Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1146 กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะเทพ

ตอนที่ 1146 กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะเทพ

ภายในตำหนักเต็มไปด้วยซากศพเศษชิ้นส่วนทุกแห่งหน เลือดสีสดแสบตา

จู่ๆ ในอากาศก็อัดแน่นด้วยไอสังหารที่ชั่วร้ายและกลิ่นคาวเลือดรุนแรงฉุนจมูก

ภาพนองเลือดแต่ละฉาก ราวกับภาพนรกที่วาดด้วยหมึกดำมากมาย

ส่วนหลินสวิน เจ้าคางคกและอาหลู่ก็ประหนึ่งเทพสังหารสามองค์ที่อยู่ในภาพนรก ห่อหุ้มด้วยคาวเลือดและไอสังหาร ชวนให้อกสั่นขวัญแขวน

“เพราะเหตุใด นี่มันที่บ้าบออะไรกัน!”

อูหลิงเฟยและผู้แข็งแกร่งที่เหลือยังคงคำรามอย่างเดือดดาล แต่ประตูตำหนักไม่ถูกสะเทือนแม้สักนิด

“นี่คือดินแดนแห่งศุภโชคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในแดนเผาเซียน เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับบุคคลไร้เทียมทานคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่า ‘เผาเซียน’ ได้ตายที่นี่พวกเจ้าควรรู้สึกโชคดีอย่างมากถึงจะถูก”

เจ้าคางคกยิ้ม ในดวงตาสีทองกลับเย็นเยียบอย่างที่สุด

เขาไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกือบสิ้นชีพก่อนหน้านี้หรอกนะ!

เผาเซียน?

ใครกล้าเรียกตัวเองว่า ‘เซียน’

สีหน้าของพวกอูหลิงเฟยเปลี่ยนไป แม้แต่หัวใจยังสั่นไหว

กระทั่งหลินสวินกับอาหลู่ยังอึ้งเล็กน้อย เผาเซียนหรือ

สรรพนามนี้เผด็จการอย่างไม่ต้องสงสัย มีพลังที่สะเทือนใจคน!

“ทั้งสามท่าน ครั้งนี้ถือว่าพวกเราโชคร้าย ยินยอมชดเชยอย่างสาสมเพื่อแลกชีวิต ปล่อยพวกข้าไปสักครั้งได้หรือไม่”

ชายคนที่ผิวพรรณเปล่งประกายสีเขียวอ่อน บนแก้มประทับรอยสักดอกไม้อสูรแปลกประหลาดสูดหายใจเข้าลึกๆ ทีหนึ่ง พูดเสียงขรึมขึ้นมา

นี่เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนหนึ่งในเผ่าไพรปฐพี

“เป็นไปไม่ได้!”

เจ้าคางคกปฏิเสธอย่างเด็ดขาด

แม้รู้แต่แรกแล้วว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้ แต่ท่าทางแข็งกระด้างของเจ้าคางคกก็ยังทำให้พวกอูหลิงเฟยหัวใจดิ่งวูบ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็สู้กันให้รู้แล้วรู้รอดเถอะ!”

จู่ๆ ชายเผ่าไพรปฐพีก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ในฝ่ามือปรากฏโคมไฟที่สานจากเถาวัลย์สีเหลืองแปลกประหลาด

ทันทีที่ปรากฏ โคมไฟเถาวัลย์เหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางนี่ก็แผ่กลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์ ในโคมไฟเพลิงศักดิ์สิทธิ์ปกคลุม ราวกับมีเทพไท้ควบคุม!

สมบัติอริยะ!

หลินสวินกับอาหลู่นัยน์ตาหดรัด

แต่เจ้าคางคกกลับยิ้ม มุมปากเผยองศายากจะคาดเดา “เจ้าโง่ ก่อนมาผู้อาวุโสของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่า อริยะไม่อยู่ในแดนมกุฎ”

เขาเอามือไพล่หลัง ดูใจเย็นมาก ในสายตาที่จ้องโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนั่นแฝงความเสียดายและทอดถอนใจเสี้ยวหนึ่ง

แดนมกุฎ ไม่มีอริยะเทพ!

นี่คือกฎเหล็ก

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในที่นั้นล้วนมาจากมหาสำนัก ก่อนมา เป็นไปได้อย่างไรที่จะไม่เคยได้ยิน ‘กฎเหล็ก’ ขั้นสูงเช่นนี้

“จะตายอยู่แล้ว ไม่สู้สักหน่อยจะจำยอมได้อย่างไร”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีสีหน้าเย็นชาและเด็ดเดี่ยว

“งั้นเจ้าสู้เถอะ”

เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ แฝงความสงสารเสี้ยวหนึ่ง

สายตานี้ทำให้ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีทนไม่ไหวทันที เขาส่งเสียงตะโกน จู่ๆ อานุภาพรอบตัวก็ยกระดับขึ้นจนถึงขีดสุด

และในมือเขา โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองที่รูปร่างเหมือนกระถางก็เปล่งแสงสว่างไสว

โครม!

เพลิงศักดิ์สิทธิ์พลุ่งพล่าน โคมไฟอันหนึ่งกลับเหมือนจะจุดประกายฟ้าดินโดยรอบ

พวกอูหลิงเฟยต่างถอยหนี สีหน้าอึมครึมสับสน

ห่างออกไปเจ้าคางคกสุขุมเยือกเย็น เพียงแต่สื่อจิตถึงหลินสวินกับอาหลู่ ‘แดนมกุฎไม่มีอริยะ นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับกลิ่นอายอริยะ เมื่อใช้ล้วนถูกลบล้าง! ในสมัยบรรพกาลเคยเกิดขึ้นไม่ใช่แค่ครั้งเดียว’

ระหว่างที่พูดผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีนั่นโจมตีออกมาแล้ว โคมไฟเถาวัลย์สีเหลืองปลดปล่อยเพลิงศักดิ์สิทธิ์สายหนึ่งออกมา ขับให้สีหน้าของเขาเหี้ยมโหดและดุดันเป็นพิเศษ

แน่อนอนว่าเขาเองก็รู้กฎเหล็กที่ไม่มีอริยะ มิฉะนั้นคงใช้สมบัติอริยะต่อสู้ตั้งนานแล้ว ไม่ใช่รอมาถึงตอนนี้

แต่ตอนนี้เขาจนหนทางแล้ว กลายเป็นหมาจนตรอก ฝากความหวังทั้งหมดบนสมบัติอริยะในมือ ในใจรู้สึกโชคดี

ถ้า… ฆ่าคู่ต่อสู้ได้ล่ะ?

หมาจนตรอกยังกระโดดข้ามกำแพงไปได้อย่างไม่คาดคิด แล้วนับประสาอะไรกับคน

ครืน!

เพียงแต่ไม่นานการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น

ทันทีที่เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นปรากฏ ยังไม่ทันสำแดงอานุภาพศักดิ์สิทธิ์ พลังกฎระเบียบไร้รูปสายหนึ่งก็พลุ่งพล่านขึ้นในอากาศกะทันหัน

ชั่วขณะนั้นทุกคนต่างหยุดหายใจ ในใจหวาดกลัว ทั้งยังมีความรู้สึกอยากจะคุกเข่าลงกราบกับพื้น!

เหตุผลอยู่ที่ว่าพลังกฎระเบียบนี้สูงส่งและไร้เทียมทานเกินไป น่ากลัวอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เผชิญหน้ากับมันก็เหมือนมดตะนอยแหงนมองเทพ!

ฉ่า!

เพลิงศักดิ์สิทธิ์นั่นดับลง

สีหน้าของผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีเปลี่ยนไปอย่างมาก ส่งเสียงคำรามออกมา กระตุ้นโคมไฟเถาวัลย์เหลืองเต็มกำลัง

เพียงแต่ภายใต้การจ้องมองด้วยสายตาตื่นตะลึงของทุกคน สมบัติอริยะที่มีอานุภาพเทียมฟ้าและที่มายิ่งใหญ่ขนาดนี้ กลับสลายไปอย่างไร้สุ้มเสียงเหมือนกระดาษที่แสนเปราะบาง

จากนั้นก็แปรเป็นละอองแสงศักดิ์สิทธิ์งดงาม

สุดท้ายเหมือนมีฝ่ามือใหญ่ไร้รูปข้างหนึ่งลูบในอากาศ ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์ผืนนั้นพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย!

ไม่มีการปะทะที่ดุเดือดสะเทือนฟ้าดิน และไม่มีความเป็นไปได้ที่จะดิ้นรนใดๆ

อยู่เบื้องหน้าพลังกฎระเบียบที่ไร้รูปนั่น สมบัติอริยะที่เพียงพอจะสยบโลกชิ้นหนึ่งได้ถูกทำลายไปเช่นนี้!

ทุกคนหนาวสะท้านไปทั้งร่างราวกับร่วงลงไปอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง

นี่เป็นพลังกฎระเบียบที่ไร้ที่เปรียบและน่ากลัวเพียงใด

นั่นเป็นถึงสมบัติอริยะ!

ถูกลบหายจนหมดจดไปง่ายๆ เช่นนี้ แม้แต่กลิ่นอายและร่องรอยก็ยังไม่หลงเหลือสักเสี้ยว!

“ไม่…!”

ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีส่งเสียงตะโกนอย่างเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกฟ้าผ่า สมบัติอริยะชิ้นหนึ่งถูกทำลาย ทำให้เขารับการกระทบกระเทือนระดับนี้ไม่ไหว ในปากพลันกระอักเลือดออกมาทันใด เงาร่างโซซัดโซเซคล้ายจะร่วงลงมา

สมบัติอริยะ!

นี่ปกติเสียที่ไหน

“เจ้าโง่ ผู้ใหญ่ตระกูลเจ้าอนุญาตให้เจ้าเอาสมบัตินี้เข้ามายังแดงมกุฎ ก็คงต้องเคยเตือนเจ้าว่า อนุญาตให้เจ้าใช้สมบัตินี้ในการเก็บวัตถุดิบเทพและวาสนาเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดมากว่าความโง่ของเจ้าทำให้สมบัติอริยะชิ้นนี้ถูกทำลายแล้ว!”

น้ำเสียงของเจ้าคางคกแฝงความเย้ยหยันและมีความปวดใจอย่างหนึ่ง เขาจำที่มาของโคมไฟเถาวัลย์เหลืองนี้ได้ พอเห็นว่าสมบัติอริยะระดับนี้ถูกทำลายเขาเองก็เสียดาย

ฟุ่บ!

ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีกระอักเลือดคำใหญ่ ใบหน้าซีดเซียว สายตายังมืดมนไร้ประกาย

“ในเมื่อเจ้ารู้เรื่องนี้แต่แรก เหตุใดจึงไม่เตือนข้ากับพี่ใหญ่” อาหลู่เดือดดาล

เจ้าคางคกพูดอย่างไม่เข้าใจ “ก่อนจะเข้ามาในแดนมกุฎข้าบอกพวกเจ้าหมดแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็จะใช้สมบัติอริยะไม่ได้เด็ดขาด!”

หลินสวินพยักหน้า เขาก็จำเรื่องนี้ได้

ถึงขั้นที่ยังจำได้ว่า เจ้าคางคกเคยบอกว่าในการแย่งชิงอำนาจของแดนมกุฎ น้อยมากที่จะมีคนเอาสมบัติอริยะเข้าไป

เพราะหากคนตายไปแล้ว สมบัติอริยะที่ทิ้งเอาไว้ก็จะถูกทำลาย!

ตอนนั้นหลินสวินยังคิดจะซ่อนเจดีย์สมบัติไร้อักษร ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต และยานขนส่งอวกาศซ่อนไว้ในโลกภายนอก

แต่หลังจากนั้นพอคิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น

ถึงอย่างไรหากเขาตายในแดนมกุฎ สมบัติอริยะเหล่านี้หากไม่ถูกฝัง ก็คงถูกผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ มาเจอเข้าแล้วครอบครอง เป็นการทำให้คนอื่นได้เปรียบไปเปล่าๆ

และตอนนี้เห็นว่าโคมไฟเถาวัลย์เหลืองถูกทำลาย ก็ทำให้หลินสวินยิ่งตระหนักได้ถึงความน่ากลัวของกฎเหล็กที่ว่า ‘ไม่มีอริยะ’

สิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ผู้แข็งแกร่งเผ่าไพรปฐพีราวกับรับความกระทบกระเทือนนี้ไม่ไหว ตอนนี้ได้บ้าคลั่งอย่างสิ้นเชิง สติแตกไปแล้ว!

พรูด!

สุดท้ายเขาแหงนหน้าขึ้นกระอักเลือดคำหนึ่ง จากนั้นเบิกตากลมโต ล้มหงายหลังลงพื้น สิ้นลมอย่างสิ้นเชิง

“โกรธจนตายไปเองหรือ” อาหลู่แปลกใจ

“จิตมรรคของเขาพังทลายแล้ว คิดๆ แล้วก็จริง เผชิญกับความสิ้นหวังเช่นนี้ ง่ายต่อการกระทบกระเทือนจิตใจมากอยู่แล้ว ตอนนี้สมบัติอริยะยังถูกทำลาย ถือว่าหมดหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว เพียงแต่… ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่จะรับความกระทบกระเทือนไม่ได้ขนาดนี้”

เจ้าคางคกพูดอย่างสบายๆ “สภาพจิตใจเช่นนี้ แม้มีชีวิตอยู่ก็ไม่มีทางกลายเป็นราชันในแดนมกุฎได้”

“หยุดพูดไร้สาระ จัดการเจ้าพวกนี้ก่อนค่อยว่า”

แม้จะสนทนากันหลินสวินก็ไม่ได้ผ่อนความระแวดระวังลง ยิ่งเวลาเช่นนี้ยิ่งอันตราย ต้องระวังการโต้ตอบก่อนตายของอีกฝ่าย

ตูม!

ราวกับเป็นการยืนยันการคาดเดาของหลินสวิน เขาพูดยังไม่ทันจบอูหลิงเฟยก็โจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว

เขาแปลงเป็นอีกาทองตัวหนึ่ง ปีกแผ่เปลวเพลิงสีทองที่สว่างไสวท่วมฟ้า พุ่งสังหารเข้ามาทางหลินสวิน

เปลวเพลิงที่ลุกโชนอย่างรุนแรงราวกับจะเผาไหม้ทุกอย่าง!

มองจากระยะไกลเหมือนสุริยันสีทองดวงหนึ่งลุกไหม้ขึ้นในชั่วขณะนี้

นี่เป็นการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุดของอูหลิงเฟยอย่างไม่ต้องสงสัย มีความเด็ดเดี่ยวและเหี้ยมโหดที่หมายจะเผาผลาญให้ตายไปพร้อมกัน ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น

ที่น่าเสียดายคือหลินสวินระวังตัวอยู่ก่อนแล้ว ย่อมไม่มีทางทำให้เขาสมปรารถนา!

ฉัวะ!

ดาบหักที่สั่งสมพลังมานานแล้วโฉบพุ่งออกมา กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้กวาดออกไป ราวกับการเปลี่ยนแปลงมหามรรคลงมาเยือน อ้างว้างเปล่าเปลี่ยวไม่อาจคาดเดา

ฮูม

เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น อีกาทองที่ยังไม่เคยสังหารมาก็ถูกเฉือนปีกข้างหนึ่ง ฝนเลือดสาดกระเซ็น

อาหลู่ที่อยู่ข้างๆ กวัดแกว่งกระบองเหล็กยักษ์ ฉวยโอกาสนี้กระแทกศีรษะของอีกาทองจนแหลก

องค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทอง สัตว์ประหลาดยุคโบราณที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานได้จบชีวิตลงเช่นนี้!

“ฆ่า!”

คนอื่นๆ แม้จะหมดหวังแต่ไม่ว่าใครก็ไม่ยอมนอนรอความตาย ส่งเสียงตะโกนพร้อมพุ่งปราดขึ้นมา

เพียงแต่นี่ถูกกำหนดให้เป็นเรื่องไร้ประโยชน์

ฟุ่บ!

ชายในชุดคลุมเงินถูกหลินสวินชิงสังหารไปก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย ร่างกายถูกเฉือนเป็นสองท่อนล้มลงบนพื้น เลือดสดไหลพรู

ร่างเดิมของเขาปรากฏออกมา เป็นนกเสวียนสีเงินตัวหนึ่ง

และในเวลาเดียวกันอีกด้านมีเสียงกึกก้องไม่หยุด เจ้าคางคกและอาหลู่ต่างกำลังสำแดงฤทธิ์เดช ทั้งสองร่วมมือกัน มีท่าทีว่าจะกวาดล้างทุกอย่าง

ไม่นานก็มีคู่ต่อสู้อีกคนถูกฆ่า ร่างกายถูกตีจนระเบิด ฝนเลือดปลิวว่อน

ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน เจ้าคางคก หรืออาหลู่ ล้วนไม่มีทางออมมือ

ก่อนหน้านี้พวกเขาถูกปิดล้อมโจมตี สถานการณ์อันตรายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง วนเวียนอยู่ระหว่างความเป็นความตาย สั่งสมความแค้นจนเต็มอกมานานแล้ว จะยอมออมมือได้อย่างไร

เพียงแค่ชั่วขณะห้าคนที่เหลือก็ถูกพวกหลินสวินร่วมแรงกันโจมตีสังหาร เลือดกระเด็นเต็มพื้น ก่อนตายแต่ละคนล้วนแฝงความไม่จำยอมอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

แต่นี่ยังไม่จบ!

ในการต่อสู้ก่อนหน้านี้ยังมีคู่ต่อสู้จำนวนไม่น้อยถูกโจมตีจนหมดสติไป สูญเสียพลังต่อสู้แต่กลับยังไม่ตาย

ไม่รอหลินสวินออกคำสั่ง อาหลู่และเจ้าคางคกก็เคลื่อนไหวตรวจสอบสนามรบ สังหารคู่ต่อสู้ที่ยังเหลือรอดเหล่านั้น

หลินสวินมองทุกอย่างด้วยสายตานิ่งสงบ ไม่ได้เข้าไปแทรกแซง

เขารู้ว่าอาหลู่และเจ้าคางคกต้องการระบาย ก่อนหน้านี้ทั้งสองถูกปิดล้อม เผชิญกับความสิ้นหวัง ในใจสั่งสมความเคียดแค้นไม่น้อย

และพอเห็นเลือดที่นองเต็มพื้น ในใจหลินสวินเองก็มีความรู้สึกแปลกๆ เล็กน้อย

ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้ามาในตำหนักเพลิงเทพนี้ ล้วนก้าวเดินบนมกุฎมรรคาแล้ว ถูกขุมอำนาจที่อยู่เบื้องหลังของแต่ละคนฝากความหวังเอาไว้ มีความหวังที่จะทะลวงสู่ขอบเขตมกุฎระดับราชัน

ในโลกภายนอกพวกเขาล้วนเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะเทือนฝั่งหนึ่งอย่างไม่มีข้อยกเว้น แต่ด้วยการตายของพวกเขา ทุกอย่างที่มีก่อนตายล้วนถูกกำหนดให้ไม่คงอยู่

นี่ก็คือการต่อสู้มหามรรค โหดร้ายมาก!

หลินสวินรู้ดี หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่ถูกฆ่าวันนี้ ไม่ว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่จะมีชื่อเสียงและความหวังมากเพียงใด ตายไปก็ต้องมลายหายไปทั้งหมด

เรื่องในทำนองนี้ ในอนาคตจะยังเกิดขึ้นอีก!

……………………….

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท