ยอดฝีมือยี่สิบหกคนตายทั้งหมด!
อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง ซางหลันทายาทเผ่าวิญญาณสมุทร หลิงหวาผู้สืบทอดสำนักยุทธ์นครนิล เหลียงเซวี่ยอิ๋นผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร…
ศพของผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งในนั้นต่างคืนร่างเดิม มีสิงห์ค่อมที่ใหญ่ราวกับภูเขา นกเสวียนที่ปีกเป็นสีคราม ไพรปฐพีที่เต็มไปด้วยกิ่งก้าน ล้วนถูกทำลายและย้อมด้วยเลือดน่าสยดสยอง
ยอดฝีมือระดับนี้หากอยู่ในโลกภายนอก สูญเสียคนหนึ่งก็เพียงพอจะทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรงแล้ว
แต่ในตำหนักเพลิงเทพนี้กลับตายเรี่ยราดเต็มพื้น ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน หวาดผวากับภาพนี้
ท่ามกลางเลือดที่เต็มพื้นนี้ หลินสวินผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง พินิจรอบๆ แล้วพึมพำว่า “ในนี้มีอาหารชั้นเลิศไม่น้อยเลย”
หากคำพูดนี้เข้าหูผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จะต้องกลัวจนตัวสั่นอย่างแน่นอน
แต่อาหลู่กับเจ้าคางคกตาเป็นประกายโดยพร้อมเพรียง พลันพูดว่า “ที่พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล ทรัพย์หลังศึกเหล่านี้จะเสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด!”
จากนั้นแน่นอนว่าเป็นการเก็บทรัพย์หลังศึก
เหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ในตัวมีของดีจำนวนไม่น้อย
“แม่งเอ๊ย ขี้ผึ้งแท้แมลงเม่ามรกตหรือ นี่เป็นสมบัติชั้นดีเลยเชียว สามารถเกิดผลมหัศจรรย์ตอนที่หลอมรวมเมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน”
“หรูหราเกินไปแล้ว ถึงขั้นใส่น้ำแรกปฐพีชำระวิญญาณไว้ขวดหนึ่ง!”
“เดี๋ยว นี่คือโอสถราชันสามต้นหรือ”
ในตำหนักเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นของเจ้าคางคกดังไม่ขาดสาย
เขาเป็นลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขา เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญรอบรู้ในสมบัติกลางฟ้าดิน มองแวบเดียวก็สามารถแยกแยะความดีเลวและสูงต่ำได้แล้ว
ไม่ทันไรเขาก็เก็บรวบรวมสมบัติได้กองหนึ่ง ลำแสงพรั่งพรู เต็มไปด้วยแสงอบอวลส่องสว่างทั่วทั้งตำหนัก
ในนั้นมีโอสถราชัน วัตถุดิบเทพ ลูกกลอนวิญญาณ ของมีค่า… เรียกได้ว่ามีแต่ของดีเต็มไปหมด ถ้าอยู่ในโลกภายนอก ทุกชิ้นล้วนเพียงพอจะดึงดูดให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน
“ของเล่นนี้คืออะไร ขาสุนัขหรือ” อาหลู่หิ้วสมบัติที่หนาเท่าแขนทารก ความยาวราวสองฉื่อท่อนหนึ่งขึ้นมา ใบหน้าเปี่ยมความสงสัย หมายจะย่างมาลองดู
เจ้าคางคกอุทานด้วยความตกใจพร้อมพุ่งเข้ามาคว้าสมบัติชิ้นนั้น ก่นด่าว่า “ขาสุนัขอะไร นี่มันหลินจือราชันผี! หลังจากบรรลุระดับราชัน ใช้สิ่งนี้สามารถหลอมรากฐานมรรคราชัน มูลค่าไม่อาจประเมิน!”
อาหลู่อุทานด้วยความประหลาดใจ อดพูดไม่ได้ “มีอะไรที่ข้าใช้ได้บ้าง”
“มีแน่นอน! แต่เจ้าหลบไป ระวังจะทำสมบัติเสียหาย!” เจ้าคางคกถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง
ครู่หนึ่งเจ้าคางคกจึงรวบรวมทรัพย์หลังศึกครบ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจ “แม่งเอ๊ย คราวนี้รวยแล้ว! หลินสวิน ข้ามีคำแนะนำหนึ่ง ต่อไปพวกเราเน้นการปล้นดีไหม เจ้าลองคิดดู พวกที่อยู่ในขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ใครบ้างไม่ใช่แกะอ้วน หากไม่ฆ่าพวกเขาสักดาบคงรู้สึกผิดต่อโอกาสที่ฟ้ามอบให้นี้แย่!”
อาหลู่ลูบคางพูดอย่างเห็นด้วยยิ่ง “ข้าเห็นด้วย!”
หลินสวินมุมปากกระตุก ในใจสงสัยมากว่าเป็นตนที่พาพวกเขาเสียคน หรือพวกเขาชั่วร้ายเช่นนี้แต่แรกอยู่แล้ว
ทว่า…
คำแนะนำนี้ไม่เลวเลยจริงๆ!
หลินสวินเองก็หวั่นไหว เขารู้ดีว่าในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในแดนมกุฎนี่ ต้องมีคนอยากฆ่าตนแน่นอน
หากมีโอกาสได้พบอีกฝ่ายจริง อืม… ปล้นสักหน่อยย่อมได้อยู่แล้ว!
……
หลังจากจัดการทรัพย์หลังศึกเสร็จ ล้วนถูกหลินสวินเก็บไป
เจ้าคางคกยังไม่จำยอม พลันถามอาหลู่ “ทรัพย์หลังศึกเข้ากระเป๋าเขาทั้งหมด เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาทำเกินไปหรือ”
อาหลู่คลี่ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าพี่ใหญ่ไม่เอาเปรียบข้าแน่”
เจ้าคางคกกลอกตา “ดูท่าทางสุนัขรับใช้อย่างเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานเลยสักนิด”
ป๊าบ!
เพิ่งจะสิ้นเสียง ท้ายทอยของเขาก็ถูกตีเข้าทีหนึ่ง เจ็บจนกัดฟันไม่กล้าโวยอีก
“อาหลู่ กระบองยักษ์นั่นของเจ้าให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” จู่ๆ เจ้าคางคกก็พูดขึ้น
หลินสวินชะงัก จากนั้นในใจหวั่นไหวขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่ากระบองเหล็กยักษ์ในมืออาหลู่ก็เป็นสมบัติอริยะที่แข็งแกร่งอย่างมากชิ้นหนึ่ง
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่
มิฉะนั้นภายใต้กฎเหล็ก ‘อริยะไม่คงอยู่’ นี้ คงถูกทำลายไปนานแล้ว ไม่มีทางถูกอาหลู่ใช้แน่
อาจจะเพราะเจ้าคางคกมองจุดนี้ออกจึงเกิดความสงสัยขึ้น
อาหลู่พูดอย่างระแวง “ไม่ได้!”
ตอนที่พูดเขาก็ได้เก็บสมบัติไปแล้ว
“แค่กระบองพังๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ทำเหมือนใครจะอยากได้” เจ้าคางคกเยาะเย้ย
“ไม่อยากได้แล้วเจ้าจะดูทำไม วอนหาเรื่องจริงๆ!” อาหลู่ประชดประชัน
หลินสวินกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาพินิจรอบๆ ตำหนักแล้วพูดว่า “เจ้าคางคก ตำหนักนี้เป็นสถานที่อะไรกันแน่”
เจ้าคางคกตอบอย่างตื่นเต้นทันที “สถานที่แห่งมหาศุภโชค! เมื่อครู่นี้ตอนเข้ามาเจ้าก็คงเห็นแล้วว่านอกตำหนักมีรูปปั้นทองแดงกวางเขียวและกระเรียนขาว ในสมัยบรรพกาลนี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก…”
กวางกระเรียน หมายถึงหกประสาน
ส่วนหกประสาน ก็หมายความถึงฟ้าดินและทิศทั้งสี่
ในขณะเดียวกันหลังคาของตำหนักนี้ขยายออกไปแปดทิศ หมายความถึงแปดยอด แปดเทพ
ตามที่เจ้าคางคกพูด นี่เป็นรูปแบบ ‘เหนือฟ้าใต้หล้า ข้าเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว’! แม้เป็นอริยะก็ไม่กล้าสร้างอาศรมเช่นนี้ง่ายๆ
เพราะพลิกฟ้าเกินไป จึงง่ายที่จะละเมิดกฎสวรรค์!
“ในสมัยบรรพกาลข้าเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ตอนนั้นตำหนักแห่งนี้ยังอยู่ในระหว่างการปิดผนึก ไม่สามารถเข้าได้”
เจ้าคางคกสายตาร้อนระอุ จ้องเสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดเสา “แต่ตอนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การปิดผนึกได้หายไปแล้ว ศุภโชคใหญ่นี้ะต้องเป็นของเราสามพี่น้องแน่!”
“ศุภโชคอะไร”
อาหลู่อดถามไม่ได้
“เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้ที่เปรียบที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ คนหนึ่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า ถึงอย่างไรแดนมกุฎนี้ก็ลึกลับเกินไป ที่มานั้นไม่มีใครรู้ ข้าเองก็ทำได้เพียงคาดการณ์ คนที่ทิ้งที่แห่งนี้ไว้ในตอนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ชวนให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนแน่!”
เจ้าคางคกลุกพรึ่บขึ้น แทบทนรอไม่ไหวแล้ว เอ่ยพูดว่า “พวกเจ้าตามข้ามา”
ตอนที่พูดเขาก็ได้พาหลินสวินกับอาหลู่มาถึงสุดทางของตำหนักแล้ว
ที่แห่งนี้ว่างเปล่า มีเพียงผนังขวางอยู่ด้านหน้า ผนังเป็นสีแดงเพลิงราวกับก่อขึ้นจากหินหยก เปล่งแสงพราวพร่าง
ดวงตาสีทองของเจ้าคางคกส่องประกาย สีหน้าตื่นเต้นและปลื้มปริ่ม “หากข้าเดาไม่ผิด ในผนังนี้ก็คือที่ซ่อนของศุภโชค”
หลินสวินกับอาหลู่ตะลึง พวกเขาสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่กลับไม่พบว่าผนังนี้จะมีความพิเศษอะไร
เพียงแต่ตอนที่เจ้าคางคกเอื้อมมือไปกดผนังนี้ ภาพอันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น
วงพลังแปลกประหลาดเป็นระลอกแพร่กระจายออกจากพื้นผิวผนัง จากนั้นก็ปรากฏประตูที่ใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้บานหนึ่ง
บนประตูบานนั้นสลักเพียงเงาแผ่นหลังเงาหนึ่ง สูงใหญ่กำยำ เย่อหยิ่ง ราวกับเทพที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือชั้นเมฆ!
เขาหันหลังให้ทุกคน แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกหลินสวินรับรู้ได้ถึงอานุภาพดุดันอันน่ากลัวที่ปะทะเข้ามา ร่างกายแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่อยู่ จิตใจสั่นสะท้าน
แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!
เพียงแค่รูปเงาหลังหนึ่งเท่านั้น แต่กลับประหนึ่งคับแน่นเต็มจักรวาล สูงส่งราวกับเทพไท้
“เขา… จะเป็นเผาเซียนที่เจ้าพูดถึงหรือไม่”
อาหลู่สูดหายใจเย็น แม้แต่สองขาของเขายังสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้สักนิด นั่นเป็นอานุภาพกดดันอย่างหนึ่ง ไม่สามารถต้านทานได้
“น่าจะใช่”
เจ้าคางคกสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งก่อนพูดว่า “พวกเจ้าก็สัมผัสได้แล้ว นี่เป็นเพียงแค่รูปภาพรูปหนึ่ง แต่กลิ่นอายระดับนั้นกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าอริยะเสียอีก! แค่คิดก็รู้ว่าในประตูบานนั้นจะต้องซ่อนศุภโชคที่สุดยอดไว้อย่างแน่นอน!”
หลินสวินเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก
เขาเคยได้เห็นว่าพลังของอริยะน่ากลัวเพียงใด และเคยติดตามอยู่ข้างกายหญิงลึกลับคนนั้น ได้เคยเห็นวิธีการสำแดงฤทธิ์ของอริยะมาแล้ว
แต่เมื่อเทียบกับกลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากแผ่นหลังนี้ อริยะเหล่านั้นยังเหมือนจะด้อยกว่า!
แต่ถ้าเทียบกับหญิงลึกลับคนนั้น กลับไม่สามารถเปรียบเทียบความสูงต่ำได้
เพราะทั้งสองต่างมีความ ‘ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา’ อย่างหนึ่ง ไม่สามารถประเมินได้เลยจริงๆ!
“ไม่ต้องสนใจพวกนี้แล้ว ผลักประตูบานนี้ออกก่อนค่อยว่ากัน!”
ว่าแล้วเจ้าคางคกก็ยื่นมือออกไป กดบนประตูบานนั้น
แต่ฝ่ามือชะงักอยู่กลางทางเขาก็อดทนไว้ พูดพร้อมสีหน้าสับสน “ในประตูบานนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นศุภโชคใหญ่ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะซ่อนอันตรายอะไรไว้ด้วย พวกเจ้าว่าจะผลักมันออกดีหรือไม่”
หลินสวินกับอาหลู่เงียบไปทันที ตกอยู่ในภวังค์ความคิด
ยิ่งเป็นศุภโชคใหญ่ก็ยิ่งไม่ง่ายที่จะได้ครอบครอง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมาพร้อมกับอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา นี่เป็นความรู้ทั่วไปในการฝึกปราณ
ในประตูบานนี้มีวาสนาหรืออันตรายซ่อนอยู่กันแน่
ไม่มีใครกล้ายืนยัน!
และตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น…
“มีวาสนากับข้าก็สามารถสืบทอดวาสนาภายในได้ หากไร้วาสนากับข้า เข้าประตูนี้มามีแต่ตายกับตาย”
เสียงนี้ราวกับดังมาจากบนชั้นเมฆ คลุมเครือและเฉยชา แผ่พลังตรงเข้าใจคน ทำให้พวกหลินสวินสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน
แผ่นหลังบนประตูบานนั้นกลับพูดขึ้นในตอนนี้ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมาย!
“ขอถามผู้อาวุโสว่าวาสนามาจากที่ใด” เจ้าคางคกกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถามอย่างระมัดระวังเป็นการหยั่งเชิง
“สมัยบรรพกาลเคยมีแม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคนติดตามข้าไปทำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ลูกหลานของพวกเขาล้วนมีวาสนากับข้า”
เสียงอันคลุมเครือนั่นดังขึ้นอีกครั้ง
พร้อมกันกับเสียงนั่น เสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดต้นที่กระจายอยู่ในตำหนักก็ส่งเสียงอึงอลขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พื้นผิวปรากฏรูปภาพมนุษย์ที่สมจริงราวกับมีชีวิตภาพแล้วภาพเล่า
บางคนถืออาวุธควบม้า แหงนหน้าคำราม มีเก้าศีรษะ ธรรมลักษณ์ตะลึงโลก
บางคนราวกับชือหลง เงาร่างใหญ่โตขดอยู่บนท้องฟ้า เกล็ดทุกแผ่นมีขนาดประมาณดวงดาราส่องแสงศักดิ์สิทธิ์
บางคนอยู่ในชุดคลุมแต่กลับมีศีรษะเป็นกระเรียน บนหลังมีปีกวายุอสนี แผ่กลิ่นอายเข่นฆ่ามหาศาล ทำให้สุริยันจันทราหม่นแสง
บางคน…
ทุกคนล้วนมาจากเผ่าที่แตกต่างกัน รูปลักษณ์แปลกประหลาด แต่อานุภาพล้วนน่ากลัวปานเทพมารอย่างไม่มีข้อยกเว้น!
รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดคน เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘แม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคน’ ที่เสียงคลุมเครือนั่นพูดถึง!
ดูไปดูมาอาหลู่อดผิดหวังไม่ได้ ในนั้นไม่มีเผ่ามนุษย์ นี่ก็หมายความว่าเขาไม่มีวาสนากับศุภโชคด้านในไม่ใช่หรือ
นอกจากความตกใจหลินสวินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม่ทัพเทพเหล่านี้ล้วนเป็นรูปภาพที่สมจริงราวกับมีชีวิต อานุภาพสะท้านขวัญ
แต่หลินสวินเองก็ค้นพบเช่นกันว่า ที่อยู่ภายในเหมือนจะไร้เผ่ามนุษย์!
“นี่… นี่คือบรรพบุรุษของข้า?”
ทันใดนั้นเจ้าคางคกตะโกนเสียงสั่น จ้องระฆังทองแดงหนึ่งในนั้นด้วยสายตาอึ้งงัน ท่าทางยากจะเชื่อ
พริบตานั้นสายตาของหลินสวินและอาหลู่ต่างถูกดึงดูดไปโดยพร้อมเพรียง
…………………..