เมืองโบราณเผาเซียนคึกคักขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อเทียบกับเมื่อสี่เดือนที่แล้วตอนที่หลินสวินเพิ่งมาถึง จำนวนผู้ฝึกปราณในเมืองมากขึ้นถึงสิบกว่าเท่า!
ผู้สืบทอดสำนัก ผู้แข็งแกร่งของตระกูล ลูกหลานจากเผ่าต่างๆ…
ถึงขั้นที่สิ่งมีชีวิตที่หายากบางอย่างยังเห็นได้ทั่วไปในเมือง
อย่างเช่นผู้แข็งแกร่ง ‘เผ่าสังข์วิญญาณ’ ที่แบกกระดองเจ็ดสีไว้กลางหลัง ผู้แข็งแกร่งเผ่า ‘กระสาหิมะ’ ที่มีเก้าหาง
ถึงขั้นที่ยังมีลูกหลาน ‘เผ่าทอเมฆา’ ที่พบเห็นได้น้อยมาก ร่างกายอ่อนนุ่มราวกับก้อนเมฆ ตอนที่เดินเหมือนลอยอยู่กลางอากาศ ตกใจเพียงนิดร่างกายที่ดุจดั่งก้อนเมฆก็จะแปรเปลี่ยนเป็นหมอกควันมากมาย ขวัญอ่อนมาก
นอกจากนี้ยังไม่ขาดสัตว์ประหลาดยุคโบราณ หรือผู้กล้าขอบเขตมกุฎ
หลินสวินเดินอยู่บนถนนที่ผู้คนขวักไขว่ไปมาคับคั่ง เหมือนกลับไปยังโลกภายนอกที่คึกคักรางๆ ทอดสายตามองไป เต็มไปด้วยผู้คนในอิริยาบถต่างๆ
ตอนนี้เขาแปลงร่างเป็นชายหนุ่มรูปลักษณ์ธรรมดาคนหนึ่ง ราวกับคนผ่านทาง เดินเล่นด้วยท่าทีของการเป็นผู้ชม
“คุณชาย นี่คือน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิง ท่านต้องการหรือไม่”
เด็กสาวคนหนึ่งเดินเข้ามา ในมือขาวกระจ่างประคองกระปุกเครื่องเคลือบใบหนึ่ง มีแสงเพลิงงดงามเป็นสายๆ ผุดออกมา ขับให้ดวงหน้าของหญิงสาวแดงระเรื่อ น่ารักเย้ายวน
“แลกเปลี่ยนอย่างไร”
หลินสวินประหลาดใจอยู่บ้าง น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงใช่ว่าจะได้มาง่ายๆ ถือกำเนิดในชั้นเมฆเรืองรอง ต้องทุ่มแรงใจอย่างมากในการจับทีละสาย เหมือนกับการสาวไหมอย่างไรอย่างนั้น
“เอ่อ ขอแค่เป็นวัตถุดิบวิญญาณ อะไรก็ได้ทั้งนั้น”
เด็กสาวพูดอย่างกลัวๆ นางดูเกร็งมาก เห็นได้ชัดว่าก่อนหน้านี้ไม่เคยขายของกลางตลาด
หลินสวินคิดๆ แล้วหยิบขวดหยกขาวเล็กๆ ใบหนึ่งออกมา ยื่นให้นาง “ในนี้เป็นลูกกลอนนิลดำรวมแสงสามเม็ด ได้ไหม’’
“ได้!”
หญิงสาวตาเป็นประกาย ท่าทางดีใจมาก
หลินสวินเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงขวดนั้นไปพร้อมรอยยิ้ม เตรียมจะจากไป เด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าพลันแปรเป็นหมอกควันมากมาย
นี่ทำให้หลินสวินตกใจ คิดว่าศัตรูลอบทำร้ายเสียอีก
ใครจะคิดว่าหมอกควันเหล่านั้นกลับรวมตัวเป็นมือสองข้าง ประสานกันตรงหน้าหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ขอบคุณคุณชาย ท่านช่างเป็นคนดีจริงๆ”
หลินสวินพูดไม่ออก เพิ่งจะตระหนักได้ว่าเด็กสาวเมื่อครู่นี้เป็นลูกหลานของเผ่าทอเมฆา
“คุณชาย ข้าชื่อไฉไฉ่ ต่อไปหากข้าเก็บสะสมน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงได้มากกว่านี้ ยังสามารถแลกเปลี่ยนกับท่านได้หรือไม่” ไฉไฉ่คาดหวังมาก
“ได้แน่นอน” หลินสวินยิ้มพูด
ฮูม
เมฆหมอกแปรเปลี่ยน ควบรวมเป็นกลีบดอกไม้เต็มท้องฟ้า ล่องลอยไม่ขาดสาย เสียงของไฉไฉ่ก็ดังขึ้นอย่างแฝงความดีใจเช่นกัน “ดีจังเลย ท่านเป็นคนแรกที่ยอมซื้อขายกับข้า ขอบคุณท่านมาก ขอบคุณท่านมากจริงๆ”
กลีบดอกไม้เหล่านั้นล่องลอย งดงามราวกับภาพมายา
หลินสวินรู้ว่าไฉไฉ่กำลังใช้วิธีอันเป็นเอกลักษณ์ในการแสดงคำขอบคุณ
ความไร้เดียงสาและความอ่อนหวานของเด็กสาวราวกับแสงอาทิตย์ ทำให้หลินสวินที่ชินกับการเห็นภาพการเข่นฆ่าและคาวเลือดรู้สึกประทับใจไปด้วย
สุดท้ายไฉไฉ่แปรเปลี่ยนเป็นเมฆก้อนหนึ่ง หายไปท่ามกลางถนนที่รุ่งเรืองอย่างดีใจ
หลินสวินเดาว่านางคงไปเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงบนชั้นเมฆอีกแล้ว
“ข่าวใหญ่ โจวชิงอวิ๋นปีศาจแห่งยุค จาก ‘ถ้ำสวรรค์ดารามายา’ ในแดนเร้นอริยะก้าวเข้ามาในหอมกุฎแล้ว แทรกเข้ามาอยู่ในอันดับที่เก้าสิบสามในรวดเดียว!”
“ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา นี่เป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎคนที่สิบสามที่แทรกเข้ามาอยู่ในหนึ่งร้อยอันดับแรก!”
บนถนนเสียงฮือฮาดังขึ้น ครื้นเครงอย่างที่สุด
หลินสวินเงี่ยหูฟังพลางเดินไปทางนอกเมือง
ไม่นานเขาก็ได้รู้ข่าวใหญ่ข่าวหนึ่งโดยบังเอิญ ในสี่เดือนมานี้มีผู้แข็งแกร่งบรรลุระดับราชันอย่างต่อเนื่อง!
ล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในบรรดาคนรุ่นเยาว์ มาจากขุมอำนาจสำนักที่แตกต่างกัน เป็น ‘ราชันใหม่’ ที่แท้จริง!
แต่เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่จบลงด้วยความล้มเหลวตอนที่ทะลวงระดับราชัน คนที่โชคดีก็กลายเป็นกึ่งราชัน
คนที่โชคไม่ดีก็ธาตุไฟเข้าแทรกโดยตรง ร่างแหลกมรรคสลาย
ทว่าแม้มีคนบรรลุระดับราชันอยู่ไม่น้อย แต่จนตอนนี้ยังไม่มีใครก้าวสู่ระดับมกุฎราชันอย่างแม้จริง
แน่นอนว่า นี่เพียงแค่ในแดนเผาเซียนเท่านั้น ในพื้นที่อื่นๆ ของสามพันแดนก็พูดยากแล้ว
“ได้ยินข่าวหรือยัง เผ่าอีกาทองกำลังตามหาเทพมารหลินอย่างบ้าคลั่ง ลือกันว่ามีผู้แข็งแกร่งเผ่าอีกาทองบรรลุระดับราชันแล้ว และไม่ใช่แค่คนเดียว!”
“ไม่เพียงแค่เผ่าอีกาทอง ขุมอำนาจสำนักอื่นๆ เองก็กำลังตามหาเทพมารหลิน อย่างบริเวณหอมกุฎและเจดีย์มกุฎล้วนมีคนจับตาดูอยู่ เพียงแค่เทพมารหลินปรากฏตัวก็จะถูกจับได้ในทันที”
“คลื่นลมกำลังจะมาเยือนแล้ว!”
“แต่ไม่ได้ข่าวของเทพมารหลินมาสี่เดือนเต็มแล้ว พวกเจ้าว่าเขาจะตระหนักได้ถึงอันตราย จนอาศัยพลังของเจดีย์มกุฎออกจากแดนเผาเซียนไปแล้วหรือไม่”
“มีความเป็นไปได้สูงมาก”
……
ไม่นานหลินสวินก็ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์บางส่วน เขาเงียบไปครู่หนึ่งก่อนส่ายหน้าจากไป
ตลอดระยะเวลาสี่เดือน เห็นได้ชัดว่าในแดนเผาเซียนเกิดเรื่องขึ้นมากมาย แต่ทั้งหมดนี้ล้วนไม่กระทบต่อจิตใจของหลินสวินแล้ว
ไม่นานเขาก็ออกจากเมือง ราวกับคนสันโดษที่เดินเล่นอยู่ท่ามกลางฟ้าดินอันกว้างใหญ่
แดนเผาเซียนใหญ่มาก ภูเขาเรียงราย ฟ้าดินเป็นสีแดงเพลิงทั้งแถบ ราวกับโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง เป็นสถานที่ที่มีวาสนาและศุภโชคมากมายกระจายอยู่
นับตั้งแต่วันนี้หลินสวินปล่อยตัวให้ว่างเปล่าอย่างสิ้นเชิง ทำตามใจตัวเอง
เขาเดินอยู่ในป่าลึกอย่างเนิบช้า แหงนหน้ามองสรรพสิ่งกลางฟ้าดิน บางทีก็ยืนอยู่บนภูเขาสูงเพียงลำพัง ชื่นชมการเกิดและสลายของเมฆ สีหน้าเปลี่ยนไปเรื่อยๆ
พอมองไปก็สามารถมองได้หลายคืนวัน ราวกับหินผาที่ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด
บางทีนอนอยู่บนฝั่งแม่น้ำ ฟังเสียงน้ำไหล หลับไปพร้อมกับแสงดารา
บางคราวที่คึกขึ้นมาก็ดื่มยกใหญ่ เมาหลับอยู่ในพุ่มดอกไม้
บางคราอารมณ์ไม่ดี ก็จะวิ่งอย่างบ้าคลั่งในป่า ราวกับลมพายุที่โหมกระหน่ำและปลดปล่อยอย่างเอาแต่ใจ
จนถึงตอนหลังเขาไม่มีความคิดอะไรทั้งนั้น วนเวียน เดินเล่น เหม่อลอย ดื่มเหล้าและหลับใหลอยู่กลางฟ้าดินโดยลำพัง…
ฟ้าดิน สรรพชีวิต สรรพสิ่ง…
ล้วนไม่มีอยู่
โลกที่วุ่นวาย ความทรงจำในหัว ความรู้สึกในใจ…
เหมือนจางหายไปหมดแล้ว
เลือนรางว่างเปล่าไม่มีตัวตน
เจ็ดวันให้หลัง
ผู้ฝึกปราณในแดนเผาเซียนต่างลือกันว่ามีเจ้าบ้าคนหนึ่งแล้ว นั่งนิ่งเหม่อลอย วิ่งทะลวงป่าเขาราวกับคนป่า กลายเป็นตัวตลกของผู้คน
หนึ่งเดือนผ่านไป
ผู้ฝึกปราณที่เสาะหาวาสนาและศุภโชคอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของแดนเผาเซียน เกือบทุกคนล้วนเคยเห็นร่องรอยของ ‘เจ้าบ้า’ คนนั้น
นี่เป็นเรื่องน่าแปลก
แดนเผาเซียนไม่ใช่สถานที่ที่สงบสุข ตรงกันข้าม เพื่อช่วงชิงศุภโชคและวาสนา มีเหตุการณ์เข่นฆ่าและความขัดแย้งเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างๆ แทบจะทุกวัน
แต่ ‘เจ้าบ้า’ คนนี้ รอยเท้าแทบจะย่ำไปทั่วทุกพื้นที่ของแดนเผาเซียนแล้ว แต่กลับสามารถอยู่รอดมาถึงตอนนี้ได้อย่างปลอดภัยหายห่วง นี่ยากจะเชื่อจริงๆ เหมือนปาฏิหาริย์อย่างไรอย่างนั้น
เขาเป็นใคร
ไม่มีใครรู้
วันนี้บนหน้าผาแห่งหนึ่งมีไม้ดอกที่แปลกประหลาดต้นหนึ่ง ลำต้นสูงเพียงสี่ฉื่อ หนาประมาณปากถ้วย เปลือกไม้เหมือนเกล็ดมังกรที่มีรอยแตก
บนกิ่งไม้มีดอกตูมสีแดงเพลิงเรืองรองดอกหนึ่ง ราวกับหลอมจากแร่ทองแดงเพลิง ส่องประกายปานโลหะ
ช่วงพลบค่ำตะวันยอแสงบนขอบฟ้าราวกับเพลิง
กลุ่มผู้ฝึกปราณรวมตัวกันอยู่ตรงหน้าผานานแล้ว สายตาจับจ้องไม้ดอกที่แปลกประหลาดต้นนั้น บนกิ่งไม้ดอกตูมดอกนั้นกำลังเบ่งบานทีละนิด
ทุกครั้งที่บานออกมากลีบหนึ่งก็ปลดปล่อยรุ้งศักดิ์สิทธิ์เปลวเพลิงสายหนึ่งพุ่งทะลวงฟ้า พร้อมกับละอองแสงแดงเพลิงมากมายและกลิ่นหอมบริสุทธิ์สดชื่น น่าทึ่งเป็นพิเศษ
เพียงแต่ผู้ฝึกปราณเหล่านี้กลับไม่มีใครกล้าเข้าใกล้!
เหตุผลแรกเพราะดอกตูมดอกนั้นยังไม่บานเต็มที่
เหตุผลที่สองกลับเป็นเพราะตรงรากของไม้ดอกต้นนั้นมีงูวิญญาณสีทองอร่ามตัวหนึ่งขดพันอยู่ ลำตัวมีความหนาเพียงตะเกียบ ปกคลุมด้วยเกล็ดไฟที่เล็กละเอียด ศีรษะของมันนูนขึ้นรางๆ ราวกับกำลังจะรวมตัวเป็นนอ!
กลิ่นอายของมันรุนแรงและเหี้ยมโหดมาก ดูเหมือนเล็กแต่กลับประหนึ่งเป็นนายเหนือหัวในป่า
มันเองก็ไม่ขยับ กำลังรออยู่เงียบๆ เช่นกัน
“อา หอมมาก!”
ทันใดนั้นในชั้นเมฆแดงเพลิงมีเสียงใสกังวานดังขึ้น
พลันนั้นผู้ฝึกปราณไม่น้อยต่างหรี่ตา แม้แต่งูวิญญาณสีทองอร่ามตัวนั้นยังขดตัวกะทันหัน ท่าทางเหมือนเตรียมพร้อมโจมตี
ทว่าตอนที่เห็นเงาร่างในชั้นเมฆนั่นชัดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกปราณเหล่านั้นหรืองูวิญญาณตัวนั้นล้วนโล่งอก ไม่ได้เคลื่อนไหวในขั้นต่อไป
ในชั้นเมฆนั่นเป็นเด็กสาวงามงดคนหนึ่ง ในมือประคองกระปุกกระเบื้องหนึ่งใบ เมื่อครู่นี้กำลังเก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงในชั้นเมฆ
เป็นเด็กสาวชื่อไฉไฉ่แห่งเผ่าทอเมฆา
เพียงแต่ตอนที่นางเห็นสถานการณ์บนหน้าผา พลันตระหนักได้ถึงความผิดปกติ ตัดสินใจจะจากไป
“หยุด! แม่นางน้อย เจ้ามานี่”
ผู้ฝึกปราณคนหนึ่งตะโกน นี่คือชายหนุ่มที่ใบหน้าเรียวยาวในชุดคลุมสีดำ
“ทำอะไร”
ไฉไฉ่ตื่นตระหนกมาก แม้แต่หน้าผากขาวผ่องยังมีเหงื่อซึมออกมา
“แค่เจ้าเชื่อฟัง ช่วยข้าจัดการเรื่องหนึ่งก็จะปล่อยเจ้าไป”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำพูดพร้อมชี้นิ้วไปที่ไม้ดอกต้นนั้น “โน่น เห็นดอกไม้ดอกนั้นไหม เจ้าไปเด็ดมันมา”
เห็นได้ชัดว่าจะให้ไฉไฉ่ไปตาย!
สามารถคาดการณ์ได้ว่าหากนางเข้าไป อย่าว่าแต่เด็ดดอกไม้เลย แค่ขยับเข้าใกล้ก็จะถูกงูวิญญาณตัวนั้นโจมตีทันที
ทว่านี่ก็คือสิ่งที่ชายหนุ่มชุดคลุมดำอยากเห็น เพียงแค่งูวิญญาณถูกดึงดูด พวกเขาก็จะสามารถฉวยโอกาสเข้าไปชิงดอกไม้ทองแดงที่แปลกประหลาดไร้ที่เปรียบดอกนั้น!
ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ล้วนมองอยู่ห่างๆ ไม่ได้ห้าม
“ข้า…” ไฉไฉ่ยิ่งแตกตื่นขึ้น ใบหน้าซีดเซียว
เนื้อแท้แล้วนางเป็นคนใจดี ตั้งแต่เข้ามาในแดนมกุฎไม่เคยขัดแย้งกับใคร เก็บน้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงอยู่ในชั้นเมฆมาโดยตลอด เคยผ่านเหตุการณ์เช่นนี้เสียที่ไหน
“เร็ว!”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำแค่นเสียงเย็นชา “มิฉะนั้นข้าจะฆ่าเจ้าตอนนี้!”
นี่เป็นเรื่องน่าละอายมาก บังคับให้เด็กสาวคนหนึ่งไปตาย วิธีการต่ำช้าและน่ารังเกียจมาก
แต่ไม่มีใครพูดอะไร
เพื่อช่วงชิงศุภโชคและวาสนา ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ไม่ว่าใครล้วนใจเหี้ยมขึ้นมา ทำได้ทุกอย่าง!
ไฉไฉ่ตกใจน้ำตาแทบจะไหลออกมาแล้ว สั่นเทิ้มไปทั้งตัว นางคิดไม่ถึงเลยว่า เพียงแค่คำพูดประโยคหนึ่งของตนก็นำพามาซึ่งคราวเคราะห์ถึงเพียงนี้
“ข้า… ข้าให้น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงกับพวกเจ้า ปล่อยข้าไปได้หรือไม่” นางพูดด้วยเสียงสะอื้น น้อยเนื้อต่ำใจไร้ที่พึ่งยิ่ง ยื่นกระปุกกระเบื้องในมือออกไปอย่างสั่นๆ
นี่คือความทุ่มเทอย่างยากลำบากของนาง
“ถุย! แค่น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงใครจะอยากได้”
ชายหนุ่มชุดคลุมดำสีหน้าอึมครึมเอ่ยว่า “แม่นางน้อย ให้โอกาสเจ้าครั้งสุดท้าย รีบลงมือ!”
ไฉไฉ่ตกใจจนตัวสั่น กระปุกกระเบื้องในมือร่วงลง ปากกระปุกเอียงตัว น้ำค้างวิญญาณแสงเพลิงด้านในจะสาดกระเซ็นออกมาแล้ว
นี่คือเลือดเนื้อทุกอย่างของนาง เหนื่อยมาครึ่งเดือนกว่าจะเก็บได้มากขนาดนี้ ตอนนี้นางแทบจะทรุดแล้ว
และตอนนี้เอง มือใหญ่ข้างหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศ จับกระปุกกระเบื้องใบนั้นไว้แน่น
——