คนผู้นั้นดวงตากระจ่างฟันงาม เพริศแพร้วผุดผ่อง ดูแล้วอายุราวสิบห้าสิบหกปี ยืนอย่างน่ามองอยู่บนบันไดหิน
ดวงตาโตมีชีวิตชีวาของนางกะพริบน้อยๆ พูดกับตัวเองว่า “เหตุใดถึงรู้สึกคุ้นๆ”
จากนั้นนางก็ตบหน้าผากคล้ายตระหนักได้โดยพลัน “ที่แท้ก็เป็นพี่ชายคนนั้น”
นางจึงไม่เดินหน้าต่อไปอีก นั่งยองอยู่บนบันไดหิน มือทั้งสองเท้าคางน้อยๆ รอคอยอยู่เงียบๆ
ไม่นานนักเงาร่างของหลินสวินก็ปรากฏขึ้น ตอนแรกในดวงตาของนางฉายแววประหลาดใจ คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้รวดเร็วปานนี้
จากนั้นก็ยิ้มระรื่นโบกไม้โบกมือ “พี่ชาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
ในขณะเดียวกันหลินสวินก็อึ้งไป ชื่อเหยาหรือ
เด็กสาวผู้นั้นยิ้มหวาน ผมยาวสลวยสีแดงเพลิงเกล้าขึ้นเป็นมวยปักด้วยกิ่งไม้กิ่งหนึ่ง ผิวกายละเอียดรนวลเนียนถูกห่อหุ้มด้วยใบไม้สีแดงเพลิงยักษ์ใบหนึ่ง เผยน่องเปล่งปลั่งอมชมพูและเท้าเปลือยเปล่าขาวโพลน
ที่ข้อเท้าขาวราวหิมะของนางมีสายโซ่สีดำแปลกประหลาดเส้นหนึ่งพันธนาการไว้
ส่วนบริเวณหว่างคิ้วก็มีลายเพลิงพิสดารสายหนึ่ง
เป็นชื่อเหยา ‘แม่นางกินยา’ ที่เจ้าคางคกเคยเรียกนั่นเอง
หญิงผู้นี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก!
ในกาลเวลาอันยาวนานไร้ที่สิ้นสุด นางจำศีลเก็บตัวที่ต้นไม้เทพแสงชาด ยามปรากฏกายก็ชักนำอสนีเคราะห์ทำลายพันธนาการ น่าสะท้านขวัญถึงที่สุด
“ที่แท้ก็เป็นแม่นางชื่อเหยา”
หลินสวินกลับมาสงบนิ่ง หญิงผู้นี้เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ยากหยั่งถึงอย่างยิ่งผู้หนึ่ง ดูเหมือนงดงามผุดผาด แต่ความจริงแล้วตัวนางดูพิสดารไปหมด
“พี่ชาย เจ้าก็คือเทพมารหลินสินะ หาไม่แล้วข้าก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่าในแดนเผาเซียนแห่งนี้ จะมีใครที่ยังเป็นผู้แข็งแกร่งที่ฝ่าขึ้นบันไดสวรรค์เป็นร้อยขั้นในทีเดียวได้อย่างเจ้า”
ชื่อเหยายิ้มละไม กลิ่นอายดุจกล้วยไม้ ดวงตามีชีวิตชีวาทรงเสน่ห์ น้ำเสียงกังวานใส
หลินสวินพยักหน้า ไม่ได้มีความจำเป็นต้องปกปิด
คราวนี้ชื่อเหยาลุกขึ้นยืดเอวบอบบางที่มือเดียวโอบรอบได้ แล้วจึงพูดเสียงใสว่า “พี่ชาย ที่จริงตอนที่ข้าเจอเจ้าครั้งแรกก็อยากเจรจากับเจ้าตามลำพังเสียหน่อย แต่ตอนนี้ก็ยังไม่สาย”
หลินสวินประหลาดใจ “เจรจาเรื่องอะไร”
ชื่อเหยายิ้มละไมพูดว่า “เจรจาค้าขาย ถ้าข้าเดาไม่ผิด พี่ชายน่าจะมีไม้โพธิ์ที่ถูกพลังพิฆาตมรรคโจมตีอยู่ในมือท่อนหนึ่งใช่หรือไม่”
หลินสวินอึ้งไป ดูเหมือนเยือกเย็น แต่ความจริงแล้วในใจออกจะสั่นสะท้าน
เขามีไม้โพธิ์ไหม้ดำท่อนหนึ่งอยู่ในมือจริงๆ เป็นสิ่งที่ได้มาจากซากอารามที่อริยะตู้จี้ทิ้งไว้
ในไม้โพธิ์นี้ยังมีพลังพิสดารสีทองผนึกไว้ ลึกลับและแปลกประหลาดถึงที่สุด คงเป็นพลังพิฆาตมรรคอย่างไม่ต้องสงสัย
เพียงแต่หลินสวินกลับคิดไม่ถึง ว่าชื่อเหยาผู้นี้ล่วงรู้ว่าเขามีสิ่งนี้อยู่กับตัวได้อย่างไร
“พี่ชาย เจ้าอย่าคิดมากเลย สาเหตุที่รับรู้ถึงไม้โพธิ์ได้ก็เพราะสัญชาตญาณที่เป็นพรสวรรค์ของสายเลือดข้า”
ดวงตากระจ่างของชื่อเหยาเจือแววประหลาด ยิ้มละไม
แต่ในใจหลินสวินกลับไม่อาจสงบได้ดังเดิม ชื่อเหยาผู้นี้มีที่มาที่ไปอย่างไรกันแน่ เหตุใดถึงมีสัญชาตญาณพรสวรรค์ที่อัศจรรย์และน่าตกใจเช่นนี้
“พูดเช่นนี้ เจ้าจับตามองข้าตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้วหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
ชื่อเหยากะพริบตาดวงโตทรงเสน่ห์ แล้วพยักหน้าพูดว่า “ก็ใช่น่ะสิ ไม้โพธิ์มีประโยชน์กับข้าอย่างยิ่ง หากเป็นไปได้ ข้าต้องชิงมาครองให้ได้”
เสียงใสกังวาน น้ำเสียงผ่อนคลาย แต่กลับเจือไปด้วยความแน่วแน่
ทันใดนั้นนางก็ยิ้มอีก แล้วชี้ไปที่สายโซ่ประหลาดสีดำที่ข้อเท้าของตน เอ่ยว่า “หากพี่ชายยอมสละไม้โพธิ์ให้ ข้าก็ยินดีจะใช้สมบัตินี้แลกเปลี่ยนกับเจ้า”
หลินสวินใจสะท้านอีกครั้ง
เขาไม่ได้ลืมที่เจ้าคางคกพูดไว้ ว่าสายโซ่นี้เป็นสมบัติอริยะที่น่าพรั่นพรึงถึงที่สุดชิ้นหนึ่ง ที่มาที่ไปไม่ธรรมดายิ่งนัก!
ในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ สายโซ่เส้นนี้หนาประมาณนิ้วก้อย สีดำสนิทโปร่งใส พันอยู่บนข้อเท้าขาวโพลนทั้งสองข้าง เต็มไปกลิ่นอายมรณะน่าหวาดหวั่นสายแล้วสายเล่า
กลิ่นอายมรณะเหล่านี้กลับแปรสภาพเป็นลายมรรคอัศจรรย์และบิดเบี้ยว ประทับแน่นอยู่ทุกกระเบียดของสายโซ่
ไม่ว่าใครเห็นเข้าคงถูกดึงดูด แล้วจากนั้นก็หวาดหวั่นเพราะมัน!
ทว่าที่ทำให้หลินสวินไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริงก็คือ ชื่อเหยาถึงกับเอาสมบัติอริยะที่แปลกประหลาดน่าหวั่นกลัวเช่นนี้มาแลกเปลี่ยนกับไม้โพธิ์ นี่ทำให้หลินสวินออกจะเหนือความคาดหมาย!
“มูลค่าของมันมากกว่าสมบัติอริยะหรือ” หลินสวินเอ่ยถาม
ชื่อเหยายิ้มหวาน ฟันงามแวววาว ริมฝีปากเปล่งปลั่งกล่าว “สำหรับข้าแล้ว มันมีแรงดึงดูดยิ่งกว่าสมบัติอริยะเสียอีก ดังนั้นถึงยอมเอาสมบัติอริยะมาแลกเปลี่ยน แต่เมื่ออยู่ในสายตาของผู้อื่น เกรงว่าคงไม่ต่างอะไรกับไม้ผุๆ ท่อนหนึ่ง”
หลินสวินจึงยิ้มแล้ว “ถูกอย่างที่แม่นางพูด ข้ากับเจ้าคิดเหมือนกัน ไม้ผุๆ ท่อนนี้ ข้าไม่เคยคิดขายให้ใคร”
ชื่อเหยาอึ้งไป อดไม่ได้ถามว่า “พี่ชาย เจ้าไม่คิดดูอีกหน่อยหรือ”
นางพูดพลางกัดริมฝีปากสีชมพู เผยความลำบากใจ ดวงตากระจ่างไหววูบ ความน่าหลงใหลชวนตะลึงแผ่ซ่าน น้ำเสียงก็แปรเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลมีจริตจะก้าน “ถ้าพี่ชายยอมตัดใจ บางที… ให้ข้าเอาตัวเข้าแลกก็ได้นะ”
ผิวพรรณของนางเรียบเนียน รูปลักษณ์งดงามผุดผาด เวลานี้เอ่ยปากอย่างขวยอาย พลันมีเสน่ห์ไร้ที่สิ้นสุดเผยออกมา ไม่ว่าใครเห็นเข้าก็เกรงว่าจะถูกยั่วยวนให้จิตใจเคลิบเคลิ้ม หัวสมองปั่นป่วน
แต่ดวงตาหลินสวินใสกระจ่างสงบนิ่ง ไม่มีความไหวหวั่นแม้แต่น้อย พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “พวกเราฝึกปราณ จะละโมบลุ่มหลงหญิงงามได้หรือ ขอให้แม่นางสงวนตัวด้วย!”
ชื่อเหยาตาเบิกกว้างเหมือนทำใจเชื่อได้ยากอยู่บ้าง ครู่หนึ่งถึงหน้าแดงขึ้นมาแล้วพูดดูถูกว่า “เจ้ากับพี่ชายเผ่าคางคกทองสามขาคนนั้น เทียบกันแล้วช่างแข็งทื่อเสียจริง ไม่เข้าใจอารมณ์รักใคร่ของหนุ่มสาวเลยสักนิด”
หลินสวินสีหน้าเคร่งขรึม ถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดว่า “โฉมตรูเมื่อวายชนม์เป็นโครงกระดูก ร่างกายไม่ว่าสวยงามเพียงใดก็เป็นเพียงกระดูกหุ้มด้วยเนื้อหนัง แม่นางมีผิวพรรณงดงามจนล่มแคว้นได้ แต่ในสายตาข้าแล้ว ที่เห็นกลับเป็นโครงกระดูกขาวภายใต้ผิวหนัง รูปลักษณ์เช่นนี้ช่างน่าเบื่อขาดรสชาติ”
ชื่อเหยาคล้ายโกรธเคืองอยู่บ้าง กล่าวว่า “พี่ชาย เจ้ายังโสดมาตลอดใช่ไหม”
หลินสวินอึ้งไป
ก็เห็นว่าชื่อเหยาพ่นเสียงหัวเราะออกมา ชี้ไปที่หลินสวินแล้วเอ่ยว่า “ถูกข้าพูดจี้ใจดำจริงๆ ด้วย เจ้าคนไม่เข้าใจความรักของหนุ่มสาวอย่างเจ้า ต่อให้มีแม่นางมาชอบเจ้า เกรงว่าเจ้าคงจะไม่รู้ตัว”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “นี่ไม่เกี่ยวกับแม่นาง”
ชื่อเหยาเห็นหลินสวินยังดื้อดึง ก็ถอนใจเบาๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เอ่ยว่า “พี่ชาย เจ้าดื้อดึงปานนี้ทำให้ข้าจัดการยากนัก หากไม่ได้ไม้โพธิ์ ข้าต้องกินไม่ได้นอนไม่หลับ ต่อไปยังจะพูดถึงแสวงมรรคหยั่งรู้ปริศนาอะไรอีก”
หลินสวินเลิกคิ้วเอ่ยว่า “ดังนั้นเจ้าคิดจะใช้กำลังแย่งไปหรือ”
ชื่อเหยาครุ่นคิดครู่หนึ่ง จากนั้นก็โบกมือคล้ายหงุดหงิด กล่าวว่า “เรื่องนี้ยังไม่ต้องคิดไปก่อน ไว้พูดกันทีหลังเถอะ”
เวลานี้หลินสวินพูดอย่างจริงจังว่า “แม่นาง หากเป็นไปได้ข้าก็ไม่ต้องการเป็นศัตรูของเจ้า ขอให้เจ้าไตร่ตรองให้ดี”
พูดจบเขาก็ไม่สนใจชื่อเหยาอีก ก้าวย่างขึ้นบันไดฝ่าด่านต่อ
สวบ!
เงาร่างของเขาหายลับ เริ่มประลองกับคู่ต่อสู้คนต่อไป
ส่วนตอนนี้รอยยิ้มบนใบหน้าของชื่อเหยามลายหายไปทีละน้อย แปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าสงบนิ่งเย็นชา กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั้งร่างก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยือกราวหิมะ ไม่มีความทรงเสน่ห์อย่างก่อนหน้านี้
โดยเฉพาะดวงตาเปล่งประกายราวดวงดาราคู่นั้น มีประกายเทพเปลวเพลิงอันน่าหวาดหวั่นหาใดเทียบไหวเคลื่อนเลือนราง
‘อ่านไม่ขาด… อ่านไม่ขาดจริงๆ… ถ้าอ่านขาดได้ก็คงลงมือได้ตั้งนานแล้ว…’ นางพึมพำในใจ
ครู่หนึ่งผ่านไป นางสูดหายใจลึก เก็บงำกลิ่นอายเย็นเยียบรอบกาย สีหน้ากลับมางดงามและผุดผาดดังเดิม
ตอนนี้หลินสวินฝ่าผ่านบันไดขั้นที่หกสิบห้าแล้ว เงาร่างปรากฏขึ้น
“พี่ชาย หากเจ้าไปถึงจุดสูงสุดเป็นคนแรก ข้ารับรองว่าจะพิจารณาข้อเสนอแนะของเจ้าอย่างจริงจัง” ชื่อเหยาเผยรอยยิ้มอ่อนหวานสดใส พูดด้วยเสียงกังวาน
หลินสวินยักไหล่กล่าว “จะไปถึงจุดสูงสุดคนแรกหรือไม่ ไม่เกี่ยวกับข้อเสนอแนะที่ข้าให้เจ้า หากเจ้ายังดื้อดึงทำเรื่องเหล่านี้ เกรงว่าใครก็คงรั้งไว้ไม่ได้ ทว่าข้าขอพูดตามตรงเช่นกันว่าผู้ที่เป็นศัตรูกับข้าย่อมจบไม่สวย ไม่ว่าจะเป็นตอนนี้หรือในภายภาคหน้า”
ดวงตากระจ่างของชื่อเหยาทั้งคู่หรี่ลงจนมีรูปลักษณ์เหมือนคมดาบ จากนั้นก็หัวเราะอย่างไร้เสียงคล้ายไม่เห็นด้วย
ส่วนหลินสวินก็ไม่กล่าวมากความอีก ฝ่าด่านต่อไป
ถึงตอนนี้ทั้งสองไม่พูดคุยอีกสักประโยคเดียว บรรยากาศดูน่าอึดอัดยิ่ง
ชื่อเหยานั่งลงตรงนั้นอีกครั้งหนึ่ง ไม่ฝ่าด่านแล้ว
มือขาวสะอาดราวหยกทั้งสองข้างของนางเท้าคางแล้วมองอยู่เงียบๆ เช่นนี้ ดวงตาไม่กะพริบสักครั้ง เหมือนต้องการรู้ชัดว่าหลินสวินที่อยู่ตรงหน้าเป็นคนเช่นไรกันแน่
ขั้นที่หกสิบสี่
ขั้นที่หกสิบสาม
……
ทุกครั้งที่เห็นหลินสวินเหยียบย่างลงบนบันไดขั้นหนึ่ง ในใจของชื่อเหยาจะปรากฏภาพยามตนฝ่าด่านขึ้นมา แล้วทำการเปรียบเทียบ
สุดท้ายแล้ว การเปรียบเทียบเช่นนี้ก็อยู่ที่เวลาที่ใช้ในการฝ่าด่าน
จากนั้นดวงตากระจ่างของชื่อเหยาก็ฉายแววประหลาดเป็นครั้งคราว เพราะกระทั่งตอนนี้ ความเร็วที่หลินสวินฝ่าด่านทุกครั้งเหนือกว่านางเล็กน้อย
ทว่านางไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะหากต้องการ นางก็ทำได้เช่นกัน
ไม่นานนักหลินสวินก็มาถึงบันไดขั้นที่ห้าสิบ
แต่ชื่อเหยาที่นั่งอยู่บนบันไดขั้นที่สี่สิบเก้าพลันเอ่ยปากว่า “มหามรรคห้าสิบ อุบัติฟ้าสี่สิบเก้า พี่ชายรู้ไหมว่าหมายความว่าอะไร”
น้ำเสียงกังวาน ไพเราะรื่นหู
ทว่าดวงตาดำของหลินสวินกลับหรี่ลงทันใด จากนั้นจึงพูดว่า “รอดพ้นเพียงหนึ่ง?”
ชื่อเหยาเม้มริมฝีปากเปล่งปลั่ง ยิ้มแต่ไม่พูด
หลินสวินก็ยิ้มด้วย ยกเท้าก้าวขึ้นไปบนบันไดขั้นที่สี่สิบเก้าอย่างแผ่วเบา สีหน้าเป็นธรรมชาติ
ชื่อเหยาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นร่างงามก็ตึงเครียดเล็กน้อยอย่างยากสังเกตเห็น แล้วกลับมาสุขุมเยือกเย็นในทันใด เพียงแต่สายตาที่มองไปยังหลินสวินเจือไปด้วยความเยียบเย็นแล้ว
หลินสวินไม่ใส่ใจ เขาย่อมเข้าใจความหมายที่อยู่ในถ้อยคำของชื่อเหยาอย่างชัดเจน เป็นการเตือนว่าไม่ว่าเรื่องใดก็อย่าทำเด็ดขาดเกินไป จะต้องเหลือโอกาสไว้กลับตัวได้บ้าง
แต่น่าเสียดาย ไม้โพธิ์นี้ไม่สามารถมอบให้ได้โดยเด็ดขาด เพราะสิ่งนี้เกี่ยวโยงถึงความลับเรื่องการตายของอริยะตู้จี้กับนางพญาหงส์ทมิฬ มีความเร้นลับยิ่งใหญ่ราวกับเป็นข้อห้ามซ่อนอยู่!
หลินสวินไม่ยอมอ่อนข้อโดยง่ายอย่างแน่นอน
หากชื่อเหยาไม่เสียใจที่จะเป็นศัตรูกับตน ดื้อดึงหมายจะชิงของสิ่งนี้ เช่นนั้นหลินสวินก็ไม่ถือสาที่จะปลิดชีพศัตรูอีกคนหนึ่ง!
“ดูท่า ไม่มีทางกล่อมได้อีกแล้ว…”
ชื่อเหยามองเงาร่างที่ก้าวขึ้นหน้าไปทีละก้าวพลางนวดคลึงหว่างคิ้ว ในใจถอนหายใจเบาๆ
ถ้าเป็นไม้โพธิ์ธรรมดา ชื่อเหยาก็คร้านจะใส่ใจ
แต่ไม้โพธิ์ที่อยู่กับหลินสวินท่อนนั้นกลับต่างออกไป เคยถูกพลังพิฆาตมรรคโจมตี ความสูงค่าของมันมากพอจะทำให้ชื่อเหยาเข้าช่วงชิงโดยไม่สนใจสิ่งใด!
เพราะสิ่งนี้เป็นของต้องห้ามหายากตั้งแต่โบราณชิ้นหนึ่ง เดิมทีไม่ควรมีอยู่ ถูกทำลายไปกับกาลเวลา ทว่าไม่รู้ด้วยเหตุผลกลใดถึงยังคงอยู่ได้
หากมีโอกาสได้เข้าใจปริศนาต้องห้ามภายในนั้นอย่างถ่องแท้…
เกรงว่าแม้แต่อริยะยังคลุ้มคลั่ง!
——