Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1173 ช่องทางแดนเก้าบนเปิดออก

ตอนที่ 1173 ช่องทางแดนเก้าบนเปิดออก

ทว่าที่ทำให้หลินสวินคาดไม่ถึงคือ จุดเปลี่ยนการบรรลุราชันยังไม่มา เวลาเปิดแดนเก้าบนก็มาถึงแล้ว…

วันนี้ในสามพันแดน หอมกุฎแผ่แสงเจิดจรัสอัศจรรย์ พลังกฎระเบียบไร้รูปกระจายออกมา

ภายในหอมกุฎ บันไดสวรรค์มหามรรคเปลี่ยนเป็นทางเดินสายหนึ่งมุ่งไปยังส่วนลึกสุดแห่งห้วงอากาศ!

วันนี้สามพันแดนครึกโครม ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนพลุ่งพล่าน

ตั้งแต่แดนมกุฎมาเยือนจนถึงวันนี้ที่ช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออก ประจวบเหมาะเป็นเวลาหนึ่งปี

หนึ่งปีมานี้เกิดเรื่องระทึกขวัญมากเหลือเกิน!

มีคนร่วงหล่น

มีคนกลายเป็นราชัน

มีคนผงาดง้ำได้รับศุภโชคและวาสนาที่ปรารถนา

มีคน…

แต่นับจากวันนี้ ทุกอย่างจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าพลิกดิน!

“ผู้ที่ดันตนขึ้นสู่หนึ่งพันอันดับแรกของหอมกุฎ ผู้ที่บรรลุราชัน ล้วนมุ่งหน้าไปแดนเก้าบน ช่วงชิงศุภโชคที่ยิ่งใหญ่และพลิกฟ้ายิ่งกว่า!”

“ส่วนคนอื่นต่างทำได้แค่วาดหวังทอดถอนใจ ไร้วาสนาไปเยือน วนเวียนอยู่ในสามพันแดน”

“ระยะห่างจะแยกจากกันโดยสมบูรณ์ในวันนี้!”

คนมากมายกำลังทอดถอนใจ ถอนหายใจไม่หยุด

แดนเก้าบนคือแดนแห่งการช่วงชิงแข่งขันของบุคคลขอบเขตมกุฎ เป็นสนามรบที่หมื่นผู้กล้าธรรมบาลช่วงชิงความเป็นใหญ่ เป็นเวทีต่อสู้ของราชัน

คนอื่นไม่มีคุณสมบัติเข้าไป

นี่ก็คือความแตกต่าง

หรือพูดได้ว่าเป็นการคัดออกโดยปริยาย!

“น่าเสียดาย…”

ผู้แข็งแกร่งที่แต่ก่อนโอ้อวดว่าตนเป็นผู้กล้าและอัจฉริยะบางส่วน บัดนี้กลับไม่มีสิทธิ์เข้าไปในแดนเก้าบน สำหรับพวกเขานี่คือการโจมตีหนักหน่วงโดยไม่ต้องสงสัย

“ที่แดนเก้าบน การช่วงชิงอันดับกระดานทองคำผู้กล้าจะปรากฏ นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเราไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะแข่งขันหรอกหรือ”

ใบหน้าเหล่าผู้แข็งแกร่งเศร้าสลด ในใจรู้สึกพ่ายแพ้

ผู้คนต่างรู้ว่ามีเพียงดันตนขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้า จึงจะมีสิทธิ์เรียกตนว่าเป็น ‘ผู้กล้า’ อย่างแท้จริง!

“ห่างกันเพียงก้าว แตกต่างราวฟ้าดิน ความเหี้ยมโหดแห่งมหามรรคเห็นได้ที่นี่!”

เวลานี้ในสามพันแดนเสียงถอนใจ รำพัน จิตตก หดหู่ โมโห จนปัญญาไม่รู้เท่าไรดังก้องขึ้น

ถึงขั้นมีคนร้องไห้ด้วยเหตุนี้!

ไม่ได้เป็นผู้ฝึกปราณอย่างแท้จริง ยากเข้าใจความรู้สึกจนปัญญาที่ ‘ไร้วาสนาได้เห็นยอดเขาสูง’ เช่นนี้

เทียบกันแล้วเหล่าผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเข้าสู่แดนเก้าบน แต่ละคนอิ่มเอมยินดี จิตใจฮึกเหิม

เสาะแสวงหามหามรรคมาก็เพื่อวันนี้!

“ไป”

แดนขุมทอง อวิ๋นชิ่งไป๋ก้าวนำเข้าไปในหอมกุฎ สีหน้าราบเรียบ

“ออกเดินทาง!”

แดนม่วงแท้ แววตาเยี่ยนจั่นชิวดุจอสนี สาวเท้าก้าวใหญ่ไปเบื้องหน้า

“แดนเก้าบน สถานที่ที่ผนึกศุภโชคพลิกฟ้าหมื่นสมัยเปิดแล้วรึ”

ธิดาเทพหลินเสวี่ยกล่าวเสียงแผ่วเบา

“คราวนี้ข้าจะกลายเป็นขอบเขตมกุฎระดับราชัน แล้วกำราบคนรุ่นเดียวกันให้หมด!”

ในทุ่งโล่งกว้าง ชายหนุ่มหน้าตาธรรมดาท่าทางเก็บตัวคนหนึ่ง พลันกลายร่างเป็นพญาเผิงปีกทองตัวหนึ่ง เผยไออำมหิตไร้เทียมทาน ลอยเหนือนภาหายไปทันใด

บริเวณต่างๆ ในสามพันแดน บุคคลแห่งยุคที่ฝีมือล้ำเลิศคนแล้วคนเล่าเริ่มเคลื่อนไหว มุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบน

ในแดนเผาเซียนก็กำลังเปิดม่านฉากคล้ายคลึงกัน

หน้าหอมกุฎผู้คนคราคร่ำ ผู้แข็งแกร่งที่เจิดจรัสหาใดเปรียบแต่ละคนเดินเข้าไปในหอมกุฎ ภายใต้สายตาอิจฉาและยำเกรงมากมายที่จับจ้อง

เมื่อสังเกตโดยละเอียดจะพบว่า ผู้แข็งแกร่งเหล่านี้แทบทั้งหมดต่างมาจากขุมอำนาจมหาสำนักใหญ่

บ้างเป็นยักษ์ใหญ่ยอดมกุฎในยุคปัจจุบัน

บ้างเป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณ!

ส่วนนอกเมือง ผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นราชันนานแล้วบางส่วนก็เริ่มออกเคลื่อนไหว

ราชันเหล่านี้แค่ทะยานผ่านเมฆก็มาถึงท้องฟ้าเหนือหอมกุฎ อาศัยพลังกฎเกณฑ์มรรคราชันของตนก็สามารถถูกนำทางไปยังแดนเก้าบนได้แล้ว

“เทพมารหลินล่ะ?”

ที่ทำให้ทุกคนสงสัยคือ ในเวลาเช่นนี้กลับขาดหลินสวินไปคนหนึ่ง!

สำหรับหลินสวินที่ทะยานขึ้นอันดับหนึ่งของบันไดสวรรค์มหามรรค ไม่เคยถูกสั่นคลอนเพียงเสี้ยวจนถึงปัจจุบัน ในวันสำคัญที่ทั่วหล้าจับตามองเช่นนี้กลับไม่ปรากฏตัว นี่ทำให้คนแปลกใจโดยไม่ต้องสงสัย

“เขาไม่คิดไปแดนเก้าบนแล้วรึ” มีคนกล่าวหยอกล้อ

“พูดไร้สาระให้น้อยหน่อย ความคิดของเทพมารหลินจะเป็นสิ่งที่เราสามารถคาดเดาได้อย่างไร ไม่ว่าอย่างไรเขาจะต้องไปแดนเก้าบนแน่!”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ เสียงตวาดราวฟ้าคะนองหนึ่งดังก้องบนเวิ้งฟ้าทันใด

“หลินสวิน เผ่าอีกาทองของข้าจะรอเจ้าที่แดนเก้าบน!”

น้ำเสียงเยียบเย็นเสียดกระดูก เปี่ยมความเกลียดชังเหลือคณา

ทุกคนเงยหน้าขึ้นไปก็เห็นชายหนุ่มชุดดำคนหนึ่งหยัดยืนบนเวิ้งฟ้า ทั่วร่างแผ่อานุภาพกดดันแห่งมรรคราชัน เป็นอูหยวนเจิ้นแห่งเผ่าอีกาทองนั่นเอง!

ตอนนั้นเขาเคยกมข่มหลินสวินที่หน้าประตูเมือง

ในใจทุกคนสั่นสะท้าน เทพมารหลินยังไม่เข้าสู่แดนเก้าบนก็ถูกหมายหัวเสียแล้ว

“เลือดต้องล้างด้วยเลือด เทพมารหลิน ถ้ากล้าเจ้าก็มาที่แดนเก้าบน!”

“ทางที่ดีเจ้าล้างคอรอไว้ได้เลย!”

“แดนเก้าบนไม่มีโอกาสให้เจ้าได้เป็นเต่าหดหัวอีกแล้ว!”

เวิ้งฟ้าอีกด้านหนึ่ง ผู้แข็งแกร่งระดับราชันอย่างเมี่ยวเฉินแห่งสำนักยุทธ์นครนิล ซางชงจากเผ่าวิญญาณสมุทร หวังอวิ๋นทงแห่งลัทธิบูชาจันทร์ต่างส่งเสียงเย็นชา

ช่วงที่ผ่านมาพวกเขาถูกตัดขาดอยู่นอกเมืองโบราณเผาเซียน แค่คิดก็รู้แล้วว่าในใจอัดอั้นเพียงใด

ตอนนี้ช่องทางสู่แดนเก้าบนเปิดออก ทำให้พวกเขาไม่ต้องอดกลั้นอีก ก่อนเดินทางจึงกล่าวคำรุนแรงทิ้งท้ายเช่นนี้

ในที่นั้นเงียบสงัด ล้วนถูกทำให้หวั่นหวาด

สาเหตุที่เทพมารหลินไม่เคลื่อนไหวมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนตอนนี้ เป็นเพราะคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้อยู่แล้วรึ

“เหอะๆ จำคำข้าเอาไว้ เมื่อข้ากลายเป็นราชัน เมื่อนั้นก็คือเวลาตายของพวกเจ้า”

ทันใดนั้นเสียงหัวเราะเบาๆ ดังขึ้น

ทุกคนหันกลับไปโดยพร้อมเพรียง ก็เห็นหลินสวินปรากฏตัวเหนือยอดตำหนักที่พักไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ กำลังถือน่องหมาดำย่างกินอย่างเอร็ดอร่อย

ท่าทางเขาสบายๆ มองเหล่าราชันบนฟ้าราวสิ่งไร้ค่า!

ปรากฏตัวแล้ว!

ในลานพลันเกิดความไม่สงบ คิดไม่ถึงว่าเวลานี้แล้วเทพมารหลินยังคงความสง่างามดังแต่ก่อนได้ แข็งกร้าวจนพาให้คนงุนงงไปหมด

“เจ้าเดรัจฉาน ยังคิดกลายเป็นราชันอีกรึ เจ้าคิดว่าพวกข้าจะให้โอกาสเจ้าหรือไร”

อูหยวนเจิ้นหัวเราะลั่น เสียงราวนกฮูกหวีดร้องเสียดแก้วหู

ประโยคเดียวทำให้ผู้คนทอดถอนใจในใจ จริงดังว่า ตอนนี้เทพมารหลินยังไม่ใช่ระดับราชัน ขอแค่เข้าสู่แดนเก้าบน ใครจะปล่อยให้เขากลายเป็นราชันต่อหน้าต่อตา

คาดเดาล่วงหน้าได้เลยว่า ก่อนจะได้กลายเป็นราชันเขาคงถูกขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ไล่ล่าอย่างเหี้ยมโหดที่สุดแน่!

“ไปเถอะ พูดเรื่องพวกนี้กับคนใกล้ตายคนหนึ่งจะมีความหมายอะไร”

บนเวิ้งฟ้าเหล่าราชันยิ้มเยาะ ถอนสายตากลับไม่ใส่ใจหลินสวินอีก เงาร่างพริบไหว ถูกนำทางเข้าเส้นทางสู่แดนเก้าบน

และในเวลาเดียวกันนี้หลินสวินลุกขึ้นอย่างเกียจคร้าน โยนกระดูกที่กินเนื้อเกลี้ยงแล้วในมือทิ้ง จากนั้นจึงโบกมือไปทางฝูงชนที่ห่างออกพลางกล่าว “ไม่ต้องดูแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องทำ ตอนนี้ยังไม่จากไป”

เขาพูดพลางเงาร่างพริบไหว หายไปจากตรงนั้น

“มีเรื่องต้องทำรึ ข้าว่ากลัวเข้าไปในแดนเก้าบนแล้วจะถูกล้อมโจมตี ด้วยเหตุนี้จึงไม่กล้าจากไปมากกว่ากระมัง” ผู้สืบทอดขุมอำนาจคนหนึ่งกล่าวพึมพำ

ทันใดนั้นเขาก็ถูกศิษย์ร่วมสำนักข้างกายตำหนิ “หุบปาก! เจ้าอยากหาเรื่องให้สำนักเรารึ”

ในฐานะที่เป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ ใช่ว่าใครก็มีสิทธิ์เข้าไปในแดนเก้าบนได้

หรือพูดได้ว่าเหล่าขุมอำนาจใหญ่ในเมืองยังต้องอยู่ในแดนเผาเซียน ใช้ที่นี่เป็นฐานที่มั่น บุกเบิกเสาะหาวาสนาและศุภโชคในแดนเผาเซียนต่อไป

ในเวลานี้เพียงแค่หลินสวินอยู่ในเมืองต่อหนึ่งวัน ขุมอำนาจพวกนี้ก็ไม่กล้าเบาใจแม้แต่วันเดียว!

“เวลาเปิดช่องทางมีแค่เดือนเดียว ข้าไม่เชื่อว่าเทพมารหลินจะไม่ไปต่อ นอกเสียจากว่าเขาไม่อยากมุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนแล้วจริงๆ!”

ผู้สืบทอดขุมอำนาจบางส่วนแอบยิ้มเยาะ

สถานการณ์เปลี่ยนไปแล้ว ก่อนหน้านี้พวกเขาหวาดกลัวเทพมารหลิน ทำได้แค่อดทนอดกลั้น แต่ใครๆ ก็รู้ว่าสุดท้ายเทพมารหลินต้องจากไปอยู่ดี ใครจะมามัวหวั่นเกรงและหวาดกลัวอีกเล่า

ยิ่งไปกว่านั้น ในแดนเก้าบนยังมีคนอีกมากที่อยากสังหารเทพมารหลินจนทนไม่ไหว!

แทบจะวันเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งที่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบนในแดนเผาเซียนจากไปเกือบหมดแล้ว

ผ่านไปเจ็ดวัน

ในเมืองโบราณเผาเซียนแทบจะหาร่างคนที่มุ่งหน้าไปยังแดนเก้าบนไม่พบ

แม้แต่ผู้แข็งแกร่งที่กลายเป็นราชันนานแล้วพวกนั้นก็ทยอยทะยานสู่ฟากฟ้าจากนอกเมือง ออกจากแดนเผาเซียนกันไปหมด

แต่ที่ทำให้ทุกคนต่างแปลกใจคือ ผ่านไปเจ็ดวันแล้วหลินสวินกลับไม่มีสัญญาณว่าจะไปแดนเก้าบนแม้แต่น้อย!

เขาหวาดกลัวจริงหรือ กังวลว่าหลังเข้าสู่แดนเก้าบนแล้วจะเจออันตรายที่ไม่อาจคาดเดารึ

หรือเขากำลังรออะไรบางอย่าง

คืนวันนั้นเอง

เงาร่างลับๆ ล่อๆ กลุ่มหนึ่งเข้ามาทางประตูเมือง

เพียงแต่เพิ่งเข้าเมืองมาคนพวกนั้นก็อึ้งงัน ไม่รู้ว่าหนทางข้างหน้าถูกเงาร่างสันโดษโดดเด่นหนึ่งขวางไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่

“แย่แล้ว เป็นเทพมารหลิน!”

มีคนหวีดร้องทันที

ขณะเดียวกันหลินสวินก็ยิ้มแล้ว “รู้อยู่แล้วว่าสวะอย่างพวกเจ้าต้องอดไม่ไหวเข้าเมืองมาแน่ คิดว่าข้าเอาตัวไม่รอด ไม่มีทางนึกถึงพวกเจ้าแล้วใช่ไหม”

“หนี!”

เงาร่างพวกนั้นตกใจจนจิตวิญญาณแทบลอยล่อง หันหลังหนีไปนอกเมือง

ทว่าหลินสวินชิงลงมือสำแดงผนึกป้าเซี่ยแล้ว พลังผนึกต้องห้ามไร้รูปแผ่กระจาย คนพวกนั้นพลันถูกพันธนาการอยู่ตรงนั้นทันที

จากนั้นร่างกายก็ระเบิดออกคนแล้วคนเล่า ฝนโลหิตสาดพรมตายคาที่

หลินสวินสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง ศพและน้ำเลือดบนพื้นล้วนระเหยหายไปสิ้น เหมือนทุกอย่างเมื่อครู่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ผู้ฝึกปราณพวกนี้คือเหล่าผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ที่หนีไปนอกเมืองยามหลินสวินชำระเลือดล้างบาง!

มีหลินสวินควบคุม พวกเขาจึงไม่กล้าเข้าเมืองมาโดยตลอด แน่นอนว่าไม่มีทางหาโอกาสทะลวงด่านในหอมกุฎได้ ถึงขั้นตัดโอกาสเข้าไปในแดนเก้าบนอย่างสิ้นเชิง

ในขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ คนที่กลายเป็นราชันได้น่าจะจากไปเกือบหมดแล้ว

ที่เหลือล้วนเป็นพวกที่ยังไม่กลายเป็นราชัน ทั้งเป็นผู้สืบทอดที่ไม่มีสิทธิ์เข้าสู่แดนเก้าบน

เดิมพวกเขาคิดว่าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง ไม่ช้าก็เร็วเทพมารหลินต้องจากไป ไม่มีเวลามาคำนึงถึงพวกเขา ดังนั้นจึงรวบรวมความกล้าวางแผนเข้าเมือง

ใครจะคิดว่าทันทีที่เข้าเมืองมาจะถูกขวาง จากนั้นก็ประสบเคราะห์!

แววตาลุ่มลึกของหลินสวินมองไปนอกประตูเมืองเงียบๆ วูบหนึ่ง สุดท้ายก็ไม่ได้เดินออกไป หากแต่หันหลังจากไป

“เจ้าเด็กนี่รอบจัดเกินไปแล้ว!”

หลินสวินจากไปไม่นาน ในรัตติกาลนอกเมืองก็ปรากฏเงาร่างมากมาย แต่ละคนล้วนแผ่อานุภาพมรรคราชันทรงพลังออกจากตัว

“ทำอย่างไรดี เขาไม่ไปแดนเก้าบนทั้งไม่ยอมออกจากเมือง พวกเหยื่อล่อที่เข้าเมืองไปเมื่อครู่ก็ถูกเขาสังหารหมด พวกเราต้องรอต่อไปเช่นนี้หรือ”

มีคนเอ่ยเสียงต่ำเบา แฝงความไม่พอใจและเกลียดชังอย่างเห็นได้ชัด

“ในใจเขาตั้งมั่นเฝ้าระวังไว้นานแล้ว คงไม่ออกจากเมืองนี้แน่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเรารออยู่ที่นี่ไปก็เปล่าประโยชน์”

“เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”

“เอาตามนั้นแล้วกัน”

บนท้องถนนในเมือง หลินสวินกำลังเดินเล่นคนเดียว ก้าวย่างเนิบช้า

ไม่นานเขาราวรับรู้ถึงอะไรบางอย่าง เงยหน้ามองไปยังเวิ้งฟ้าก็เห็นเงาร่างเปี่ยมกลิ่นอายมรรคราชันหลากสายกำลังจากไปทีละคน

‘ดูท่าไม่รีบฆ่าให้หมดคงไม่ได้…’

นัยน์ตาดำหลินสวินล้ำลึกเยียบเย็น

ใครเล่าจะคิดว่านอกเมืองยังมีผู้แข็งแกร่งระดับราชันมากขนาดนี้ซุ่มตัวอยู่เพื่อจัดการเขา

ไม่จำเป็นต้องใคร่ครวญ หลินสวินก็รู้ว่าคนพวกนี้ต้องมาจากพวกขุมอำนาจใหญ่อย่างเผ่าอีกาทองแน่!

………………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท