Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1175 สิบแปดเคราะห์

ตอนที่ 1175 สิบแปดเคราะห์

‘โทสะพระเวท’ เหมือนกัน แต่มู่จิ้งหนึ่งในสิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ที่ฝึกวิชาธรรมตั้งแต่เด็ก กลับพ่ายแพ้ในมือคนนอกด้วยการโจมตีเดียว!

พวกมู่เจิ้งต่างนัยน์ตาหดรัด ประสานเสียงตวาด “เจ้านอกรีต!”

น้ำเสียงเปี่ยมความตระหนกขุ่นเคืองอย่างเห็นได้ชัด

ส่วนมู่จิ้งยิ่งเผยสีหน้ายากจะเชื่อ พ่ายแพ้บนมรดกวิชาสยบหล้าที่ตนถนัดที่สุด นี่ก่อให้เกิดแรงกระเทือนต่อเขาอย่างหนักหน่วง

“เหอะ!”

ภิกษุหน้าตาหล่อเหลาเหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่งก้าวออกมา เขาฉายามู่เหิง เวลานี้กำลังสวดธรรมคาถาเร้นลับ

แสงธรรมสีดำสายหนึ่งรวมตัวเป็นแสงสมประสงค์ในชั่วพริบตา

แสงสมประสงค์ยาวสามฉื่อ ประทับอักษรธรรมหลากสายผ่าลงกลางอากาศฉับพลัน มีอานุภาพกำราบฟ้าดิน

วิชากษิติครรภ์สมประสงค์!

พร้อมกันนี้หลินสวินก็เอ่ยธรรมคาถา สำแดงวิชากษิติครรภ์สมประสงค์ออกมาเช่นกัน

ทว่าแสงสมประสงค์ที่ควบรวมออกมากลับยิ่งใหญ่ดุจภูผาสูงตระหง่านเบียดฟ้าดิน อักษรธรรมหลากสายที่ประทับอยู่บนนั้นรวมตัวจากเพลิงศักดิ์สิทธิ์หงส์ทมิฬ ทำเอาผู้คนหวั่นหวาด

ปึง!

การโจมตีแบบเดียวกัน มู่เหิงกลับถอยร่นสีหน้าซีดเผือด หน้าอกกระเพื่อมไหว ยากจะรับจนเกือบกระอักเลือด

นี่ทำให้พวกมู่เจิ้งต่างเดือดดาลไม่กล้าเชื่อ

คนนอกคนหนึ่งกลับใช้พลังมรดกวิชาชั้นสูงของอารามกษิติครรภ์ของพวกเขากำราบศิษย์ร่วมสำนักสองคนได้ นี่เป็นเรื่องที่ไม่อาจคาดคิด!

“พวกเจ้าเห็นข้าเป็นพวกนอกรีต แต่กลับพ่ายแพ้ในวิชาที่ตนถนัดที่สุด น่าขายหน้าเกินไปไหม”

หลินสวินเคร่งขรึมมีสง่า แสงธรรมไหลเวียนทั่วร่าง มีพลังแห่งความศักดิ์สิทธิ์น่าเกรงขาม เหมือนผู้บำเพ็ญธรรมยิ่งกว่าสาวกอารามกษิติครรภ์เสียอีก

นี่ทำให้พวกมู่เจิ้งสีหน้าอึมครึมอยู่บ้างแล้ว

“ศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกท่าน เห็นได้ชัดว่าเจ้าเดรัจฉานนี่ฝึกคัมภีร์มรรคของบรรพจารย์ตู้จี้แล้ว วันนี้หากไม่ขุดรากถอนโคนมัน สำนักอารามกษิติครรภ์ของเราต้องถูกสั่นคลอนแน่!”

มู่เจิ้งตวาดลั่น

ภิกษุคนอื่นต่างกล่าวเสียงขรึม “ยินดีอุทิศตนกำราบมารปีศาจ!”

ตูม!

การต่อสู้ปะทุขึ้น สิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์ต่างคนต่างสำแดงวิชามรรคกำราบหลินสวินจากทั่วทิศทาง

ชั่วพริบตาที่แห่งนี้แสงธรรมปั่นป่วน เสียงสวดดังเป็นระลอก เกิดปรากฏการณ์ประหลาดยิ่งใหญ่ ภิกษุสวดภาวนา บุปผาสวรรค์โปรยปรายอยู่รางๆ

ที่นี่เหมือนกลายเป็นสมรภูมิเมืองพุทธ!

ขณะเดียวกันหลินสวินก็เริ่มจู่โจม ใต้เท้าแสงธรรมแผ่กระจายรวมเป็นฐานบัวสีดำเก้าชั้น เหนือศีรษะมีหงส์ทมิฬบินวน เสียงก้องกังวานเก้าชั้นฟ้า!

“ผลาญ!”

ภิกษุชุดดำคนหนึ่งเหยียบพญามังกรดุจอรหันต์ปราบมังกร ลูกประคำเส้นหนึ่งในมือส่องประกายแผ่เพลิงธรรมลุกโหม

มรดกวิชาอารามกษิติครรภ์… เพลิงปทุมล้างโลก!

นัยน์ตาดำของหลินสวินนิ่งสงบ หว่างคิ้วไหลเวียนด้วยแสงแห่งปัญญา สะบัดแขนเสื้อใช้เพลิงปทุมล้างโลกต้านกลับเช่นกัน

แสงธรรมเข้าปะทะในชั่วพริบตา ภิกษุชุดดำรูปนั้นถูกเผาจนล้มลุกคลุกฝุ่น หากไม่ใช่ว่าหลบทันคงถูกฝังในทะเลเพลิงไปแล้ว

นี่ทำให้คนอื่นตระหนกขุ่นเคืองยิ่งกว่าเดิม

อีกทั้งหลังต่อสู้อย่างต่อเนื่องพวกมู่เจิ้งก็ค้นพบอย่างน่าตระหนกว่า ไม่ว่าพวกเขาจะสำแดงวิชาลับอะไร ล้วนถูกหลินสวินใช้วิชาลับแบบเดียวกันคลี่คลาย ทั้งอานุภาพยังทรงพลังกว่าด้วย!

“นี่เป็นไปได้อย่างไร”

สีหน้าพวกเขาแปรปรวนไม่หยุด สภาวะจิตได้รับผลกระทบ

พ่ายแพ้แก่ศัตรูไม่น่ากลัว ที่น่ากลัวคือแพ้ด้วยวิชาที่ตนถนัดที่สุด การโจมตีนี้สิหนักหน่วงที่สุด!

พรูด!

ไม่นานก็มีคนกระอักเลือด ถูกหลินสวินใช้ประทับฝ่ามือสำนักพุทธทำบาดเจ็บ

ปึง!

ไม่ทันไรคนที่อยู่ในการประชันเสียงธรรมก็ถูกเสียงตวาดของหลินสวินกระเทือนจนลอยละลิ่ว จิตวิญญาณแทบพังทลาย

มองไปเห็นหลินสวินก้าวย่างทั่วบริเวณ แสงธรรมไหลวน ฐานบัวล้อมพิทักษ์ หงส์ทมิฬโอบวน เหมือนดั่งมุนินทร์ที่แท้จริงองค์หนึ่งอุบัติขึ้นบนโลก พุทธานุภาพดุจห้วงสมุทร!

นี่ทำให้พวกมู่เจิ้งดวงตาปูดโปนแทบถลน ในใจเดือดดาลถึงขั้นไม่มีอะไรยิ่งกว่า

เป็นแบบนี้ไปได้อย่างไร

ก่อนหน้านี้พวกเขาคำก็นอกรีตสองคำก็นอกรีต หมายโปรดสัตว์หลินสวิน คำพูดเต็มไปด้วยความเฉยชาและเยียบเย็น

แต่ตอนนี้ในใจกลับปั่นป่วนเหมือนนกผวา ไม่มีท่าทีเหมือนแต่ก่อนอีก

แต่สำหรับหลินสวินการต่อสู้นี้กลับทำให้เขารู้ว่า ‘คัมภีร์มหาครรภ์จุติ’ ที่อริยสงฆ์ตู้จี้และนางพญาหงส์ทมิฬสร้างมาด้วยกัน มหัศจรรย์และน่ากลัวกว่าที่เขาคาดการณ์นัก!

คัมภีร์นี้หลอมรวมคัมภีร์มหากษิติครรภ์และมรดกวิชาของเผ่าหงส์ทมิฬไว้ด้วยกัน ถูกอริยะทั้งสองใช้สติปัญญาชั้นยอดกลั่นกรองผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดแล้วอนุมานออกมา จะธรรมดาได้อย่างไร

พูดได้ว่าปริศนาแห่งวิชามรรคที่พวกมู่เจิ้งมี ถูกอริยสงฆ์ตู้จี้ทยอยอนุมานไว้ในคัมภีร์มหาครรภ์จุติอยู่ก่อนแล้ว ทั้งยังผ่านการยกระดับใหม่อีกด้วย

ปัจจุบันทุกอย่างนี้ล้วนถูกหลินสวินครอบครอง ยามนำมาใช้จัดการพวกมู่เจิ้ง แน่นอนว่าสามารถสร้างอานุภาพน่าเหลือเชื่อออกมาได้

ก็เหมือนกับว่าความลับที่พวกมู่เจิ้งมีถูกเปิดเผยออกมาจนหมด แน่นอนว่าไม่มีภัยคุกคามอีก!

ครืน!

การต่อสู้ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เพียงแต่สิบแปดศิษย์อารามกษิติครรภ์กลับมีสถานการณ์เพลี่ยงพล้ำย่ำแย่ ถูกหลินสวินกำราบอย่างรวดเร็วรุนแรง

ถึงตอนนี้พวกเขาต่างได้รับบาดเจ็บจนเกือบต้านทานไม่อยู่

“เจ้านอกรีต! เจ้าคิดจริงๆ หรือว่าพวกข้าจะทำอะไรเจ้าไม่ได้”

มู่เจิ้งส่งเสียงคำราม เขาเลือดอาบไปทั้งตัวได้รับบาดเจ็บสาหัส หว่างคิ้วเปี่ยมความเคียดแค้นชิงชังราวสัตว์ปีศาจที่ถูกยั่วโทสะ

“สร้างค่ายกล!”

เขาตวาดลั่น หว่างคิ้วฉายแววเด็ดเดี่ยว

ศิษย์อื่นอีกสิบเจ็ดคนต่างสวดธรรมคาถา สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เฉยชา เด็ดเดี่ยว

บนตัวพวกเขาแผ่กลิ่นอายเร้นลับที่ทำให้ผู้คนใจสั่นโดยพร้อมเพรียง พุ่งทะลวงเวิ้งนภาจนฟ้าดินเปลี่ยนสี

ในใจหลินสวินพลันเย็นวาบ รู้สึกไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง

“ขึ้นมา!”

มู่เจิ้งตวาดลั่น

ทันใดนั้นฟ้าดินแถบนี้ก็ปรากฏค่ายกลเร้นลับแน่นหนา เสมือนดอกอุทุมพรในตำนานมากมายเบ่งบาน

พริบตานั้นหลินสวินรู้สึกเพียงร่างไหววูบ ชั่วขณะก็มาถึงท้องฟ้าเหนือเมืองโบราณเผาเซียน

รอบกายเขาผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์สิบแปดคนอย่างพวกมู่เจิ้ง มู่จิ้ง มู่เหิง แยกกันยืนในค่ายกลคนละฟากราวเหยียบฐานบัว

“ค่ายกลเขาสุเมรุผนึกมาร?”

ตอนแรกหลินสวินยังตื่นตระหนก แต่หลังหยั่งรู้ปริศนาภายในเขาก็สงบลง

เขารู้จักค่ายกลที่พวกมู่เจิ้งสร้างขึ้น ด้วยมีบันทึกไว้ในคัมภีร์มหาครรภ์จุติ

ตอนอยู่ในเมืองเมื่อครู่ สาเหตุที่เขาถูกปิดล้อมอย่างไร้สุ้มเสียงคงมาจากอานุภาพของค่ายกลนี้เช่นกัน

“พวกเจ้าคงไม่ได้คิดว่าอาศัยค่ายกลนี้แล้วจะจัดการข้าได้กระมัง”

หลินสวินไม่เข้าใจอยู่บ้าง

ความจริงแล้วในใจเขาแอบร้อนรนเล็กน้อย เกิดความระแวงขึ้นมา ทำเอาเขาป้องกันตัวเต็มที่ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม

มู่เจิ้งในตอนนี้สีหน้าแปลกไปอยู่บ้าง มีทั้งเด็ดเดี่ยว เคียดแค้นชิงชัง เฉยเมยและนิ่งสงบ ราวกับมองความตายดั่งคืนสู่มาตุภูมิ

ศิษย์คนอื่นก็เป็นแบบเดียวกัน!

“สหายยุทธ์หลิน ก่อนหน้านี้อาตมาบอกแล้วว่าหลังตัดสินใจจัดการเจ้า พวกเราก็ไม่สนความเป็นตาย พวกนอกรีตอย่างเจ้าสวรรค์ต้องไม่ปล่อยไว้แน่ วันนี้จะต้องประสบเคราะห์!”

มู่เจิ้งสีหน้าเฉยเมย

คำว่า ‘เคราะห์’ ถูกเขาเน้นหนัก

นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดลง ดาบหักพลันพุ่งออกมาทันที

ความรู้สึกถึงวิกฤติในใจเขาชัดขึ้นเรื่อยๆ รู้ได้ว่าไม่อาจรออีกต่อไป แม้ไม่แน่ใจว่าพวกมู่เจิ้งจะใช้กระบวนสังหารอะไร

แต่ไม่อาจรออีกต่อไปแล้ว!

ทว่าเวลาเดียวกับที่ดาบหักโฉบออก บนตัวมู่เจิ้งก็มีพลังเร้นลับทะลวงเวิ้งฟ้าเอ่อล้นออกมาทันใด

ตูม!

บนเวิ้งฟ้าที่นิ่งสงบพลันก้องเสียงฟ้าคำรามขึ้นมา เสียงนั้นดั่งกลองเทพสะท้อนอยู่ในใจหลินสวินอย่างหนักหน่วง ทำให้เขาหน้าเปลี่ยนสีทันที

ดาบหักที่เพิ่งเรียกออกมาถูกเขาเก็บกลับไปโดยไม่ลังเล

ขณะเดียวกันทั้งเมืองโบราณเผาเซียน ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนรู้สึกเพียงในใจพลันสั่นสะท้าน ขนลุกไปทั้งตัวเหมือนถูกดวงตาสวรรค์จับจ้อง!

“นี่คือ…”

สายตานับไม่ถ้วนมองไปบนเวิ้งฟ้ากันพรึ่บพรั่บ

เมื่อเห็นเทพมารหลินตัวคนเดียวถูกภิกษุสิบแปดคนปิดล้อม ผู้ฝึกปราณไม่น้อยก็ตื่นตะลึงแทบไม่กล้าเชื่อ

“เป็นผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์!”

มีคนร้องเสียงหลง ก่อให้เกิดความโกลาหล

เมื่อนานมาแล้วมีข่าวลือว่าผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์เห็นเทพมารหลินเป็นพวกนอกรีตอันดับหนึ่ง หมายจะโปรดสัตว์เขา

เพียงแต่ใครก็คิดไม่ถึงว่าเหตุการณ์นี้จะเกิดขึ้นจริง!

ทั่วทั้งเมืองอึกทึกครึกโครมแล้ว

ไม่รู้มีเสียงตื่นตระหนกฮือฮาดังขึ้นเท่าไหร่

ระยะเวลาก่อนช่องทางมุ่งสู่แดนเก้าบนจะปิดเหลือแค่สามวัน ขณะที่ทุกคนกำลังแปลกใจว่าเหตุใดเทพมารหลินยังไม่เริ่มเคลื่อนไหวก็เห็นภาพเช่นนี้เข้า นี่จะไม่ให้คนตกใจได้อย่างไร

ในเมืองอึกทึกครึกโครม บนเวิ้งฟ้ากลับกดดันและเงียบเชียบ

นัยน์ตาดำของหลินสวินประกายเยียบเย็นไหลหลั่ง มองไปยังพวกมู่เจิ้งทีละคน สุดท้ายก็เหลือบสายตาไปยังเวิ้งฟ้าเหนือศีรษะ

ที่นั่นห้วงอากาศสีฟ้าถูกเมฆาเคราะห์ดำสนิทราวหมึกเขียน แน่นหนาไร้ขอบเขตชั้นหนึ่งปกคลุม แผ่กลิ่นอายที่กดดันและสั่นสะเทือน

อึดอัดเกินไปแล้ว ทำเอาผู้คนหายใจไม่สะดวก

เหล่าผู้ฝึกปราณที่แตกตื่นอื้ออึงในเมือง เวลานี้ต่างกลัวจนตัวสั่นงันงกอ่อนระทวยไปทั้งร่าง นี่… นี่คือสัญญาณว่าเคราะห์สวรรค์จะมาเยือน!

บนเวิ้งฟ้าเมฆาเคราะห์เกาะกลุ่มรวมกันมากขึ้นเรื่อยๆ เดิมเป็นเวลากลางวัน แต่ตอนนี้กลับตกอยู่ในรัตติกาลนิรันดร์ ฟ้าดินมืดสลัว

“เจ้าดึงดูดเคราะห์สวรรค์มรรคราชันของตนมาโดยไม่คำนึงถึงอะไร คงไม่ได้คิดว่าจะใช้พลังแห่งอสนีเคราะห์มาสังหารข้ากระมัง”

ผมดำของหลินสวินพลิ้วไหว นัยน์ตาฉายประกายเยียบเย็น เสื้อผ้าส่งเสียงสะบัด

มู่เจิ้งสีหน้าเฉยชาพยักหน้ากล่าว “ไม่ผิด พวกเรารู้ดีว่าสหายยุทธ์หลินพลังต่อสู้ล้ำเลิศ หาใช่สิ่งที่พวกเราสามารถเทียบเทียม มีเพียงพึ่งพาพลังเคราะห์แห่งสวรรค์นี้จึงอาจโปรดสัตว์สหายยุทธ์ได้”

เขาพูดพลางชี้เมฆาเคราะห์บนเวิ้งฟ้ากล่าว “เจ้าดูสิ ยามอสนีเคราะห์มาเยือนจะต้องครอบคลุมที่นี่แน่ แม้เป็นเคราะห์ของข้า แต่เจ้าก็ต้องยากหลบหนี!”

ใช้พลังแห่งเคราะห์สวรรค์สังหารเทพมารหลิน!

ผู้ฝึกปราณในเมืองสูดหายใจเย็น หนาวสั่นไปทั้งตัว ผู้สืบทอดอารามกษิติครรภ์นี้เหี้ยมโหดเกินไปแล้ว หมายสู้กับเทพมารหลินจนตายกันไปข้าง!

“พวกเจ้าไม่กลัวตายรึ”

หลินสวินสีหน้าเยียบเย็น เวลานี้เขาเข้าใจความคิดของพวกมู่เจิ้งโดยกระจ่าง ในใจอดไม่ได้ที่จะเย็นวาบ

มิน่าลาหัวโล้นแห่งอารามกษิติครรภ์พวกนี้ถึงทำให้คนในใต้หล้าหวาดกลัวได้ เพื่อบรรลุเป้าหมายล้วนไม่เสียดายแม้แต่ชีวิต ช่างร้ายกาจจริงๆ บ้าระห่ำเกินไปแล้ว!

“หากสามารถใช้ชีวิตพวกเราโปรดสัตว์สหายยุทธ์ได้ แม้ตายไป สำหรับพวกเราก็ไม่ต่างอะไรกับการไปแดนสุขาวดี”

สีหน้ามู่เจิ้งมุ่งมั่นและเด็ดเดี่ยวยิ่งกว่าเดิม

หลินสวินสูดหายใจลึก กวาดสายตามองโดยรอบ แต่กลับพบว่าบนตัวศิษย์คนอื่นอีกสิบเจ็ดคนล้วนแผ่กลิ่นอายเร้นลับเชื่อมต่อผืนฟ้า เห็นได้ชัดว่าชักนำเคราะห์สวรรค์มรรคราชันของตนมาในเวลานี้เช่นกัน

สิบแปดคน เคราะห์แห่งมรรคราชันสิบแปดชั้น กำลังมาเยือนบริเวณนี้พร้อมกัน!

ในใจหลินสวินพลันหนักอึ้งขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

ไม่มีโอกาสหนีแล้ว ทั่วทิศทางล้วนแต่เป็นคนที่จะข้ามด่านเคราะห์ ปิดล้อมบริเวณนี้ด้วยค่ายกลเขาสุเมรุผนึกมาร

ทั้งไม่ต้องพูดถึงการทำลายค่ายกล แค่เพียงเข้าไปใกล้ก็จะถูกเคราะห์สวรรค์ผ่าลงบนร่าง จะหนีได้อย่างไร

นี่คือสถานการณ์รุกฆาต!

……………………..

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท