หอมกุฎอ้างว้างยิ่งกว่าเดิม
บันไดสวรรค์มหามรรคเปลี่ยนเป็นช่องทางมุ่งสู่แดนเก้าบน ผู้ฝึกปราณที่ไม่มีสิทธิ์แน่นอนว่าไม่อาจเข้าไปในหอมกุฎได้
ทั้งระยะเวลาที่แดนเก้าบนเปิดออกยังผ่านมาครึ่งเดือนแล้ว ผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบนล้วนจากไปเกือบหมดแล้ว
ในแดนเผาเซียนก็เช่นกัน
การต่อสู้มหามรรคต้องแข่งกับเวลา แน่นอนว่าเวลามีค่าหาใดเปรียบ
ด้วยเหตุนี้จึงมีน้อยคนนักที่เหมือนหลินสวิน เห็นชัดว่าดันตนขึ้นสู่อันดับหนึ่งบันไดสวรรค์มหามรรคนานแล้ว แต่จนป่านนี้กลับยังไม่เข้าไปในแดนเก้าบน
นี่ทำให้ผู้ฝึกปราณในเมืองต่างรู้สึกแปลก เทพมารหลิน… กำลังรออะไรกันแน่
แต่สำหรับขุมอำนาจใหญ่ในเมืองพวกนั้นกลับรู้สึกห่อเหี่ยว เทพมารหลินไม่ไปหนึ่งวัน พวกเขาก็ไม่อาจวางใจได้หนึ่งวัน
เรื่องพวกนี้ไม่อาจทำให้หลินสวินสนใจได้
ไม่มีคนรู้ว่าเขาแค่รอโอกาสจุดเปลี่ยนหนึ่งเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าจะอยู่ที่สามพันแดนหรือแดนเก้าบน สำหรับเขาแล้วล้วนไม่ต่างกันมากนัก
เพียงแต่เขาไม่มีทางทิ้งโอกาสเข้าสู่แดนเก้าบนเป็นแน่!
แดนเก้าบนมีศุภโชคพลิกฟ้าที่ถูกผนึกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน และมีวาสนาใหญ่ที่คาดไม่ถึง ต่อให้เป็นระดับมกุฎราชันก็มีแรงดึงดูดอย่างไม่มีอะไรยิ่งใหญ่เท่า
ทั้งแดนเก้าบนยังมีศัตรูมากมายรอเขาอยู่ หากไม่มุ่งหน้าไป ไม่เพียงแต่ไม่อาจสังหารศัตรู ยังจะถูกคนมองว่าขลาดกลัวได้!
‘ถึงตอนนี้อาหลู่ยังไม่กลับมา ดูท่าคงไปที่แดนเก้าบนแล้ว…’
‘เจ้าคางคกล่ะ เขาจะออกมาจากหุบเขาผลาญสวรรค์เมื่อไหร่’
หลินสวินนั่งสมาธิใคร่ครวญในตำหนัก
สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจ ก่อนที่ช่องทางแดนเก้าบนจะปิด ถ้าเจ้าคางคกยังไม่ปรากฏตัวเขาจะออกเดินทางคนเดียว
ไม่ช้าหลินสวินก็ถอนใจแผ่วเบา เขารอมาหลายวันแล้ว แต่จุดเปลี่ยนในการเลื่อนระดับนั้นยังไม่มาสักที
‘หรือต้องมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนจุดเปลี่ยนนี้จึงจะมาถึง’
หลินสวินมุ่นคิ้วเล็กน้อย
การรอคอยบ่งชี้ว่าเป็นฝ่ายถูกกระทำ
เขาไม่ชอบความรู้สึกของการเป็นฝ่ายถูกกระทำเช่นนี้ที่สุด
โดยเฉพาะการรอคอยนี้ยังเกี่ยวข้องกับการบรรลุเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชันของเขาด้วย!
เวลาล่วงเลย เหลือแค่สามวันก่อนช่องทางแดนเก้าบนจะปิด
หลินสวินไม่อาจทนกับการเป็นฝ่ายเฝ้ารอเช่นนี้อีกต่อไป เขาลุกขึ้นแล้วเดินออกไปนอกตำหนัก เดินเล่นไปบนท้องถนนอย่างไร้จุดหมาย
เมืองโบราณเผาเซียนยังเจริญรุ่งเรืองและคึกคักเหมือนก่อน
เพียงแต่ความรื่นเริงพวกนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับหลินสวิน เขาสันโดษตัวคนเดียว เดินไปตามท้องถนน ในใจคิดใคร่ครวญว่าจะออกจากเมืองไปลองดูที่หุบเขาผลาญสวรรค์ดีหรือไม่
หืม?
หลินสวินพลันชะงักเท้า หันขวับกลับไปทันที
ปักษาทมิฬรูปร่างคล้ายหงส์ดำตัวหนึ่งที่กรงเล็บหิ้วกระทะเหล็กท่าทางลับๆ ล่อๆ คิดลอบโจมตีเขาจากด้านหลัง
เห็นดังนี้ปักษาทมิฬรีบเก็บกระทะดำลงไปทันที ไม่เก้กังไม่ตื่นตระหนกแม้แต่น้อย จิตใจสงบนิ่งกล่าว “อ้าวน้องชาย พวกเราเจอกันอีกแล้ว”
หลินสวินยิ้มเย็น “ใช่แล้ว ทุกครั้งที่เจอกันมักพิเศษเช่นนี้เสมอ”
ปักษาทมิฬหัวเราะพลางกล่าว “เฮ้อ นิสัยเสียบางอย่างคงแก้ไม่หายในช่วงสั้นๆ ขอแค่น้องชายไม่เห็นว่าแปลกก็พอ”
เขาพูดพลางพุ่งหนีขึ้นไปบนฟ้า กระพือปีกรวดเร็วจนน่าเหลือเชื่อ โฉบไปยังหอมกุฎที่ห่างออกไป
“ต้าเฮย เหตุใดเจ้าก็รอจนป่านนี้ค่อยจากไปเล่า” หลินสวินตะโกนถาม
ปักษาทมิฬตัวนี้แปลกเกินไปแล้ว ทุกครั้งที่เจอกันชอบทำตัวเหมือนหัวขโมย ไม่ทันไรก็ผลุบหาย ช่างผิดปกตินัก
“เจ้าน่ะเป็นห่วงตัวเองเถอะ มหันตภัยมาเยือนแล้วยังไม่รู้ตัว!”
เสียงปักษาทมิฬเจือกลิ่นอายมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเสี้ยวหนึ่ง
นัยน์ตาดำหลินสวินหดเกร็ง ขณะกำลังจะถามต่อ ปักษาทมิฬที่มักเผยกลิ่นอายสับปลับตัวนี้ก็พุ่งหายเข้าไปในหอมกุฎแล้ว
เห็นได้ชัดว่ามันไปที่แดนเก้าบนแล้ว
มหันตภัยมาเยือน?
หลินสวินมุ่นคิ้ว ฉับพลันเขาก็ค้นพบความผิดปกติ
บนท้องถนนใกล้เคียงไม่รู้ว่าว่างเปล่าตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่มีเงาร่างใครสักคน เปลี่ยวเหงาอ้างว้างไปทั้งแถบ
จิตรับรู้เขาแผ่ขยายออก ทว่าแค่เพียงแผ่ไปในรัศมีพันจั้งก็ถูกตัดขาด!
ค่ายกลรึ
นัยน์ตาดำหลินสวินเย็นชา เงาร่างสันโดษเปล่งแสงมรรคเจิดจรัส อานุภาพไร้รูปสายหนึ่งแผ่กระจายออกมา
“สหายยุทธ์หลิน พวกเรารอเจ้ามานานมากแล้ว”
ในห้วงอากาศที่ห่างออกไป ภิกษุชุดดำรูปหนึ่งปรากฏตัวออกมา
ผิวเขาขาวกระจ่าง มือถือลูกประคำดำสิบแปดเม็ด หน้าตานิ่งสงบ หน้าผากอิ่ม ร่างสูงตระหง่านดุจสนขจี ทว่าสีหน้ากลับมีความรู้สึกเฉยชาวังเวงที่ทำให้ผู้คนใจสั่น
มู่เจิ้ง!
หนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์!
มองปราดเดียวหลินสวินก็จำฐานะของฝ่ายตรงข้ามได้
เขาเคยปะทะกับมู่เจิ้งในซากอารามเก่าแก่ใต้แม่น้ำพรมแดนมาก่อน และได้ยินความเป็นมาของสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์จากแม่นางเยวี่ยที่มาจากลัทธิไร้สวรรค์แดนเร้นอริยะ
“รอข้ารึ”
หลินสวินยิ้มแล้ว นี่คงเป็น ‘มหันตภัยมาเยือน’ ที่ปักษาทมิฬนั่นกล่าวถึง
เขากล่าวต่อ “ได้ยินมานานแล้วว่าพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์เห็นข้าเป็นพวกนอกรีตอันดับหนึ่ง หมายจะโปรดสัตว์ให้ข้า เช่นนั้นเจ้าปรากฏตัวที่นี่ก็ด้วยคิดทำเช่นนี้รึ”
มู่เจิ้งพนมมือ เอ่ยพุทธวจนะ “สหายยุทธ์หลินสายตาเฉียบแหลม”
หลินสวินยิ้มเยาะ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้คนอื่นออกมาเถอะ”
นัยน์ตามู่เจิ้งฉายแววประหลาดเสี้ยวหนึ่ง คล้ายคาดไม่ถึงว่าหลินสวินจะสังเกตเห็น จากนั้นเขาก็พยักหน้ากล่าว “สหายยุทธ์หลินมีอานุภาพแห่งเทพมาร พลังต่อสู้เหนือพิภพ อาศัยข้าคนเดียวคงเอาชนะสหายยุทธ์หลินไม่ได้จริงๆ”
เขาพูดพลางกล่าวเสียงขรึม “ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน เชิญออกมาพบกันหน่อย”
น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลง ทิศทางต่างๆ รอบตัวหลินสวินก็ปรากฏเงาร่างมากมายอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
ล้วนสวมจีวรดำ มือถือลูกประคำ เคร่งขรึมมีสง่า รวมทั้งสิ้นสิบเจ็ดคน แม้ยืนอยู่เงียบๆ แต่กลับมีลักษณะพลังน่าเกรงขามราวห้วงสมุทร
สิบแปดคน เหมือนอรหันต์ทั้งสิบแปดที่ครองผลยืนตระหง่านอยู่บนภูเขาศพทะเลเลือดพอดี!
นี่ก็คือสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ แบ่งเป็นหกรับรู้ หกราก หกธุลีสามฝ่าย เป็นตัวแทนบุคคลขอบเขตมกุฎทั้งสิบแปดที่หลอมร่างทองอรหันต์สำเร็จ แต่ละคนล้วนครอบครองมรดกวิชาสยบหล้าอย่างหนึ่ง
สีหน้าหลินสวินนิ่งสงบดังเดิม เพียงแต่ในดวงตากลับฉายแววเยียบเย็น กล่าวว่า “พวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ช่างให้ความสำคัญกับข้าซะจริง แม้แต่สิบแปดศิษย์ยังออกเคลื่อนไหวพร้อมกัน เพียงแต่พวกเจ้าไม่ห่วงว่าวันนี้จะหลั่งเลือดกันที่นี่หมดรึ”
สีหน้ามู่เจิ้งเฉยชาและเย็นเยียบ กล่าวไม่สะทกสะท้าน “พุทธองค์ตรัสว่า ข้าไม่ลงนรกผู้ใดเล่าจะตกนรก วันนี้ในเมื่อพวกข้าปรากฏตัวแล้วย่อมไม่สนความเป็นตาย”
ภิกษุชุดดำคนอื่นอีกสิบเจ็ดคนต่างสีหน้าเฉยชา
เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเตรียมการมาก่อน!
บรรยากาศพลันเปลี่ยนเป็นเงียบเชียบ
ท้องถนนที่ว่างเปล่า บรรยากาศที่เงียบสงัด หลินสวินตัวคนเดียวถูกผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์สิบแปดคนปิดล้อม ภาพนี้ช่างบีบใจคนนัก
“เหตุใดพวกเจ้าถึงเลือกลงมือตอนนี้” หลินสวินมุ่นคิ้ว ไม่เข้าใจอยู่บ้าง
“หากให้สหายยุทธ์เข้าไปในแดนเก้าบน เกรงว่าพวกข้าคงยากมีโอกาสโปรดสัตว์สหายยุทธ์แล้ว” มู่เจิ้งเปิดเผยนัก
แต่ท่าทีเปิดเผยเช่นนี้กลับทำให้ผู้คนหนาวเยือกในใจ
หลินสวินหรี่ตากล่าว “คิดดูแล้วข้าหาได้มีความแค้นใหญ่หลวงกับอารามกษิติครรภ์ เหตุใดทุกท่านยังต้องเพ่งเล็งข้าเช่นนี้เล่า”
อันที่จริงเขารู้คำตอบจากปากปักษาทมิฬอยู่ก่อนแล้ว ตอนนี้ก็แค่อยากยืนยันสักหน่อยเท่านั้น
มู่เจิ้งกล่าวราบเรียบ “สหายยุทธ์ยังไม่เข้าใจหรือ เจ้าแย่งชิงคัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์ท่อนหนึ่งที่บรรพจารย์ตู้จี้แห่งอารามกษิติครรภ์เราเหลือทิ้งไว้ไป เพื่อปกป้องมรดกสำนักไม่ให้รั่วไหล พวกข้าจึงได้แต่ต้องใช้วิธีต่ำช้าเช่นนี้”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง สีหน้าเจือความสบประมาท กล่าวว่า “มู่เจิ้ง เจ้ารู้เรื่องตอนนั้นดีที่สุด คัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์นี้ล้วนเป็นสิ่งที่ข้าอาศัยวาสนาได้มา เหตุใดถึงพูดว่าแย่งชิง”
“หากเป็นเช่นนั้น ศุภโชคและวาสนาในแดนมกุฎนี้ก็ล้วนไม่ใช่ของพวกเจ้าอารามกษิติครรภ์ แล้วเหตุใดพวกเจ้าถึงมาแย่งชิงเล่า”
กล่าวถึงตรงนี้หลินสวินก็ยิ้มเงียบๆ นัยน์ตาดำกวาดมองศิษย์ทั้งสิบแปดในที่นั้น ริมฝีปากขยับพูดไม่กี่คำอย่างแผ่วเบา “ยังมียางอายอยู่ไหม”
เสียงดั่งฟ้าร้องกัมปนาท!
สีหน้ามู่เจิ้งเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ก็กลับมาเฉยชาดังเดิมในฉับพลัน “สหายยุทธ์ เล่นลิ้นตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร”
ไม่ช้าเขาก็เปลี่ยนประเด็น “แน่นอนว่าพวกข้าไม่อยากให้สหายยุทธ์ลำบากใจเกินไป ขอแค่เจ้าส่งมอบคัมภีร์มรรคและไม้โพธิ์ออกมา ทั้งทำลายปราณตัวเอง พวกข้าจะเมตตาปล่อยให้สหายยุทธ์รอดชีวิต”
หลินสวินนิ่งงันไปก่อน จากนั้นค่อยหลุดขำออกมา กล่าวว่า “สมเป็นพวกลาชั่วหัวโล้น ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะยังกล่าววาจาไร้ยางอายเช่นนี้ได้”
“อาตมาจริงจัง ขอสหายยุทธ์ใคร่ครวญให้ดี” มู่เจิ้งกล่าวเฉยชา สีหน้าราบเรียบ ท่าทางมาดมั่น
“ขอสหายยุทธ์ใคร่ครวญให้ดี!”
ภิกษุชุดดำอีกสิบเจ็ดคนกล่าวพร้อมกันเสียงกึกก้อง แต่ละคนเคร่งขรึมมีสง่า
นัยน์ตาหลินสวินไอสังหารเยียบเย็นโหมกระหน่ำ ถูกยั่วโมโหโดยสมบูรณ์
ลาหัวโล้นพวกนี้แต่ละคนทรงเกียรติผ่าเผย ปากบอกว่าเมตตากรุณา ความจริงกลับเสแสร้งเช่นนี้ ช่างทำให้ผู้คนอยากสำรอก สู้ไม่ได้แม้แต่พวกอันธพาลต่ำช้า!
“ข้าผู้แซ่หลินไร้สามารถ ฝึกวิชาลับทางพุทธมาบางส่วน วันนี้อยากลองดูว่าใครจะโปรดสัตว์ใครกันแน่!”
หลินสวินสูดหายใจลึกกล่าวเสียงขรึม พลังทั่วร่างพลันแผ่กลิ่นฌาณทรงภูมิประการหนึ่ง
นี่คือพลังของ ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ !
นัยน์ตาพวกมู่เจิ้งหดรัดลงเล็กน้อย ในที่สุดก็ไม่อาจนิ่งสงบได้ สังเกตเห็นอย่างชัดเจนว่ากลิ่นอายที่ไหลเคลื่อนบนตัวหลินสวินคล้ายคลึงกับพวกเขา แต่กลับมีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ต่างกันเสี้ยวหนึ่ง
“เป็นพวกนอกรีตดังคาด!”
พวกมู่เจิ้งนัยน์ตาวาบประกายอสนีราวหมู่ภิกษุเดือดดาล จีวรดำบนร่างเกิดเสียงสะบัด ไอสังหารชวนประหวั่นพวยพุ่ง
“ลงมือเถอะ โปรดสัตว์เด็กนี่!”
ภิกษุโครงร่างใหญ่ หน้าตาเด็ดขาดรูปหนึ่งออกรบ แสงธรรมสีดำมหึมาโหมกระหน่ำแผ่คลุมไปทั้งตัว
เขาฉายามู่จิ้ง ทันทีที่ออกสังหารก็พนมมือ เหนือศีรษะปรากฏพุทธรูปพระเวททันใด ท่าทางอาจหาญแข็งแกร่ง ก้าวขึ้นไปบนอากาศปล่อยหมัดลงมาพิฆาตหลินสวินทันที
มรดกสยบหล้าอารามกษิติครรภ์… โทสะพระเวท!
ตูม!
พุทธรูปพระเวทร่างกำยำเปล่งแสงธรรมไร้จำกัด หมัดหนึ่งกดอัดลง พลังหมัดนั้นผสานเป็นรูปดอกบัว ประหนึ่งสามารถกล่อมเกลาและโปรดสัตว์สรรพสิ่ง ทรงพลังไร้ขอบเขต
กลับเห็นหลินสวินยิ้มเยาะ สองมือประสานกัน เหนือศีรษะปรากฏพุทธรูปพระเวทเช่นกัน!
ที่ต่างกันคือพุทธรูปนี้กลับมีเพลิงหงส์สีดำมากมายลุกโชนอยู่ทั่วองค์ ในความอาจหาญมีพลังแห่งการทำลายล้างเด็ดขาด
อีกทั้งยามปล่อยหมัด พลังหมัดนั้นยังปรากฏเป็นดอกบัว ใจกลางดอกบัวมีหงส์ทมิฬกำลังอาบไล้เปลวเพลิงเริงระบำ ราวปรารถนาเคลื่อนกวาดเก้าชั้นฟ้า!
ตึง!
พุทธรูปทั้งสองปะทะกันดั่งเทพเซียนสององค์กำลังต่อกร ระเบิดแสงไร้สิ้นสุด ส่งเสียงกัมปนาทป่วนเก้าชั้นฟ้า!
ทว่าจู่โจมเพียงคราเดียว พุทธรูปพระเวทที่มู่จิ้งควบรวมออกมาก็ถูกซัดกระจาย ถูกเพลิงหงส์ทมิฬไร้สิ้นสุดเผาผลาญกลายเป็นเถ้าถ่าน!
…………………….