Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1147 แผ่นหลังของเผาเซียน?

ตอนที่ 1147 แผ่นหลังของเผาเซียน?

ยอดฝีมือยี่สิบหกคนตายทั้งหมด!

อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง ซางหลันทายาทเผ่าวิญญาณสมุทร หลิงหวาผู้สืบทอดสำนักยุทธ์นครนิล เหลียงเซวี่ยอิ๋นผู้สืบทอดเขาวิญญาณหมื่นอสูร…

ศพของผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งในนั้นต่างคืนร่างเดิม มีสิงห์ค่อมที่ใหญ่ราวกับภูเขา นกเสวียนที่ปีกเป็นสีคราม ไพรปฐพีที่เต็มไปด้วยกิ่งก้าน ล้วนถูกทำลายและย้อมด้วยเลือดน่าสยดสยอง

ยอดฝีมือระดับนี้หากอยู่ในโลกภายนอก สูญเสียคนหนึ่งก็เพียงพอจะทำให้เกิดคลื่นลมรุนแรงแล้ว

แต่ในตำหนักเพลิงเทพนี้กลับตายเรี่ยราดเต็มพื้น ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็ต้องอกสั่นขวัญแขวน หวาดผวากับภาพนี้

ท่ามกลางเลือดที่เต็มพื้นนี้ หลินสวินผ่อนคลายอย่างสิ้นเชิง พินิจรอบๆ แล้วพึมพำว่า “ในนี้มีอาหารชั้นเลิศไม่น้อยเลย”

หากคำพูดนี้เข้าหูผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ จะต้องกลัวจนตัวสั่นอย่างแน่นอน

แต่อาหลู่กับเจ้าคางคกตาเป็นประกายโดยพร้อมเพรียง พลันพูดว่า “ที่พี่ใหญ่พูดมีเหตุผล ทรัพย์หลังศึกเหล่านี้จะเสียเปล่าไม่ได้เด็ดขาด!”

จากนั้นแน่นอนว่าเป็นการเก็บทรัพย์หลังศึก

เหล่านี้ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในขุมอำนาจฝ่ายต่างๆ ในตัวมีของดีจำนวนไม่น้อย

“แม่งเอ๊ย ขี้ผึ้งแท้แมลงเม่ามรกตหรือ นี่เป็นสมบัติชั้นดีเลยเชียว สามารถเกิดผลมหัศจรรย์ตอนที่หลอมรวมเมล็ดพันธุ์มรรคแห่งตน”

“หรูหราเกินไปแล้ว ถึงขั้นใส่น้ำแรกปฐพีชำระวิญญาณไว้ขวดหนึ่ง!”

“เดี๋ยว นี่คือโอสถราชันสามต้นหรือ”

ในตำหนักเสียงตะโกนด้วยความตื่นเต้นของเจ้าคางคกดังไม่ขาดสาย

เขาเป็นลูกหลานเผ่าคางคกทองสามขา เรียกได้ว่าเชี่ยวชาญรอบรู้ในสมบัติกลางฟ้าดิน มองแวบเดียวก็สามารถแยกแยะความดีเลวและสูงต่ำได้แล้ว

ไม่ทันไรเขาก็เก็บรวบรวมสมบัติได้กองหนึ่ง ลำแสงพรั่งพรู เต็มไปด้วยแสงอบอวลส่องสว่างทั่วทั้งตำหนัก

ในนั้นมีโอสถราชัน วัตถุดิบเทพ ลูกกลอนวิญญาณ ของมีค่า… เรียกได้ว่ามีแต่ของดีเต็มไปหมด ถ้าอยู่ในโลกภายนอก ทุกชิ้นล้วนเพียงพอจะดึงดูดให้ผู้คนอิจฉาตาร้อน

“ของเล่นนี้คืออะไร ขาสุนัขหรือ” อาหลู่หิ้วสมบัติที่หนาเท่าแขนทารก ความยาวราวสองฉื่อท่อนหนึ่งขึ้นมา ใบหน้าเปี่ยมความสงสัย หมายจะย่างมาลองดู

เจ้าคางคกอุทานด้วยความตกใจพร้อมพุ่งเข้ามาคว้าสมบัติชิ้นนั้น ก่นด่าว่า “ขาสุนัขอะไร นี่มันหลินจือราชันผี! หลังจากบรรลุระดับราชัน ใช้สิ่งนี้สามารถหลอมรากฐานมรรคราชัน มูลค่าไม่อาจประเมิน!”

อาหลู่อุทานด้วยความประหลาดใจ อดพูดไม่ได้ “มีอะไรที่ข้าใช้ได้บ้าง”

“มีแน่นอน! แต่เจ้าหลบไป ระวังจะทำสมบัติเสียหาย!” เจ้าคางคกถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง

ครู่หนึ่งเจ้าคางคกจึงรวบรวมทรัพย์หลังศึกครบ พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความพอใจ “แม่งเอ๊ย คราวนี้รวยแล้ว! หลินสวิน ข้ามีคำแนะนำหนึ่ง ต่อไปพวกเราเน้นการปล้นดีไหม เจ้าลองคิดดู พวกที่อยู่ในขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ ใครบ้างไม่ใช่แกะอ้วน หากไม่ฆ่าพวกเขาสักดาบคงรู้สึกผิดต่อโอกาสที่ฟ้ามอบให้นี้แย่!”

อาหลู่ลูบคางพูดอย่างเห็นด้วยยิ่ง “ข้าเห็นด้วย!”

หลินสวินมุมปากกระตุก ในใจสงสัยมากว่าเป็นตนที่พาพวกเขาเสียคน หรือพวกเขาชั่วร้ายเช่นนี้แต่แรกอยู่แล้ว

ทว่า…

คำแนะนำนี้ไม่เลวเลยจริงๆ!

หลินสวินเองก็หวั่นไหว เขารู้ดีว่าในบรรดาผู้แข็งแกร่งที่เข้ามาในแดนมกุฎนี่ ต้องมีคนอยากฆ่าตนแน่นอน

หากมีโอกาสได้พบอีกฝ่ายจริง อืม… ปล้นสักหน่อยย่อมได้อยู่แล้ว!

……

หลังจากจัดการทรัพย์หลังศึกเสร็จ ล้วนถูกหลินสวินเก็บไป

เจ้าคางคกยังไม่จำยอม พลันถามอาหลู่ “ทรัพย์หลังศึกเข้ากระเป๋าเขาทั้งหมด เจ้าไม่รู้สึกว่าเขาทำเกินไปหรือ”

อาหลู่คลี่ยิ้ม “ข้ารู้สึกว่าพี่ใหญ่ไม่เอาเปรียบข้าแน่”

เจ้าคางคกกลอกตา “ดูท่าทางสุนัขรับใช้อย่างเจ้าไม่มีความทะเยอทะยานเลยสักนิด”

ป๊าบ!

เพิ่งจะสิ้นเสียง ท้ายทอยของเขาก็ถูกตีเข้าทีหนึ่ง เจ็บจนกัดฟันไม่กล้าโวยอีก

“อาหลู่ กระบองยักษ์นั่นของเจ้าให้ข้าดูหน่อยได้ไหม” จู่ๆ เจ้าคางคกก็พูดขึ้น

หลินสวินชะงัก จากนั้นในใจหวั่นไหวขึ้นมา ก่อนหน้านี้พวกเขาต่างคิดว่ากระบองเหล็กยักษ์ในมืออาหลู่ก็เป็นสมบัติอริยะที่แข็งแกร่งอย่างมากชิ้นหนึ่ง

แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่

มิฉะนั้นภายใต้กฎเหล็ก ‘อริยะไม่คงอยู่’ นี้ คงถูกทำลายไปนานแล้ว ไม่มีทางถูกอาหลู่ใช้แน่

อาจจะเพราะเจ้าคางคกมองจุดนี้ออกจึงเกิดความสงสัยขึ้น

อาหลู่พูดอย่างระแวง “ไม่ได้!”

ตอนที่พูดเขาก็ได้เก็บสมบัติไปแล้ว

“แค่กระบองพังๆ ชิ้นหนึ่งเท่านั้น ทำเหมือนใครจะอยากได้” เจ้าคางคกเยาะเย้ย

“ไม่อยากได้แล้วเจ้าจะดูทำไม วอนหาเรื่องจริงๆ!” อาหลู่ประชดประชัน

หลินสวินกลับขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตาพินิจรอบๆ ตำหนักแล้วพูดว่า “เจ้าคางคก ตำหนักนี้เป็นสถานที่อะไรกันแน่”

เจ้าคางคกตอบอย่างตื่นเต้นทันที “สถานที่แห่งมหาศุภโชค! เมื่อครู่นี้ตอนเข้ามาเจ้าก็คงเห็นแล้วว่านอกตำหนักมีรูปปั้นทองแดงกวางเขียวและกระเรียนขาว ในสมัยบรรพกาลนี่เป็นเรื่องที่ไม่ธรรมดาอย่างมาก…”

กวางกระเรียน หมายถึงหกประสาน

ส่วนหกประสาน ก็หมายความถึงฟ้าดินและทิศทั้งสี่

ในขณะเดียวกันหลังคาของตำหนักนี้ขยายออกไปแปดทิศ หมายความถึงแปดยอด แปดเทพ

ตามที่เจ้าคางคกพูด นี่เป็นรูปแบบ ‘เหนือฟ้าใต้หล้า ข้าเป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว’! แม้เป็นอริยะก็ไม่กล้าสร้างอาศรมเช่นนี้ง่ายๆ

เพราะพลิกฟ้าเกินไป จึงง่ายที่จะละเมิดกฎสวรรค์!

“ในสมัยบรรพกาลข้าเคยเข้ามาที่นี่แล้ว ตอนนั้นตำหนักแห่งนี้ยังอยู่ในระหว่างการปิดผนึก ไม่สามารถเข้าได้”

เจ้าคางคกสายตาร้อนระอุ จ้องเสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดเสา “แต่ตอนนี้แตกต่างอย่างสิ้นเชิง การปิดผนึกได้หายไปแล้ว ศุภโชคใหญ่นี้ะต้องเป็นของเราสามพี่น้องแน่!”

“ศุภโชคอะไร”

อาหลู่อดถามไม่ได้

“เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้ที่เปรียบที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ คนหนึ่ง แน่นอนว่านี่เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า ถึงอย่างไรแดนมกุฎนี้ก็ลึกลับเกินไป ที่มานั้นไม่มีใครรู้ ข้าเองก็ทำได้เพียงคาดการณ์ คนที่ทิ้งที่แห่งนี้ไว้ในตอนนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่ยิ่งใหญ่ชวนให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวนแน่!”

เจ้าคางคกลุกพรึ่บขึ้น แทบทนรอไม่ไหวแล้ว เอ่ยพูดว่า “พวกเจ้าตามข้ามา”

ตอนที่พูดเขาก็ได้พาหลินสวินกับอาหลู่มาถึงสุดทางของตำหนักแล้ว

ที่แห่งนี้ว่างเปล่า มีเพียงผนังขวางอยู่ด้านหน้า ผนังเป็นสีแดงเพลิงราวกับก่อขึ้นจากหินหยก เปล่งแสงพราวพร่าง

ดวงตาสีทองของเจ้าคางคกส่องประกาย สีหน้าตื่นเต้นและปลื้มปริ่ม “หากข้าเดาไม่ผิด ในผนังนี้ก็คือที่ซ่อนของศุภโชค”

หลินสวินกับอาหลู่ตะลึง พวกเขาสัมผัสอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว แต่กลับไม่พบว่าผนังนี้จะมีความพิเศษอะไร

เพียงแต่ตอนที่เจ้าคางคกเอื้อมมือไปกดผนังนี้ ภาพอันน่าตกใจก็ปรากฏขึ้น

วงพลังแปลกประหลาดเป็นระลอกแพร่กระจายออกจากพื้นผิวผนัง จากนั้นก็ปรากฏประตูที่ใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้บานหนึ่ง

บนประตูบานนั้นสลักเพียงเงาแผ่นหลังเงาหนึ่ง สูงใหญ่กำยำ เย่อหยิ่ง ราวกับเทพที่ยืนตระหง่านอยู่เหนือชั้นเมฆ!

เขาหันหลังให้ทุกคน แต่เพียงเท่านี้ก็ทำให้พวกหลินสวินรับรู้ได้ถึงอานุภาพดุดันอันน่ากลัวที่ปะทะเข้ามา ร่างกายแข็งทื่ออย่างควบคุมไม่อยู่ จิตใจสั่นสะท้าน

แข็งแกร่งเกินไปแล้ว!

เพียงแค่รูปเงาหลังหนึ่งเท่านั้น แต่กลับประหนึ่งคับแน่นเต็มจักรวาล สูงส่งราวกับเทพไท้

“เขา… จะเป็นเผาเซียนที่เจ้าพูดถึงหรือไม่”

อาหลู่สูดหายใจเย็น แม้แต่สองขาของเขายังสั่นอย่างไม่สามารถควบคุมได้สักนิด นั่นเป็นอานุภาพกดดันอย่างหนึ่ง ไม่สามารถต้านทานได้

“น่าจะใช่”

เจ้าคางคกสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่งก่อนพูดว่า “พวกเจ้าก็สัมผัสได้แล้ว นี่เป็นเพียงแค่รูปภาพรูปหนึ่ง แต่กลิ่นอายระดับนั้นกลับแข็งแกร่งยิ่งกว่าอริยะเสียอีก! แค่คิดก็รู้ว่าในประตูบานนั้นจะต้องซ่อนศุภโชคที่สุดยอดไว้อย่างแน่นอน!”

หลินสวินเห็นด้วยกับเรื่องนี้อย่างมาก

เขาเคยได้เห็นว่าพลังของอริยะน่ากลัวเพียงใด และเคยติดตามอยู่ข้างกายหญิงลึกลับคนนั้น ได้เคยเห็นวิธีการสำแดงฤทธิ์ของอริยะมาแล้ว

แต่เมื่อเทียบกับกลิ่นอายที่แพร่กระจายออกจากแผ่นหลังนี้ อริยะเหล่านั้นยังเหมือนจะด้อยกว่า!

แต่ถ้าเทียบกับหญิงลึกลับคนนั้น กลับไม่สามารถเปรียบเทียบความสูงต่ำได้

เพราะทั้งสองต่างมีความ ‘ลึกล้ำไม่อาจคาดเดา’ อย่างหนึ่ง ไม่สามารถประเมินได้เลยจริงๆ!

“ไม่ต้องสนใจพวกนี้แล้ว ผลักประตูบานนี้ออกก่อนค่อยว่ากัน!”

ว่าแล้วเจ้าคางคกก็ยื่นมือออกไป กดบนประตูบานนั้น

แต่ฝ่ามือชะงักอยู่กลางทางเขาก็อดทนไว้ พูดพร้อมสีหน้าสับสน “ในประตูบานนี้ มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะเป็นศุภโชคใหญ่ แต่ก็ไม่แน่ว่าจะซ่อนอันตรายอะไรไว้ด้วย พวกเจ้าว่าจะผลักมันออกดีหรือไม่”

หลินสวินกับอาหลู่เงียบไปทันที ตกอยู่ในภวังค์ความคิด

ยิ่งเป็นศุภโชคใหญ่ก็ยิ่งไม่ง่ายที่จะได้ครอบครอง มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมาพร้อมกับอันตรายที่ไม่อาจคาดเดา นี่เป็นความรู้ทั่วไปในการฝึกปราณ

ในประตูบานนี้มีวาสนาหรืออันตรายซ่อนอยู่กันแน่

ไม่มีใครกล้ายืนยัน!

และตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น…

“มีวาสนากับข้าก็สามารถสืบทอดวาสนาภายในได้ หากไร้วาสนากับข้า เข้าประตูนี้มามีแต่ตายกับตาย”

เสียงนี้ราวกับดังมาจากบนชั้นเมฆ คลุมเครือและเฉยชา แผ่พลังตรงเข้าใจคน ทำให้พวกหลินสวินสั่นเทิ้มไปทั้งตัว สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน

แผ่นหลังบนประตูบานนั้นกลับพูดขึ้นในตอนนี้ นี่ถือว่าเหนือความคาดหมาย!

“ขอถามผู้อาวุโสว่าวาสนามาจากที่ใด” เจ้าคางคกกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก ถามอย่างระมัดระวังเป็นการหยั่งเชิง

“สมัยบรรพกาลเคยมีแม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคนติดตามข้าไปทำศึกเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ลูกหลานของพวกเขาล้วนมีวาสนากับข้า”

เสียงอันคลุมเครือนั่นดังขึ้นอีกครั้ง

พร้อมกันกับเสียงนั่น เสาทองแดงหนึ่งร้อยแปดต้นที่กระจายอยู่ในตำหนักก็ส่งเสียงอึงอลขึ้นอย่างพร้อมเพรียง พื้นผิวปรากฏรูปภาพมนุษย์ที่สมจริงราวกับมีชีวิตภาพแล้วภาพเล่า

บางคนถืออาวุธควบม้า แหงนหน้าคำราม มีเก้าศีรษะ ธรรมลักษณ์ตะลึงโลก

บางคนราวกับชือหลง เงาร่างใหญ่โตขดอยู่บนท้องฟ้า เกล็ดทุกแผ่นมีขนาดประมาณดวงดาราส่องแสงศักดิ์สิทธิ์

บางคนอยู่ในชุดคลุมแต่กลับมีศีรษะเป็นกระเรียน บนหลังมีปีกวายุอสนี แผ่กลิ่นอายเข่นฆ่ามหาศาล ทำให้สุริยันจันทราหม่นแสง

บางคน…

ทุกคนล้วนมาจากเผ่าที่แตกต่างกัน รูปลักษณ์แปลกประหลาด แต่อานุภาพล้วนน่ากลัวปานเทพมารอย่างไม่มีข้อยกเว้น!

รวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยแปดคน เห็นได้ชัดว่าเป็น ‘แม่ทัพเทพหนึ่งร้อยแปดคน’ ที่เสียงคลุมเครือนั่นพูดถึง!

ดูไปดูมาอาหลู่อดผิดหวังไม่ได้ ในนั้นไม่มีเผ่ามนุษย์ นี่ก็หมายความว่าเขาไม่มีวาสนากับศุภโชคด้านในไม่ใช่หรือ

นอกจากความตกใจหลินสวินก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ แม่ทัพเทพเหล่านี้ล้วนเป็นรูปภาพที่สมจริงราวกับมีชีวิต อานุภาพสะท้านขวัญ

แต่หลินสวินเองก็ค้นพบเช่นกันว่า ที่อยู่ภายในเหมือนจะไร้เผ่ามนุษย์!

“นี่… นี่คือบรรพบุรุษของข้า?”

ทันใดนั้นเจ้าคางคกตะโกนเสียงสั่น จ้องระฆังทองแดงหนึ่งในนั้นด้วยสายตาอึ้งงัน ท่าทางยากจะเชื่อ

พริบตานั้นสายตาของหลินสวินและอาหลู่ต่างถูกดึงดูดไปโดยพร้อมเพรียง

…………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท