหญ่โตโอ่อ่า กลิ่นอายไพศาล มโหฬารเป็นพิเศษ

ยามนี้มีผู้ฝึกปราณจำนวนมากรออยู่ที่นั่น

และสองฝั่งประตูใหญ่ของตำหนักมีผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองสองคนเฝ้าอยู่

“เฮ้อ ต้องต่อแถวอีกแล้ว”

หวังตงทอดถอนใจ จากนั้นกล่าวว่า “จริงสิ การจะเข้าร่วมค่ายเผ่าอีกาทองยังต้องทำการมอบบรรณาการด้วย”

“มอบบรรณาการ?” หลินสวินอึ้งงัน

“เป็นค่าใช้จ่ายจำนวนหนึ่งน่ะ จะเป็นสมบัติก็ได้ หรือจะเป็นโอสถวิญญาณ วัตถุดิบวิญญาณก็ได้เหมือนกัน” หวังตงกล่าวอธิบายอย่างใจเย็น

หลินสวินอดขมวดคิ้วไม่ได้ ติดตามคนอื่น เดิมทีก็ตกต่ำเป็นเพียงลูกเป้ารับดาบกระบี่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และตอนนี้หากอยากจะเป็นเป้าคนหนึ่ง ยังต้องทำการมอบบรรณาการอีกต่างหาก ความโลภของเผ่าอีกาทองนี้ออกจะน่าเกลียดเกินไปหน่อยแล้ว

“แค่หินหิมะเงินยวงชิ้นเดียวก็อยากเข้าร่วมค่ายเผ่าอีกาทองของข้าเรอะ รีบไสหัวไป!”

หน้าตำหนักผู้แข็งแกร่งอีกาทองคนหนึ่งตะโกนลั่นสุดคอ เขาจมูกงองุ้ม ริมฝีปากบาง แลดูเยียบเย็นอำมหิตอย่างเห็นได้ชัด เงื้อมือขึ้นหนึ่งคราแล้วฟาดผู้ฝึกปราณที่อยู่หน้าสุดลอยคว้างออกไป

วางตัวเช่นนี้หยิ่งผยองยิ่งนัก!

ปฏิเสธก็ปฏิเสธสิ ยังจะตบบ้องหูคนอีก นี่เป็นการทำให้ผู้คนขายหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

แต่กลุ่มคนในลานเหมือนจะเห็นจนชินตามานานแล้ว ทำหน้ามึนๆ ไม่ได้มีปฏิกิริยาตอบสนองอะไรด้วยซ้ำ

“คนต่อไป”

ผู้แข็งแกร่งอีกาทองอีกคนเอ่ยปากสีหน้าไร้อารมณ์

ทันใดนั้นเบื้องหน้ากลุ่มคนที่กำลังต่อแถวก็มีผู้ฝึกปราณเดินขึ้นหน้า หยิบเอากล่องหยกใบหนึ่งออกมาอย่างเคารพนบนอบ ตั้งตาคอยเต็มอก

“สหาย นี่เจ้าทำอะไร”

หวังตงตกใจยกใหญ่ เห็นหลินสวินยกเท้าเดินมุ่งไปทางตำหนักที่อยู่ไกลๆ ไม่ได้คิดจะต่อแถวเลยสักนิด

“ฟังคำเตือนของข้าสักหน่อย ฝึกปราณนั้นเริ่มฝึกใจก่อน หากเอามรรคาของตัวเองไปผูกติดบนตัวผู้อื่น ความสำเร็จย่อมมีจำกัด”

หลินสวินกล่าวเตือน

ใครจะคาดคิด หวังตงอึ้งงันกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “เหตุผลก็เป็นเหตุผลข้อนี้แหละ แต่ใครจะทำได้บ้าง นับประสาอะไรกับเจ้าเองก็มาพึ่งใบบุญเหมือนกันไม่ใช่หรือ”

มีคุณสมบัติมาสั่งสอนข้าหรือไงกัน

ประโยคนี้หวังตงไม่ได้เอ่ยออกมา เขามีทัศคติที่ไม่เลวต่อหลินสวิน ไม่อยากว่าร้ายใส่หน้า

หลินสวินได้ยินเช่นนี้อดถอนหายใจในใจไม่ได้ ส่ายหน้าไม่คิดมากอีก แต่ละคนมีทางเลือกของตัวเอง ไม่อาจบังคับได้

“ทำอะไรน่ะ! หากต้องการเข้าร่วมค่ายเผ่าอีกาทองอันทรงเกียรติ ก็ต้องต่อแถวอยู่ข้างหลังแต่โดยดี!”

ที่น่าขันคือเมื่อเห็นหลินสวินเดินตรงดิ่งไปยังตำหนัก ผู้ฝึกปราณที่กำลังต่อแถวเหล่านั้นล้วนไม่พอใจ ต่างพากันด่าทอเขา

หวังตงร้อนรนและร้องตะโกนอยู่ข้างหลังด้วย “สหายกลับมาเร็ว ใครก็ตามที่ไม่ต่อแถวล้วนจบไม่สวยทั้งนั้น!”

หลินสวินทำหูทวนลม

ชายหนุ่มร่างผอมคนหนึ่งที่กำลังเข้าแถวอยู่พรวดพราดออกมาโดยพลัน ขวางอยู่หน้าหลินสวินร้องว่า “ไอ้พวกไม่รู้กาลเทศะ ไม่เห็นหรือว่าที่นี่คือที่ไหน มีหรือจะยอมให้เจ้าวางโตได้”

ชายหนุ่มร่างผอมคนนี้ดูผิวเผินเหมือนเหม็นหน้าหลินสวิน อันที่จริงกำลังแสดงความจงรักภักดีต่อหน้าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทอง วาดหวังว่าจะถูกเลือก

ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ที่ต่อแถวอยู่เห็นเช่นนี้ล้วนลอบหัวเสียกับตัวเองไม่ได้ โอกาสแสดงตัวดีๆ ครั้งหนึ่งถึงกับถูกคนชิงแย่งไปก่อยเสียแล้ว!

ตูม!

พูดเหมือนช้าแต่ความจริงรวดเร็วยิ่ง ทันทีที่ชายร่างผอมพุ่งพรวดออกมาก็ฟาดหนึ่งฝ่ามือใส่หน้าอกหลินสวิน พลังฝ่ามือกร้าวแกร่งดุดัน แสงมรรคแผ่พุ่ง

สิ่งนี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองสองคนที่อยู่หน้าประตูตำหนักต่างลอบพยักหน้า ทำการตัดสินอยู่ในใจไว้แล้วว่าจะให้โอกาสชายหนุ่มร่างผอมคนนี้ได้พึ่งใบบุญ ไม่อาจทำเมินต่อ ‘ความจงรักภักดี’ นี้ของเขา

พร้อมกันนั้นก็สามารถเป็นเยี่ยงอย่างให้คนอื่นๆ บอกคนทั้งโลกได้ว่า ขอเพียงมอบชีวิตแก่เผ่าอีกาทองของพวกเขาอย่างถวายหัว ย่อมต้องได้รับโอกาสให้ปฏิบัติงานสำคัญแน่นอน

ปึง!

เพียงแต่เหนือความคาดหมายของทุกคน เมื่อชายหนุ่มร่างผอมคนนั้นซัดฝ่ามืออกมา ตัวเองกลับถูกซัดสะเทือนจนลอยคว่ำออกไปเต็มแรง แขนขวาถูกตัดขาด กลิ้งหลุนๆ บนพื้น แหกปากร้องโหยหวน

และตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่เคยเคลื่อนไหวใดๆ ยังคงเดินหน้าต่อไป

บรรยากาศในลานเงียบกริบทันที สายตาที่ผู้ฝึกปราณที่ต่อแถวเหล่านั้นมองไปทางหลินสวินล้วนเปลี่ยนไป เจือความตกใจแกมสงสัยวูบหนึ่ง

ความแข็งแกร่งของเจ้าหมอนี่ไม่เลวทีเดียว เพียงแต่เขาคิดจะทำอะไรกันแน่

“เขาคงไม่ได้จะหยิบยืมโอกาสนี้สำแดงเดช เพื่อให้ได้รับความชื่นชมจากเหล่าคนใหญ่คนโตเผ่าอีกาทองกระมัง” บางคนพึมพำ

คนอื่นๆ ได้ยินเข้าต่างหัวใจกระตุกวูบ ลอบกล่าวว่านี่คือวิธีที่ดีในการ ‘สำแดงความสามารถ’ อย่างหนึ่ง สามารถแสดงตนได้ง่ายยิ่งกว่าทนต่อแถวอย่างลำบากตรากตรำเสียอีก

ดังคาด ก็เห็นชายจมูกเหยี่ยวงองุ้มเผ่าอีกาทองคนนั้นเอ่ยปากกล่าวว่า “ความแข็งแกร่งไม่เลวทีเดียว มีคุณสมบัติไม่ต้องต่อแถว ส่งมอบบรรณาการของเจ้ามา จากนี้ถวายชีวิตอยู่ข้างกายข้าแล้วกัน”

เขามองสำรวจหลินสวินคล้ายพอใจยิ่ง

ส่วนชายหนุ่มร่างผอมที่บาดเจ็บคนนั้นถูกเขาเมินอย่างสิ้นเชิงเป็นที่เรียบร้อย

ทันทีที่ประโยคนี้ออกมา ผู้ฝึกปราณที่กำลังต่อแถวอยู่เหล่านั้นต่างเกิดความอิจฉาขึ้นในใจ ถอนหายใจไม่หยุด เหตุใดตนถึงไม่คิดจะทำเช่นนี้บ้างนะ

และหวังตงก็อึ้งงันด้วยเช่นกัน เบิกตากว้าง ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท