Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1149 หนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ อำนาจขึ้นอยู่กับมกุฎ

ตอนที่ 1149 หนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ อำนาจขึ้นอยู่กับมกุฎ

เมืองเผาเซียน

ระหว่างที่เรื่องเผ่าอีกาทองถูกเทพมารหลินปล้นยังคงเป็นที่ฮือฮาอยู่ ก็มีข่าวน่าตกใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้แพร่กระจายออกไป

“เทพมารหลินบุกเข้าไปในหุบเขาผลาญสวรรค์เพียงลำพัง กำลังจะถูกบุคคลขอบเขตมกุฎของแต่ละขุมอำนาจใหญ่สังหาร!”

หินก้อนหนึ่งทำให้เกิดคลื่นพันระลอก เดือดพล่านขึ้นมาทั้งเมือง

“ไป ไปดูสักหน่อย!”

“เพิ่งเข้ามาในแดนมกุฎได้ไม่เท่าไหร่ เทพมารหลินก็จะประสบเคราะห์แล้วหรือ”

ไม่นานผู้สืบทอดขุมอำนาจจำนวนหนึ่งต่างเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปที่หุบเขาผลาญสวรรค์หมายจะไปสืบให้ชัด

ตอนที่ไปถึงหุบเขาผลาญสวรรค์ทุกคนกลับพบว่า การดวลครั้งนี้เกิดขึ้นในตำหนักลึกลับแห่งนี้ ไม่สามารถรู้ได้ว่าเทพมารหลินถูกฆ่าไปแล้วหรือยัง

ดังนั้นผู้ฝึกปราณที่ตามมาใหม่จึงจำต้องรออยู่ด้านนอก

“มีบุคคลขอบเขตมกุฎยี่สิบกว่าคน ในนั้นยังมีบุคคลเยี่ยมยอดอย่างอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดเผ่าอีกาทอง เหลียงเซวี่ยอิ๋นแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูร เทพธิดาหลิงหวาแห่งสำนักยุทธ์นครนิล เทพมารหลินคงไม่สามารถเดินออกมาได้อีกแล้ว”

ตอนที่รู้สถานการณ์ในตำหนัก ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างตกใจ

ผู้แข็งแกร่งมากมายขนาดนี้รวมตัวกัน อย่าว่าแต่เทพมารหลิน แม้เป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนอื่นๆ ก็คงต้านทานไม่อยู่!

“เทพมารหลินนี่ก็ถือว่ากล้าหาญ เพื่อช่วยสหายไม่สนอันตราย หากเป็นสหายกับเขาย่อมเป็นเรื่องที่โชคดีเรื่องหนึ่ง”

มีคนถอนหายใจ เรียกเสียงเห็นด้วยไม่น้อย

รู้ทั้งรู้ว่าเป็นถ้ำเสือก็ยังเสียสละชีวิตมาเพียงเพื่อช่วยสหายที่ตกระกำลำบาก การกระทำเช่นนี้เพียงพอจะทำให้ทุกคนหวั่นไหว

“ไม่ เป็นสหายกับเขาก็เป็นความโชคร้ายอย่างหนึ่งเช่นกัน อย่าลืมว่าศัตรูของเจ้าหมอนี่มีนับไม่ถ้วน ใครกล้าข้องเกี่ยวกับเขาก็ล้วนต้องรับผลลัพธ์ที่พลอยลำบากไปด้วย!”

มีคนหัวเราะเยาะ มองหลินสวินเป็นศัตรู

นี่คือผู้แข็งแกร่งของเผ่าอีกาทอง ต่างขบเคี้ยวเขี้ยวฟัน ก่อนหน้านี้หลินสวินปล้นสะดมที่พักของพวกเขา ทำให้พวกเขาเคียดแค้นจนคลั่ง

“ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตายแน่!”

พวกหลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูร เกาเซวียนแห่งสำนักยุทธ์นครนิลก็มาด้วย ตอนนี้ต่างเฝ้ารอ ย่ามใจอย่างมาก

เทพมารหลินน่ากลัวเกินไป

เขาทำอะไรไม่สนกฎเกณฑ์ พลังต่อสู้พลิกฟ้า ถึงขั้นกล้ามองข้ามกฎระเบียบ ไม่ยึดตามเหตุผลทั่วไป เข่นฆ่าในเมืองโบราณเผาเซียนอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ทุกคนอกสั่นขวัญแขวน

ถ้าเขามีชีวิตอยู่ หากกำเริบเสิบสานต่อไปเช่นนี้ก็ไม่อาจจินตนาการได้เลยจริงๆ

เพราะฉะนั้นพวกเขาต่างอยากฆ่าหลินสวินเสียเดี๋ยวนี้!

“หืม! ประตูตำหนักเปิดออก สวรรค์ นั่น… นั่น…”

ทันใดนั้นมีคนร้องด้วยความตกใจ สร้างความฮือฮาในที่นั้น

จากนั้นทุกคนต่างเห็นว่าประตูตำหนักเพลิงเทพนั่นไม่รู้ว่าเปิดออกเงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ และมีเงาร่างสองร่างเดินมาจากด้านใน

ร่างหนึ่งสูงใหญ่ราวกับภูเขา หยาบกระด้างและป่าเถื่อน เห็นได้ชัดว่าเป็นอาหลู่!

ก่อนหน้านี้หลายคนต่างเห็นอย่างชัดเจนว่าอาหลู่ถูกจับพร้อมกับเจ้าคางคก ถึงได้ทำให้เทพมารหลินต้องมาช่วย

เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเขากลับรอดออกมา!

“เทพมารหลิน!?”

แทบจะในเวลาเดียวกันมีคนร้องเสียงหลง ตกใจจนเกือบจะกระโดดขึ้นมา

ข้างๆ อาหลู่มีคนหนุ่มคนหนึ่งในชุดคลุมสีขาวพระจันทร์ เงาร่างสง่างามผมดำพลิ้วไสว เป็นหลินสวินที่คนส่วนใหญ่มั่นใจว่าจะต้องตาย

“นี่เป็นผีหรือ”

มีผู้หญิงหน้าเปลี่ยนสีไปอย่างมาก

“ไม่มีทาง เป็นไปได้อย่างไร”

กลุ่มผู้สืบทอดเผ่าอีกาทอง เขาวิญญาณหมื่นอสูรและสำนักยุทธ์นครนิลตอนนี้ต่างเหมือนถูกฟ้าผ่า ลูกตาแทบจะหลุดออกมา

เทพมารหลินยังมีชีวิตอยู่ งั้น… คนอื่นๆ ล่ะ

คิดถึงตรงนี้ผู้ฝึกปราณจำนวนไม่น้อยในที่นั้นต่างใจสั่น และยังมีคนยื่นคอออกมา หมายจะดูสถานการณ์ในตำหนักนั่น

ที่น่าเสียดายคือประตูตำหนักถูกปิดไปอย่างไร้สุ้มเสียงนานแล้ว

“สหายยุทธ์หลิน คนอื่นๆ ล่ะ”

มีคนทำใจกล้าถาม

หลินสวินกวาดสายตามองทั่วทั้งที่นั้นแวบหนึ่งก่อนถึงพูดว่า “กำลังแย่งศุภโชคกันอยู่ ความสามารถของข้าสู้ไม่ได้ ทำได้เพียงถอยออกมาก่อน”

แม้จะพูดเช่นนี้แต่สีหน้ากลับไม่มีความผิดหวังเสียใจเลยสักนิด

นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณหลายคนสงสัย ในการรับรู้ของพวกเขา บุคคลขอบเขตมกุฎทั้งยี่สิบหกอย่างพวกอูหลิงเฟยไม่มีทางปล่อยหลินสวินแน่

“แล้วสหายอีกคนของเจ้าล่ะ” มีคนถามอย่างอ้อมค้อม

“ดวงขึ้น กำลังแย่งชิงศุภโชคอยู่เหมือนกัน” อาหลู่ตอบด้วยเสียงทุ้มต่ำ

นี่ทำให้ยากจะเชื่อเหลือเกิน!

สีหน้าของเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองต่างเปลี่ยนไป ผลลัพธ์เช่นนี้เหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างสิ้นเชิง ทำให้พวกเขาต่างรู้สึกตั้งตัวไม่ติด

“พี่ใหญ่ ไม่ได้ครอบครองศุภโชคข้าเสียใจมาก อยากระบายสักหน่อย” อาหลู่พูด สายตาพินิจเหล่าผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองอย่างไม่เกรงกลัว ทำให้พวกเขาขวัญหนีดีฝ่อ

“ช่างเถอะ กลางคืนเตรียมของอร่อยให้เจ้าสักหน่อย นี่เป็นเรื่องดีที่เจ้าคางคกไม่อาจได้รับเชียวนะ” หลินสวินส่ายหน้า ในที่นี้มีผู้ฝึกปราณมากมาย ยากมากที่จะแยกแยะว่ามีศัตรูอยู่เท่าไหร่

“ดีเลย” อาหลู่ตาเป็นประกาย

ในขณะที่พูดทั้งสองก็เดินไปนอกหุบเขา

“หยุด!”

หลูชวนแห่งเขาวิญญาณหมื่นอสูรก้าวออกมาพูดเสียงเย็น “ไม่พูดให้รู้เรื่องก็คิดจะไปหรือ”

ในเวลาเดียวกันสีหน้าของเกาเซวียนแห่งสำนักยุทธ์นครนิลก็มองมาอย่างไม่หวังดี

ลางสังหรณ์ของพวกเขาบอกว่านี่ไม่ค่อยปกตินัก

“พูดให้รู้เรื่องหรือ ได้สิ งั้นข้าไปพูดกับพวกเจ้าให้รู้เรื่องที่อาณาเขตของพวกเจ้าในเมืองดีหรือไม่”

หลินสวินยิ้มถาม

ประโยคเดียวทำให้สีหน้าของพวกหลูชวน เกาเซวียนเปลี่ยนไปโดยพลัน นึกถึงเหตุการณ์ตอนที่หลินสวินปล้นสมบัติของเผ่าอีกาทอง

“หลินสวิน ท่าทีของเจ้าไม่ถูกต้องอย่างมาก พวกข้าเพียงอยากถามเรื่องในตำหนัก เจ้ากลับออกปากข่มขู่กัน คิดจะขัดแย้งกับสหายยุทธ์ทั้งแดนเผาเซียนเลยหรือ”

ชายรูปร่างผอมสูงคนหนึ่งแค่นเสียงอย่างเย็นเยียบ ผมของเขาเป็นสีเขียวทั้งศีรษะ เห็นได้ชัดว่ามาจากเผ่าวิญญาณสมุทรเหมือนซางหลันที่ตายในมือหลินสวิน

“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร ประโยคเดียวสามารถเหมารวมทุกคนได้หรือ ไม่อยากตายก็ไสหัวไป!”

หลินสวินพูดทิ้งท้ายเอาไว้แล้วไม่สนใจอีก เพียงพาอาหลู่เดินออกจากหุบเขาไปด้วยกัน

“เจ้า…”

ชายรูปร่างผอมสูงเดือดดาลยกใหญ่ แต่พอนึกถึงพลังต่อสู้อันน่ากลัวของหลินสวิน ในใจเขากลับลังเลขึ้นมา

สิ่งที่ทำให้เขาหมดหวังที่สุดคือ ในระหว่างนี้กลับไม่มีคนกล้ารั้งหลินสวินเอาไว้ หากเขากระโดดออกไปก็เท่ากับ ‘ยื่นคอ’ ออกไปเอง!

“ขยะ ฮ่าๆๆ”

อาหลู่อดหัวเราะอย่างดูถูกไม่ได้ ทำเอาชายผอมสูงปอดแทบระเบิด โกรธจนหน้าเขียว แต่สุดท้ายก็ยังทนเอาไว้

จนกระทั่งทั้งสองจากไป เหล่าผู้กล้าในที่นั้นกลับไม่มีใครกล้าขวาง!

นี่ก็คืออานุภาพที่มาจากความสามารถ!

ก่อนหน้านี้ในเมืองโบราณเผาเซียน หลินสวินไม่สนใจกฎระเบียบเหยียบอาณาเขตของเผ่าอีกาทองอย่างแข็งกร้าว สังหารอย่างเด็ดเดี่ยว ทั้งยังทำการปล้นไปรอบหนึ่ง

ในสถานการณ์เช่นนี้ ใครจะอยากตายกระโดดออกมาตั้งตัวเป็นศัตรูกับเขา

“กลัวก็แต่ว่าคงมีแค่บุคคลระดับยักษ์ใหญ่แห่งยุคอย่างพวกชื่อหลิงเซียว ธิดาเทพหลิ่นเสวี่ย อวิ๋นชิ่งไป๋ กู่ฝอจื่อจึงจะสามารถสยบเทพมารหลินนี่ได้”

มีคนถอนหายใจ

ส่วนเหล่าขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เขาวิญญาณหมื่นอสูร แต่ละคนสีหน้าล้วนย่ำแย่มาก อัดอั้นจนทรมาน

“หากองค์ชายเจ็ดอยู่ จะยอมให้เขาอวดดีขนาดนี้ได้อย่างไร”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองคนหนึ่งส่งเสียงอย่างเดือดดาล

“เกิดอะไรขึ้นในตำหนักแห่งนั้นกันแน่ เหตุใดเทพมารหลินจึงสามารถเดินออกมาได้อย่างปลอดภัยหายห่วง”

ในใจคนส่วนใหญ่ต่างประหลาดใจ รู้สึกสงสัยนัก

“ข้าไปดูสักหน่อย”

เงาร่างที่อาบอยู่ท่ามกลางแสงสีครามเดินออกไป ทะยานไปยังตำหนักเพลิงเทพที่อยู่ไกลออกไป

“โจวชิงอวิ๋น!”

หลายคนต่างนัยน์ตาหดรัด จำฐานะของชายคนนี้ได้ เป็นปีศาจแห่งยุคคนหนึ่งที่มาจาก ‘ถ้ำสวรรค์ดารามายา’ แห่งแดนเร้นอริยะคนหนึ่ง!

ตอนที่ผ่านรูปปั้นกวางกระเรียนคู่หนึ่งตรงหน้าตำหนัก โจวชิงอวิ๋นเองก็ถูกขวางกั้นไปด้วย เสียแรงอยู่มากกว่าจะผ่านไปได้

ภาพนี้ถูกผู้ฝึกปราณที่รออยู่ที่นี่ตั้งแต่แรกเห็นเข้า ในใจต่างพลิกตลบขึ้นมาระลอกหนึ่ง

เพราะเมื่อเทียบกับตอนที่เทพมารหลินผ่านการทดสอบนี้ โจวชิงอวิ๋นปีศาจแห่งยุคที่มาจากถ้ำสวรรค์ดารามายาคนนี้เหมือนจะด้อยกว่าเล็กน้อย!

ประตูตำหนักเปิดออกเงียบๆ

ท่ามกลางสายตารอคอยของทุกคน สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ โจวชิงอวิ๋นกลับไม่ได้เข้าไป

เพราะในสายตาเขามองเห็นเลือดและชิ้นส่วนศพเกลื่อนเต็มพื้น เลือดอาบนอง ราวกับเป็นภาพนรกภาพหนึ่ง

เฮือก!

โจวชิงอวิ๋นสูดหายใจด้วยความตกใจ สีหน้าเปลี่ยนไปกะทันหัน

ในที่สุดก็เข้าใจแล้วว่า เหตุใดสุดท้ายมีเพียงเทพมารหลินและอาหลู่ที่เดินออกมา เพราะคนอื่นๆ ต่างตายอนาถอยู่ด้านในแล้ว!

และดูจากร่องรอยในตำหนัก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้เคยปะทุการต่อสู้รุนแรงที่ย่ำแย่อย่างที่สุด!

“บุคคลขอบเขตมกุฎยี่สิบหกคนเชียวนะ ในนั้นยังรวมถึงอูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดแห่งเผ่าอีกาทอง… ล้วนถูกเทพมารหลินฆ่าหมดแล้วหรือ…”

ในใจโจวชิงอวิ๋นปรากฏความหนาวเยือกอย่างควบคุมไม่อยู่ มือเท้าเย็นเฉียบ

ขณะเดียวกันผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็ฉวยโอกาสนี้ ในที่สุดก็เห็นภาพอันนองเลือดแต่ละฉากในตำหนักชัดเจนแล้ว

ในที่นั้นบรรยากาศเงียบสงัดลงก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็แตกตื่นขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง ราวกับน้ำมันเดือดกระเด็นจากหม้อ มีเสียงกรีดร้องอุทานด้วยความตกใจและหวาดกลัวดังขึ้นไม่รู้เท่าไหร่

โดยเฉพาะขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทอง สำนักยุทธ์นครนิล เขาวิญญาณหมื่นอสูร และเผ่าวิญญาณสมุทร ต่างรับการโจมตีระดับนี้ไม่ไหว คำรามเสียงดังขึ้นมา

ตายแล้ว…

ตายหมดแล้ว!

ความกระทบกระเทือนจิตใจนี้รุนแรงเกินไป ทำให้สายตาทุกคนต่างหม่นแสงลง แทบจะเป็นบ้าไปแล้ว

ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนก เนิ่นนานก็ยังไม่อาจสงบได้ ทั้งหมดนี้ล้วนมาจากฝีมือของเทพมารหลินหรือ

……

ตอนที่หลินสวินกับอาหลู่กลับไปยังเมืองโบราณเผาเซียนก็สร้างความฮือฮาระลอกหนึ่ง แต่ทุกคนที่เห็นหลินสวิน สีหน้าล้วนเหมือนเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น

หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ ตัดสินใจจะหาที่พักก่อน

“เมื่อวานตอนที่เขาเข้าเมือง เจ้าคางคกเคยบอกว่าในเมืองนี้มีหนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ ล้วนตั้งชื่อว่ามกุฎ มีความลึกลับที่แตกต่างกันออกไป”

“อยากเข้าไปในแดนเก้าบน จะต้องผ่านการทดสอบของหอมกุฎก่อน”

”หอมกุฎจะปรากฏทางเดินสายหนึ่งในอีกหนึ่งปีข้างหน้า ถึงตอนนั้นมีเพียงผู้แข็งแกร่งในหนึ่งพันอันดับแรก จึงจะสามารถใช้ทางเดินนี้เข้าไปในแดนเก้าบน”

“และถ้าอยากเข้าไปในอาณาเขตอื่นๆ ของสามพันแดน ก็ต้องพึ่งพลังของเจดีย์มกุฎ ได้รับการยอมรับจึงจะมีคุณสมบัติจะเข้าเสาะหาวาสนาในแดนอื่นๆ”

ระหว่างทางอาหลู่พูดถึงเรื่องสำคัญเหล่านี้กับหลินสวิน

หลินสวินประหลาดใจ เขาเองก็เพิ่งเคยได้ยินเรื่องของหอมกุฎและเจดีย์มกุฎเป็นครั้งแรก

“ถ้าอย่างนั้นในสามพันแดน ทุกแดนล้วนมีหนึ่งหอหนึ่งเจดีย์ใช่หรือไม่” หลินสวินเหมือนคิดอะไรอยู่

“ใช่แล้ว”

อาหลู่พูดถึงตรงนี้พลันชี้ไปในระยะไกลและพูดว่า “พี่ใหญ่ท่านดู นั่นคือหอมกุฎ”

หลินสวินเงยหน้ามองตามไป ก็เห็นว่าตรงกลางเมืองมีหอสูงแห่งหนึ่ง

มันสูงทะลวงฟ้า โดดเด่นและยิ่งใหญ่อย่างมาก แผ่กลิ่นอายเก่าแก่ไปทั่วทั้งหอ ราวกับตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางกาลเวลาอันไร้สิ้นสุด เห็นการเปลี่ยนแปลงของโลกจนชินชาไปแล้ว!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท