Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1167 ข้าแสวงหามรรคของข้าด้วยตัวเอง

ตอนที่ 1167 ข้าแสวงหามรรคของข้าด้วยตัวเอง

ขั้นที่สามสิบหก

ขั้นที่สามสิบห้า

……

ยิ่งขึ้นบันไดสูงขึ้น ความเร็วของหลินสวินก็ลดลงอย่างเห็นได้ชัด

เพราะคู่ต่อสู้ที่ได้พบแข็งแกร่งขึ้นไม่ว่างเว้น แต่ละคนหากอยู่ในโลกภายนอกต่างเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะแห่งยุค บนมกุฎมรรคาขนานนามได้ว่าเป็นยอดคน!

การเอาชนะพวกเขา สำหรับหลินสวินแล้วก็ง่ายดายนัก แต่คิดจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทีละคนโดยไม่หยุดพักในแต่ละก้าวเดิน กลับเป็นเรื่องยาก!

ตั้งแต่ขึ้นบันไดสวรรค์มหามรรคจนถึงตอนนี้ หลินสวินไม่ได้หยุดพัก ไม่เคยฟื้นพลังกายเลย

ทั้งหมดทั้งมวลล้วนอาศัยลูกฮึด ทะยานสูงขึ้นไป!

‘ยังเหลือพลังราวหนึ่งในสาม สู้ถึงที่สุดก็น่าจะพอแล้ว…’

หลินสวินสูดหายใจลึก ในดวงตาดำมีแต่ความหนักแน่น

จากนั้นเขาก็ก้าวย่างต่อไป

……

ขั้นที่ยี่สิบเจ็ด

ขั้นที่ยี่สิบหก

…เท้าเปลือยเปล่าขาวโพลนของชื่อเหยายืนอยู่บนบันไดหิน ดวงตากระจ่างราวสาวน้ำเพ่งพิศไกลๆ ไปยังเงาร่างที่เดินอยู่บนบันไดหินโดยลำพังนั้น

ผมสีเพลิงของนางปลิวสยาย ผิวพรรณขาวยิ่งกว่าหิมะ สีหน้าเจือไปด้วยความเฉยเมยและสันโดษ แววหนักอึ้งรวมตัวอยู่ในดวงตาสุกสกาวทั้งสองอย่างรางเลือน

เวลาล่วงเลยมากระทั่งตอนนี้ หลินสวินยังไม่ได้หยุดพัก อีกทั้งกลิ่นอายลุ่มลึก ก้าวย่างมั่นคง ไม่เห็นความลำบากเลยสักนิด

คนอื่นอาจจะไม่รู้ แต่ชื่อเหยารู้ดีที่สุดว่า ในตอนนี้บุคคลขอบเขตมกุฎที่สามารถทำได้ถึงขั้นนี้อาจจะมี ทว่าต้องมีน้อยขนาดนับนิ้วได้!

และทั้งแดนเผาเซียน เกรงว่าจะไม่มีสักคนเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้!

ส่วนเจ้าพวกที่เลื่อนระดับเป็นราชันเหล่านั้น…

คิดถึงตรงนี้แววดูถูกก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของชื่อเหยา ไม่ได้กลายเป็นระดับราชันขอบเขตมกุฎ ภายหน้าก็เป็นเพียงคนไร้ค่ากลุ่มหนึ่ง!

นางมีเหตุผลให้อวดดี เพราะหากต้องการเป็นราชัน นางก็สามารถเหยียบย่างเข้าสู่ระดับนี้ได้อย่างสบายตั้งแต่ยุคบรรพกาลแล้ว

ทว่านางไม่ทำ!

แต่ยอมฝังตัวในหิมะแห่งกาลเวลาไร้ที่สิ้นสุด ทนทรมานกับความอ้างว้างและอันตรายไร้สิ้นสุด รอคอยจนกระทั่งยุคนี้ถึงฟื้นตื่นขึ้นมา เป้าหมายก็เพื่อขอบเขตมกุฎระดับราชัน!

เมื่อเทียบกันเช่นนี้ ชื่อเหยาย่อมไม่เห็นระดับราชันใดๆ อยู่ในสายตา

พูดได้ว่าในการช่วงชิงความเป็นหนึ่งในแดนมกุฎ การประชันบนมกุฎมรรคาในภายภาคหน้า ผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นราชันแล้วแต่ไม่เคยได้เหยียบย่างในขอบเขตมกุฎเหล่านั้น เรียกได้ว่าเป็นผู้ล้มเหลวไปแล้ว!

ความเร็วของหลินสวินค่อยๆ ลดลงตามเวลาที่เคลื่อนคล้อย แต่ก้าวย่างของเขากลับมั่นคงดังเดิม เงาร่างผ่าเผยและสูงโปร่งนั้นคล้ายยอดเขาที่ไม่อาจสั่นคลอน ไม่เคยหวั่นไหว

ความหนักอึ้งระลอกหนึ่งบังเกิดขึ้นในใจชื่อเหยาอย่างไร้สาเหตุ ดวงตากระจ่างราวสายน้ำเต็มไปด้วยความจริงจังแล้ว แม้แต่ตัวนางเองยังไม่ได้สังเกตว่ามือขาวสะอาดทั้งสองข้างกำแน่นอย่างเงียบๆ ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร

เพลิงเทพแปลกประหลาดลูกแล้วลูกเล่าปรากฏขึ้นบนผิวขาวแวววาวราวหิมะนั้น ทำให้ตัวนางดุจดั่งคันธนูที่ดึงจนตึงคันหนึ่ง!

‘หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง เกรงว่าคงไม่อาจจินตนาการได้ ว่าในยุคปัจจุบันจะมีบุคคลเย้ยฟ้าปานนี้ได้อย่างไร…’

ชื่อเหยาพึมพำในใจ

หากไม่ใช่ว่านางแน่ใจ คงออกจะเคลือบแคงว่าหลินสวินก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่จำศีลเก็บตัวในกาลเวลาอันไร้ที่สิ้นสุดผู้หนึ่ง มีอดีตที่น่าหยิ่งทระนงและโดดเด่นถึงที่สุด

แต่เห็นได้ชัดว่าหลินสวินไม่ใช่!

นี่ก็พาให้คนสะท้านแล้ว

‘เป็นศัตรูกับเด็กคนนี้เพื่อไม้โพธิ์ท่อนหนึ่ง ทำถูกจริงหรือ…’

ยามเห็นเงาร่างของหลินสวินปรากฎตัวบนบันไดขั้นที่สิบ ในใจชื่อเหยาเริ่มหวั่นไหวบ้างแล้ว ความลำพองและหยิ่งทระนงแต่เดิมก็ลดลง

ตอนนางสนทนากับหลินสวินก่อนหน้านี้ ไม่เคยเผยความดูถูกใดๆ แต่ก็ไม่ได้มองเขาเป็นคู่ต่อสู้ที่ต้องหวั่นกลัวและให้ความสำคัญ

ดังนั้นนางจึงสามารถพูดไปยิ้มไป เผยรอยยิ้มงดงามสดใส ควบคุมได้ดังใจ

แต่ตอนนี้…

ต่างออกไปแล้ว!

เพราะหลินสวินได้เหยียบย่างลงบนบันไดสวรรค์มหามรรคขั้นที่สิบแล้ว!

ชื่อเหยารู้ดีว่าบุคคลขอบเขตมกุฎคนใดๆ หากคิดจะเหยียบย่างมาถึงที่แห่งนี้ยากลำบากเพียงไหน

และถ้าอยากทำเช่นเดียวกับหลินสวิน ที่ตั้งแต่เริ่มจนจบก็ก้าวขึ้นมาโดยไม่หยุดพักเลยแม้สักอึดใจเดียว ก็ยิ่งลำบากขึ้นไปอีก แทบจะเป็นปาฏิหาริย์ที่ไม่อาจทำสำเร็จได้ครั้งหนึ่ง!

เมื่อถามใจตัวเองดู แม้แต่ตัวชื่อเหยาเองยังรู้สึกว่ายากนัก ต้องสู้สุดชีวิตถึงจะทำได้

แต่ว่า…

ก้าวเดินของหลินสวินยังมั่นคงดังเดิม!

นี่จึงจะเป็นสาเหตุที่จิตใจชื่อเหยาหวั่นไหวขึ้นมาบ้าง

และถึงเริ่มใคร่ครวญอย่างจริงจังว่าการเป็นศัตรูกับหลินสวินนั้นถูกหรือผิด!

‘หากอยู่ในยุคบรรพกาล ความเก่งกาจของเด็กคนนี้คงสามารถเป็นที่ตื่นตาในใต้หล้า ไม่อาจถูกบดบังได้กระมัง’

ชื่อเหยาอึ้งไป จิตใจไหวกระเพื่อม

……

ลมหายใจของหลินสวินหอบอยู่บ้าง หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมา

เป็นบันไดขั้นที่แปดแล้ว

ตั้งแต่เริ่มขั้นที่หนึ่งพันกระทั่งตอนนี้ เขาได้ต่อสู้โดยไม่หยุดพักมาแล้วเก้าร้อยเก้าสิบสองครั้ง!

คู่ต่อสู้แต่ละคนล้วนเป็นบุคคลชั้นยอดในรุ่นเดียวกัน

อีกทั้งยิ่งขึ้นมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง!

ต่อให้รากฐานพลังของหลินสวินจะแกร่งกล้ากว่านี้ ต่อสู้อย่างต่อเนื่องเช่นนี้ก็เป็นการเปลืองพลังอย่างยิ่งยวด พลังกายแทบจะแห้งเหือดแล้ว

เดิมทีสามารถฟื้นฟูและพักผ่อนได้

แต่หลินสวินไม่ได้ทำเช่นนี้

เขากำลังเสาะหาขีดจำกัดของมรรคาตนในระหว่างการต่อสู้!

สู้!

สู้!

สู้!

แม้จะเหนื่อยล้าหาใดเทียบไปทั้งกาย แต่ในส่วนลึกของจิตใจ ไฟต่อสู้กลับเดือดพล่านแผดเผา จิตต่อสู้ถูกหล่อหลอมถึงที่สุด

เวลานี้เขาไม่ต้องออกตัว วิชาอริยะยุทธ์ก็โคจรเอง เข้าประสานกับสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณ และเจตจำนงของเขาโดยสมบูรณ์ หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว

ขั้นที่หก

ขั้นที่ห้า

ขั้นที่สี่

……

เมื่อมาถึงบันไดหินขั้นที่สาม พลังกายและปณิธานของหลินสวินมาถึงขีดจำกัดที่ตัวเองรับได้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน!

เสียงวู้มๆ ดังขึ้นในสมอง เหมือนมีอาวุธและม้าเกราะคำรนในสนามรบ ทั้งเหมือนมีเสียงเทพมารคำรามสะท้าน โกลาหลจนแทบระเบิดออก

ตั้งแต่ออกจากทะเลหมากดารา และเริ่มเข้าร่วมสงครามมหายุค หลินสวินยังไม่เคยเหนื่อยล้าเช่นนี้มาก่อน แทบแยกจะลงไปเอนนอนงีบใหญ่เสียเลย

พลังทุกกระเบียดของร่างกายเหมือนถูกเค้นจนแห้งเหือด นี่ไม่ใช่สิ่งที่ปณิธานจะสามารถค้ำจุนแล้ว!

การรับรู้ของเขาเริ่มสับสนมึนงง ว่างเปล่าไร้อัตตา สามจิตหกวิญญาณประหนึ่งหลุดออกจากร่าง ที่พึ่งพาอยู่ก็คือสัญชาตญาณที่กำลังยึดกุม!

‘ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ’

ดวงตาชื่อเหยาฉายแววโรจน์ เมื่อเห็นเงาร่างหลินสวินยืนไม่ไหวติงบนบันไดหินขั้นที่สาม ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่นางถอนหายใจโล่งอกโดยไม่อาจบรรยายได้

จากนั้นตอนนี้นางถึงสังเกตได้ว่า ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่ตนอยู่ในสภาวะบีบคั้น ทุกข์ร้อนกังวลใจ!

เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่งชื่อเหยาก็ตัดสินใจแน่วแน่อย่างหนึ่ง เอ่ยพูดว่า “นี่! เจ้ารีบไปพักสักหน่อยเถอะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าอย่างน้อยในตอนนี้จะไม่เป็นศัตรูกับเจ้า!”

เมื่อพูดจบนางก็ถอนใจเบาๆ ในใจ รับรู้ได้ว่าอย่างน้อยในระดับกระบวนแปรจุติ นางก็ไม่มีความคิดจะประชันสูงต่ำกับหลินสวินแล้ว

นี่ทำให้นางที่อวดดีมาตลอด ไม่เคยเห็นคนยุคปัจจุบันอยู่ในสายตาก็รู้สึกซับซ้อนเล็กน้อยอย่างเลี่ยงไม่ได้

เพียงแต่ที่เหนือความคาดหมายของชื่อเหยาก็คือ หลินสวินกลับไม่สนใจ ทั้งเหมือนไม่รู้ตัวเลย

“พี่ชาย ข้าถอยให้แล้วนะ ทำไมยังต้องโกรธเคืองด้วย เป็นชายชาตรีแท้ๆ แม้แต่น้ำใจแค่นี้ยังไม่มีหรือ” ชื่อเหยาเอ่ยเสียงกังวาน แต่ในใจออกจะขุ่นเคือง

นางไม่รู้แน่ชัดว่าเหตุใดหลินสวินต้องยืนหยัดเช่นนี้ด้วย

ที่น่าเสียดายคือหลินสวินไม่สนใจนาง แต่ย่างก้าวเหยียบลงบนบันไดขั้นที่สอง!

ชั่วพริบตานี้นัยน์ตาชื่อเหยาหดรัดลง ในที่สุดก็หน้าเปลี่ยนสี ยังสู้ต่อได้หรือ

คู่ต่อสู้บนขั้นที่สองเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่ไม่เคยพบเห็นมาก่อนผู้หนึ่ง สามารถพาตัวเองมาถึงอันดับที่สองได้ ก็เพียงพอพิสูจน์ความแข็งแกร่งของเขาแล้ว

การต่อสู้ยกนี้สู้ได้อย่างยากลำบากถึงที่สุด ทั้งกายหลินสวินโชกเลือด รอยแผลเต็มไปหมด

ไม่ใช่เพราะเขาสู้คู่ต่อสู้ไม่ได้ แต่เป็นเพราะก่อนหน้านี้เขาใช้พลังมากเกินไปจนแทบแห้งเหือด เวลานี้ก็อาศัยสัญชาตญาณเข้าสู้โดยสมบูรณ์

ปึง!

ในที่สุดหลินสวินก็ใช้ร่างอันบาดเจ็บสาหัสเอาชนะคู่ต่อสู้

จากนั้นเขาก็หันกายอย่างไร้ชีวิตชีวา สายตาแปรเปลี่ยนเป็นว่างเปล่าเวิ้งว้าง

ในใจมีความคิดเพียงอย่างเดียว เสาะหาขีดจำกัดของตนเอง เข้าถึงสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนในมรรคา!

‘เจ้าหมอนี่เสียสติไปแล้วหรือ’

ตาเห็นหลินสวินโชกเลือดไปทั้งกาย ชื่อเหยาหน้าเปลี่ยนสีอีกครั้ง นางกำลังจับตาดูอยู่ตลอด ทว่ากระทั่งตอนนี้กลับพบว่าไม่อาจเข้าใจเจ้าคนที่ถูกมองว่าเป็นเทพมารหลินผู้นี้ได้เลย

ตอนนี้อาภรณ์ของเขาย้อมเลือด อาการบาดเจ็บทั้งร่างน่าตื่นตะลึง แต่แผ่นหลังยังไม่ค้อมลงมาสักชุ่น เผยให้เห็นความแน่วแน่บ้าบิ่นน่าหวาดหวั่น

นี่ทำให้ในใจของชื่อเหยาสั่นสะท้านอย่างเลี่ยงไม่ได้

และในตอนที่อารมณ์ความรู้สึกของชื่อเหยากำลังโบยบินนี้ หลินสวินก็เหยียบย่างลงบนบันไดหินขั้นสูงสุดแล้ว

เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ท่วงท่าดุจดั่งเทพสงคราม แข็งแกร่งจนสามารถทำให้ไม่ว่าบุคคลขอบเขตมกุฎผู้ใดต่างใจสั่นระรัว ทั้งร่างถูกอาบไล้ด้วยแสงมรรค พลานุภาพไร้เทียมทาน

ตูม!

ในตอนนี้หลินสวินชิงออกโจมตีก่อน ระเบิดอานุภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนออกมา

ปึง!

ด้วยการโจมตีเดียว เงาร่างคู่ต่อสู้ก็ระเบิดแหลก

จบแล้วหรือ

หลินสวินนิ่งอึ้ง ยามเงยหน้าขึ้นไปดู เขาก็ยืนผงาดอยู่บนจุดสูงสุดของบันไดสวรรค์ ประหนึ่งอยู่นอกวัฏจักร

ขอบฟ้าเวิ้งว้างไพศาลไร้สิ้นสุด เพลิงมรรคดวงแล้วดวงเล่าแขวนตัวกลางห้วงอากาศ ส่องประกายเพริศแพร้วราวดวงอาทิตย์หลากสีดวงแล้วดวงเล่า!

มีเพลิงมรรคทั้งสิ้นสองพันเก้าร้อยเก้าสิบดวง!

เพลิงมรรคแต่ละดวงต่างมีอานุภาพไร้ต้านทาน บ้างดุจสุริยันโชติช่วงฉายส่องนภาคราม บ้างดุจหิมะน้ำแข็งปกคลุมจักรวาล บ้างคล้ายกระบี่เทพกำราบนิรันดร์กาล บ้าง…

แม้อานุภาพแตกต่างกัน แต่ต่างแข็งแกร่งไร้ที่สิ้นสุด!

ตุ้บ!

หลินสวินนั่งขัดสมาธิกับพื้น

จากนั้นก็ยืนหยัดต่อไปไม่ไหวแล้วจริงๆ เอนนอนราบลงไป หน้าหันสู่เวิ้งฟ้า ความเหนื่อยอ่อนเมื่อยล้าและเจ็บปวดไร้ที่สิ้นสุดผุดขึ้นทั่วตัว ทั้งร่างกาย จิตใจและปณิธานล้วนชาไร้ความรู้สึก

เพียงแต่ดวงตาของเขากลับเปล่งประกายและสุกสกาวอย่างประหลาด รอยยิ้มบริสุทธิ์เหมือนเด็กน้อยปรากฏอยู่บนใบหน้าเปื้อนโลหิตอย่างเงียบเชียบ

เหนือเวิ้งฟ้า เพลิงมรรคนับพันงดงามเพริศแพร้วฉายส่องธรรมบาล

แล้วก็ในตอนนี้เองที่เสียงธรรมเสียงหนึ่งดังขึ้นในใจ…

“อย่างไรเรียกว่ามรรค”

เพียงไม่กี่คำกลับสั่นสะท้านจนคนหูหนวกยังได้ยิน!

หลินสวินนิ่งอึ้งไปเป็นอย่างแรก จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังออกมาอย่างอดไม่ได้ ไม่รู้เขาไปเอาพลังมาจากไหน พลันลุกขึ้นนั่งบนพื้น เงยหน้าเล็กน้อยแล้วมองอย่างโอหังไปยังท้องฟ้า

“มรรคที่อธิบายได้ มิใช่มรรคอันเที่ยงแท้”

“มรรคฟ้า มรรคดิน มรรคใหญ่ มรรคเล็ก มรรคอริยะ มรรคมนุษย์ มรรคสรรพสัตว์…”

ทุกคำล้วนเผยกลิ่นอายหยิ่งทระนงไร้ขอบเขต กังวานดั่งเสียงเทพ สั่นสะท้านห้วงอากาศโดยรอบ

ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรที่หลินสวินได้ลุกขึ้นยืน อาภรณ์ย้อมโลหิตไหวกระพือ เงาร่างสันโดษน่าเกรงขามคล้ายสามารถแทงทะลุเวิ้งฟ้า มีอานุภาพเหนือห้วงอากาศโดยรอบ!

“มีมรรคหรือ”

“ไร้มรรคหรือ”

“ผู้คนพูดถึง ล้วนไร้สาระ!”

พูดถึงตรงนี้เสียงของหลินสวินก็เงียบลงในทันใด หว่างคิ้วปรากฏความโอหังและแน่วแน่อย่างไม่เคยมีมาก่อน

“ข้า แสวงหามรรคของข้าด้วยตัวเอง!”

พูดออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ ประหนึ่งวสันตอสนีสะท้านจักรวาล แผ่พุ่งครามครัน

จากนั้น รุ้งเทพสายหนึ่งก็ผุดขึ้นเหนือห้วงอากาศโดยรอบ

เพลิงมรรคสองพันเก้าร้อยเก้าสิบดวงที่ลอยอยู่ตามที่ต่างๆ ในห้วงอากาศโดยรอบต่างสั่นระรัวทันใด ไหววูบไม่ว่างเว้น

รุ้งเทพสายนั้นไร้สิ่งกีดขวางตลอดแนว เพลิงมรรคนานาชนิดพากันถอยหนีในทุกที่ที่เคลื่อนผ่าน!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท