Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1154 จังหวะสุดท้าย

ตอนที่ 1154 จังหวะสุดท้าย

แตกต่างจากการเข้าออกเมืองเผาเซียนก่อนหน้านี้จริงๆ

หน้าประตูเมืองมีผู้ฝึกปราณจากขุมอำนาจสำนักเฝ้าอยู่ มีเพียงผู้ฝึกปราณที่มาจากขุมอำนาจสำนักเดียวกันจึงสามารถเข้าออกได้อย่างอิสระ

ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ก็ทำได้เพียงเข้าแถวอยู่หน้าเมือง อยากจะเข้าเมืองก็ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่

นี่คือกฎ

กฎนี้ขุมอำนาจใหญ่หลายสายร่วมกันตั้งขึ้น ใครกล้าละเมิดก็จะขัดแย้งกับขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้น!

นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณที่มาจากสำนักทั่วไปรู้สึกอึดอัด

แต่ช่วยไม่ได้ เพื่อแสวงหาวาสนา พวกเขาจำต้องออกจากเมือง และถ้าออกจากเมืองก็จะต้องเข้าเมือง

เผชิญกับกฎที่เผด็จการอย่างที่สุดเช่นนี้ พวกเขาก็ทำได้เพียงบีบจมูกทน

“เข้าแถว เร็วหน่อย!”

หน้าประตูเมือง ชายที่ไว้หนวดเคราคนหนึ่งตะโกน

นี่คือระดับกึ่งราชันคนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าอายุมากแล้ว มาจากเขาวิญญาณหมื่นอสูร นามว่าหลูเหิง

คนอย่างเขาเข้ามาในแดนมกุฎ แน่นอนว่าไม่ใช่เพื่อยกระดับมรรคา ทำได้เพียงแต่เป็นผู้ตักตวงทรัพยากรในการฝึกปราณให้สำนักก็เท่านั้น

เหนือกำแพงเมือง ชายชุดคลุมเทาคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเกียจคร้าน ดูอ่อนวัยมาก แต่บนร่างกายกลับแผ่อานุภาพระดับราชันที่น่ากลัวออกมา

นี่คือราชันคนใหม่!

เขานามว่าอูหยวนเจิ้น มาจากเผ่าอีกาทอง แต่เดิมก็เป็นผู้แข็งแกร่งขอบเขตมกุฎอยู่แล้ว เมื่อสามเดือนก่อนเพราะควบคุมมรรควิถีในตัวไม่ได้ จึงถูกบีบให้ทะลวงระดับ

ไม่คิดว่าเขากลับบรรลุระดับสังสารวัฏอย่างราบรื่น กลายเป็นราชันรุ่นเยาว์คนหนึ่ง

ในบริเวณที่ห่างจากอูหยวนเจิ้นไม่มากนัก หญิงชุดเขียวคนหนึ่งสายตาราวกับคมดาบ กวาดมองกลุ่มคนที่อยู่ด้านล่าง แต่ทุกคนที่ถูกสายตาของนางกวาดผ่านต่างแข็งทื่อไปทั้งตัว สัมผัสได้ถึงความรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

หญิงชุดเขียวคนนี้ก็เป็นบุคคลระดับราชันเช่นกัน นามว่าเมี่ยวเฉิน มาจากสำนักยุทธ์นครนิล เป็นศิษย์น้องร่วมสำนักกับเทพธิดาหลิงหวาที่ตายในมือหลินสวิน

เพียงแต่ตอนนี้เมี่ยวเฉินกลายเป็นราชันที่แท้จริงแล้ว ฐานะแตกต่างจากเมื่อก่อน

นอกจากอูหยวนเจิ้นกับเมี่ยวเฉิน ด้านล่างกำแพงเมืองตรงสองข้างประตูยังมีผู้ชายอยู่ด้านละคน

ด้านซ้ายคือชายหนุ่มชุดเหลืองที่กอดกระบี่ยาวไว้ในอกยืนพิงอยู่กำแพง รูปร่างสูงโปร่ง สีหน้าเย็นชาเรียบเฉย

เขานามว่าซางชง มาจากเผ่าวิญญาณสมุทร

ด้านขวาคือชายเย็นชารูปร่างกำยำ กำลังก้มหน้าตั้งใจเช็ดดาบศึกอยู่

เขานามว่าหวังอวิ๋นทง มาจากลัทธิบูชาจันทร์แห่งแดนเร้นอริยะ เดิมก็เป็นบุคคลขอบเขตมกุฎเช่นกัน เป็นศิษย์พี่ของเลี่ยอวิ๋นไห่ที่ตายในมือหลินสวิน

ไม่ว่าจะเป็นซางชงจากเผ่าวิญญาณสมุทรหรือหวังอวิ๋นทงจากลัทธิบูชาจันทร์ ล้วนบรรลุระดับราชันแล้ว!

ราชันรุ่นเยาว์สี่คนควบคุมอยู่ทั้งบนและล่างของประตูเมือง พลังระดับนี้ทำให้เหล่าผู้ฝึกปราณที่เข้าแถวอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน

อย่าว่าแต่ขัดคำสั่งเลย แม้ความคิดจะต่อต้านยังไม่กล้ามี!

หลินสวินเองก็เข้าแถวอยู่ และตอนที่เข้าแถวก็ได้สังเกตเห็นอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน ซางชงและหวังอวิ๋นทงแล้ว

ด้านบนของประตูเมืองยังมีรูปประกาศจับรูปหนึ่งติดอยู่

แวบเดียวหลินสวินก็ดูออกว่า เค้าโครงรูปลักษณ์ของรูปประกาศจับที่ร่างออกมาก็คือตน!

เห็นได้ชัดว่าหมายจับนี้ติดมานานแล้ว และรางวัลนำจับคือโอสถราชันสามต้น

หลินสวินเหลือบมองแวบหนึ่งก็เก็บสายตา

ในใจเขากลับปรากฏไอสังหารที่ไม่อาจยับยั้งได้

เห็นได้ชัดว่าเหล่าขุมอำนาจใหญ่ที่เคยถูกตนจัดการล้วนอดไม่ไหวแล้ว กำลังตามหาเบาะแสของตนอย่างบ้าคลั่ง

และที่พวกเขากล้าเหิมเกริมไม่กลัวฟ้าดินเช่นนี้ ก็เพราะมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันเป็นกำลังหลัก!

‘เข้าเมืองไปก่อน!’

หลินสวินสูดหายใจเข้าลึกๆ สกัดกั้นไอสังหารในใจไว้

เมืองโบราณเผาเซียนปกคลุมด้วยพลังต้องห้ามตามธรรมชาติ สามารถกำราบผู้แข็งแกร่งระดับราชัน ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าเมืองได้

มิฉะนั้นราชันที่มาจากขุมอำนาจใหญ่อย่างอูหยวนเจิ้น เมี่ยวเฉิน หวังอวิ๋นทงและซางชง จะลดตัวลงมาเฝ้าอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร

“เอาสมบัติที่เก็บอยู่ในตัวเจ้าออกมา!”

ไม่นานก็ถึงตาหลินสวิน ชายหน้าหนวดหลูเหิงพูดด้วยสีหน้าหงุดหงิด “จำไว้ หากกล้าซ่อนละก็ ที่นี่ก็จะเป็นสุสานฝังกระดูกเจ้า!”

ว่าแล้วเขาก็หยิบคันฉ่องสมบัติสำริดบานหนึ่งออกมา เริ่มกวาดขึ้นลงบนตัวหลินสวิน

นี่คือสมบัติประหลาดชิ้นหนึ่ง สามารถทำให้สมบัติทุกอย่างในตัวผู้ฝึกปราณไม่สามารถอำพรางได้

แน่นอนว่าสมบัติพลิกฟ้าบางอย่างไม่สามารถถูกตรวจค้นได้ อย่างเช่นเจดีย์สมบัติไร้อักษรและห้องโถงมรรคาสวรรค์ในห้วงนิมิตของหลินสวิน

ไม่นานหลูเหิงก็เก็บคันฉ่องสมบัติสำริด

ในเวลาเดียวกันหลินสวินเองก็หยิบแหวนเก็บของที่เตรียมเอาไว้นานแล้วออกมาอย่างให้ความร่วมมือ

หลูเหิงตรวจดูคร่าวๆ พบว่ามีแค่พวกวัตถุดิบวิญญาณทั่วไปที่ไม่เข้าตา ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าอย่างไม่อภิรมย์ “ซวยจริงๆ เลย เจอคนจนอีกคนแล้ว รีบไสหัวไป!”

หลินสวินเลิกคิ้ว เหลือบมองหลูเหิงแวบหนึ่ง ในใจได้ตัดสินโทษตายอีกฝ่ายแล้ว

ทว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาถือสา เขาข่มกลั้นอารมณ์นั้นไว้ ตรงเข้าประตูเมืองไป

แต่ตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงตะโกนหนึ่งก็ดังขึ้น…

“ช้าก่อน!”

เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าหลินสวิน

นี่เป็นชายหนุ่มชุดคลุมดำที่นัยน์ตาแดงก่ำ แผ่กลิ่นอายคาวเลือดไปทั่วทั้งตัว

เขาเหมือนพบเหยื่อ ตื่นเต้นอย่างที่สุด กรีดร้องเสียงแตกพร่า “เทพมารหลิน! เร็ว! เจ้าหมอนี่คือเทพมารหลิน!”

ตอนแรกเพราะเสียงตะโกนของชายหนุ่มคนนี้ ทำให้ทุกคนบริเวณรอบๆ ต่างประหลาดใจ ในใจสั่นสะท้าน แม้แต่ราชันทั้งสี่ที่กระจายอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันยังตกใจ เคลื่อนสายตาไปมอง

แต่ตอนได้ยินเสียงกรีดร้องแหบพร่าที่แฝงความตื่นเต้นของชายหนุ่มชุดคลุมดำ บรรยากาศทั่วทั้งลานพลันเปลี่ยนไป

สารเลวเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬ!

ขณะเดียวกันในที่สุดหลินสวินก็เดาฐานะของชายหนุ่มชุดคลุมดำคนนี้ออกแล้ว ในใจชิงชังนัก จะเข้าเมืองอยู่แล้ว กลับถูกเจ้าหมอนี่ทำลาย จะให้หลินสวินทนได้อย่างไร

แทบจะเป็นตอนที่เสียงกรีดร้องของอีกฝ่ายจบลง หลินสวินก็ออกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว

โครม!

ชายหนุ่มชุดคลุมดำยังคงตื่นเต้นและย่ามใจ ไหนเลยจะคิดว่าจู่ๆ ภาพตรงหน้าพลันพร่าเบลอ ลำคอถูกจับกุม จากนั้นถูกบีบจนหักดังแกร๊ก สิ้นชีพคาที่

ส่วนหลินสวินกลับไม่คิดจะหยุด พุ่งไปทางประตูเมือง สำแดงก้าวย่างชือน้ำแข็งออกมาเต็มกำลัง!

“อยากไปหรือ ไม่มีทาง!”

ต้องยอมรับว่าการตอบสนองของผู้แข็งแกร่งระดับราชันน่ากลัวเกินไป ตอนที่หลินสวินลงมือ เงาร่างหนึ่งได้ลงมาจากฟ้าแล้ว

เป็นอูหยวนเจิ้นจากเผ่าอีกาทอง เขาแผ่แสงทองที่สว่างไสวทั่วทั้งตัว พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วเหลือเชื่อราวกับเคลื่อนย้ายในชั่วพริบตา

และตอนที่พุ่งออกมา ก็ยื่นแขนไปคว้าตัวหลินสวินกลางอากาศแล้ว

โครม!

มือใหญ่สีทองอร่ามควบรวม มีพลังมรรคราชันแสบตารัดพันอยู่ ทำให้อากาศบริเวณรอบๆ ประตูเมืองระเบิด สภาพการณ์น่ากลัว

ผู้ฝึกปราณหลายคนอยู่บริเวณนั้นพอดี แต่เขากลับไม่สนใจสักนิด การคว้าจับนี้ยังไม่ทันมาถึง ก็มีผู้ฝึกปราณที่เป็นผู้บริสุทธิ์หลายคนหนีไม่ทัน ร่างกายแตกสลายกะทันหัน ฝนโลหิตสาดกระเซ็น

ปัง!

หลินสวินไม่ได้หันกลับไป สำแดงปะทะฟู่ซี่ออกมาเต็มกำลัง ภาพมายาของสัตว์เทพฟู่ซี่ปรากฏขึ้น

เพียงแต่ยังไม่สามารถต้านทานได้ก็ถูกมือใหญ่สีทองนั่นตบจนแหลกละเอียด แล้วกระแทกใส่หลังหลินสวินโดยที่อานุภาพไม่ลดลงสักนิด

เห็นอยู่ว่าเขากำลังจะถูกฝ่ามือใหญ่คว้าตัวเอาไว้ เงาร่างพลันพุ่งปราดออกไป แสงมรรคสว่างไสวไปทั่วทั้งตัว ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าใหญ่ หลีกหนีไปได้อย่างหวุดหวิดอีกครั้ง

โครม!

มือใหญ่สีทองนั่นกระแทกลงมาจนพื้นดินสะเทือน แยกเป็นร่องลึกที่น่าหวาดหวั่น ฝุ่นควันคละคลุ้ง

และตอนนี้เองหลินสวินห่างจากประตูเมืองไม่ถึงสิบจั้งแล้ว

ถ้าเป็นปกติ ระยะห่างเพียงเท่านี้ชั่วพริบตาก็ไปถึงแล้ว

แต่ตอนนี้ระยะห่างสิบจั้งนี้กลับเหมือนเส้นแห่งความเป็นความตายหน้าประตูผี เต็มไปด้วยไอสังหารยิ่งใหญ่

ฉัวะ!

ปราณกระบี่สีดำบาดตาโฉบมา แทงใส่หลินสวินที่พุ่งเข้ามา

นี่เป็นการลงมือของเมี่ยวเฉินแห่งสำนักยุทธ์นครนิล ทั้งยังชิงลงมือตั้งแต่ตอนที่หลินสวินหนีจากฝ่ามือของอูหยวนเจิ้นอย่างหวุดหวิดแล้ว

ปราณกระบี่สายหนึ่ง รุนแรงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ เผยอานุภาพอันน่ากลัวของราชันคนหนึ่งออกมาอย่างเต็มที่

นอกจากถอย ก็ไม่สามารถต้านทานได้เลยจริงๆ!

แทบจะในเวลาเดียวกัน ซางชงแห่งเผ่าวิญญาณสมุทร หวังอวิ๋นทงแห่งลัทธิบูชาจันทร์ต่างพุ่งมา ล้อมหลินสวินจากด้านหลัง

การกระทำทั้งหมดนี้จบลงแทบจะในชั่วพริบตา

ผู้แข็งแกร่งระดับราชันรุ่นเยาว์สี่คนเผยประสบการณ์ต่อสู้ที่เผ็ดร้อนอย่างที่สุดออกมาในตอนนี้ ปิดกั้นประตูเมืองฝั่งนี้ไว้แน่นหนา

ส่วนผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ ที่อยู่ในเหตุการณ์ เพราะการเปลี่ยนแปลงในที่นั้นเกิดขึ้นไวเกินไป ทำให้คนส่วนใหญ่ตอบสนองไม่ทัน!

สถานการณ์อันตรายอย่างมาก!

นี่คือเหตุการณ์ที่จะต้องตายสถานเดียว!

ระดับราชันสี่คน สุ่มเลือกคนใดคนหนึ่งออกมา ก็ล้วนเพียงพอจะกำราบผู้แข็งแกร่งที่ต่ำกว่าระดับราชันทุกคนได้ แม้จะเป็นผู้กล้าขอบเขตมกุฎก็ไม่มีพลังพอจะสู้กับพวกเขา

เพราะระดับราชันอยู่เหนือระดับปราณใหญ่ทั้งห้าแล้ว!

หากอยู่ในโลกภายนอก หลินสวินสามารถใช้เจดีย์สมบัติไร้อักษร และสามารถใช้ขวดมหามรรคไร้ขอบเขต ถึงขั้นที่สามารถเรียกใช้ยานขนส่งอวกาศเพื่อหนีเอาตัวรอดได้

แต่ที่นี่คือแดนมกุฎ มีกฎระเบียบอริยะไม่คงอยู่เป็นข้อจำกัด การใช้สมบัติอริยะมีแต่จะทำให้หลินสวินตายไวขึ้น!

เวลาเหมือนจะช้าลง

ผู้แข็งแกร่งสี่คนสีหน้าเรียบเฉยเย็นชา มั่นใจในชัยชนะ ที่พวกเขาเฝ้าอยู่ตรงนี้ก็เพื่อรอคอยโอกาสเช่นนี้!

ตอนนี้โอกาสมาถึงแล้ว แน่นอนว่าพวกเขาไม่มีทางทนเห็นหลินสวินหนีไปได้แน่

อีกอย่างพวกเขาย่ามใจมาก เพราะอยู่ในระดับราชัน ทำให้พวกเขาไม่เหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไปแล้ว ก่อนหน้านี้อาจจะหวาดกลัวหลินสวินมาก

แต่ตอนนี้ในสายตาพวกเขาหลินสวินเป็นแค่หนอนตัวเล็กๆ เท่านั้น สามารถบี้ให้ตายได้ตามอำเภอใจ!

และในช่วงสำคัญนี้ หลินสวินได้ตัดสินใจทำสิ่งที่เหนือความคาดหมายของทุกคน

เงาร่างของหลินสวินไม่เคยถอยหนี กลับใช้ความเร็วที่ไวกว่ารับปราณกระบี่สีดำที่แทงสังหารเข้ามา!

พรูด!

ปราณกระบี่ทะลวงผ่านหน้าอกไป นำพาเลือดสีแดงสายหนึ่งออกมา

ส่วนหลินสวินก็พุ่งตัวไปข้างหน้าแล้ว

เมี่ยวเฉินที่ขวางอยู่ด้านหน้าทำอะไรไม่ถูก ทว่าปฏิกิริยาของนางไม่ช้าเลยสักนิด จะฟันออกไปอีกกระบี่ตามจิตใต้สำนึก

แต่ไม่รอให้ได้ลงมือ พลังจิตของนางก็เจ็บแปลบขึ้นมาอย่างรุนแรงราวกับถูกดาบคมฟันใส่ ภาพตรงหน้าพร่ามัวขึ้นมา

และตอนนี้เองหลินสวินก็คว้าโอกาสไว้ ใช้ความเร็วที่แทบจะสุดชีวิตพุ่งเข้าประตูเมืองนั่นไป!

ครืนโครม!

หน้าประตูเมือง การโจมตีของราชันสี่คนจบลง หมอกควันคละคลุ้ง ประกายศักดิ์สิทธิ์สั่นไหว คลื่นกระทบที่น่ากลัวแผ่กระจายออกมา ราวกับภูเขาถล่มสมุทรกระหน่ำ สถานการณ์น่ากลัวอย่างที่สุด

สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากหลินสวินช้าเพียงนิดจะต้องถูกสังหารคาที่แน่!

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นไวเกินไป ความเป็นความตายตัดสินในชั่วพริบตา ถ้าเป็นบุคคลขอบเขตมกุฎคนอื่น ในสถานการณ์ที่จนตรอกเช่นนี้ กลัวว่าคงมีน้อยมากที่จะสามารถคลี่คลายเคราะห์แห่งการทำลายล้างขั้นสุดเช่นนี้ได้เหมือนอย่างหลินสวิน

แม้แต่หลินสวินเอง ตอนนี้ยังตกใจจนเหงื่อท่วมตัว!

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท