พรวด!
ขวานศึกสีเงินไหววูบ น้ำเลือดสาดกระเซ็น
แขนที่โดนตัดขาดท่อนหนึ่งกระเด็นไปในฟากฟ้า
ลี่ซั่งสุ่ยเจ็บปวด ส่งเสียงร้องคำราม เงาร่างถอยกรูด สีหน้าซีดเผือดหาใดเทียบไปแล้ว
เขาโชกเลือดไปทั้งกาย มองหลินสวินอย่างทำใจเชื่อได้ยาก เหมือนจดจ้องสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งอยู่ ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว
“จะ… เจ้าเป็นใครกันแน่”
ลี่ซั่งสุ่ยจิตใจปั่นป่วน เป็นผู้มีระดับมกุฎราชันเหมือนกัน แต่เขากลับถูกกดข่มโดยสมบูรณ์ นี่ทำให้เขางุนงงอยู่บ้าง
พวกเมิ่งอิงหวาพลันนึกถึงเวินเอ้าไห่ที่ตายไป ตอนนั้นเวินเอ้าไห่ก็มีท่าทีไม่อาจยอมรับได้และทำใจเชื่อได้ยากเช่นนี้
สวบ!
หลินสวินไม่ตอบ เงาร่างไหววูบ ขวานศึกสีเงินเสยขึ้น ลากแสงมรรคสีเงินยาวเป็นพันจั้ง ส่องแสงเจิดจ้าตระการตา
“ข้ายอมแพ้!”
ลี่ซั่งสุ่ยร้องเสียงหลงออกมา ยอมแพ้อย่างไม่ลังเล
ฮูม!
ลมกรรโชกราวคมดาบ พัดเป่าให้ผมยาวทั้งศีรษะของเขาพลิกตลบ คมขวานแหลมคมโคจรแสงมรรค ห่างจากศีรษะของเขาเพียงสามชุ่น
ลี่ซั่งสุ่ยเหงื่อไหลโชก ตัวแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหากเขายอมแพ้ช้าไปกว่านี้อีกนิดเดียว จะต้องถูกขวานศึกสีเงินของตนสับทั้งเป็นแน่!
บนพื้น ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดเหล่านั้นต่างงุนงง ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น
“ทำไมตอนนี้ถึงกลัวตายล่ะ” หลินสวินจะยิ้มก็ไม่ใช่ไม่ยิ้มก็ไม่เชิง
ลี่ซั่งสุ่ยกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก พูดอย่างขมขื่นว่า “พลังต่อสู้ของนายท่านไร้เทียมทาน เป็นข้าที่ดวงตาหามีแววไม่”
ชิ้ง!
หลินสวินพลิกฝ่ามือทีหนึ่ง ยัดขวานศึกสีเงินให้อีกฝ่ายแล้วเอ่ยว่า “ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด คราวนี้จะไว้ชีวิตเจ้าแล้วกัน”
ลี่ซั่งสุ่ยอึ้งไป เหมือนคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะพูดง่ายเช่นนี้ ครู่ใหญ่ถึงได้สติกลับมา
เขาเผยสีหน้าละอายใจอย่างอดไม่ได้ ค้อมตัวเคารพกล่าวว่า “ขอบคุณนายท่านที่มีน้ำใจกว้างขวาง หากมีโอกาสจะต้องทดแทนบุญคุณที่ไม่ฆ่าข้า”
วาจากังวาน
พวกเมิ่งอิงหวาเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกซับซ้อนอย่างอดไม่ได้ พวกเขากริ่งเกรงและหวั่นกลัวหลินสวินหาใดเทียบ แต่ตอนนี้กลับเกิดความชื่นชมขึ้นเอง
ทุกคนล้วนกล่าวว่าเทพมารหลินอหังการไม่หวั่นเกรง โหดเหี้ยมหาใดเทียบ
แต่หากเข้าใจอย่างถ่องแท้ก็จะพบว่าเขาแบ่งแยกบุญคุณความแค้นชัดเจน เพียงฆ่าคนที่ควรฆ่า แต่ไม่ได้เป็นเพชฌฆาตใจยักษ์ที่ฆ่าคนบริสุทธิ์ไม่เลือกหน้า
เวินเอ้าไห่ตายแล้ว แต่พวกเมิ่งอิงหวาต่างยังมีชีวิตอยู่ นี่ก็เป็นหลักฐานที่ดีที่สุด!
แม้จะเป็นศัตรู แต่พวกเมิ่งอิงหวาก็ต้องยอมรับว่าเทพมารหลินมีเสน่ห์อันเป็นเอกลักษณ์อยู่กับตัว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจตำหนิและโจมตีพฤติกรรมเขาได้
ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดเหล่านั้นล้วนลอบถอนหายใจโล่งอก ลี่ซั่งสุ่ยไม่ได้ถูกฆ่า ทำให้พวกเขารู้สึกเปรมปรีดิ์หาใดเทียบ
“ไม่ต้องทดแทนบุญคุณหรอก หากทุกคนไม่รังเกียจจะอยู่บนเขาดารารายก็ได้” หลินสวินเอ่ย
ลี่ซั่งสุ่ยจิตใจสั่นไหว หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ “นี่นายท่านหมายความว่าอย่างไร”
หลินสวินรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจผิดแล้ว ยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าข้าอยากฆ่าเจ้า ทำไมต้องใช้ลูกไม้เล็กๆ เช่นนี้เล่า”
ลี่ซั่งสุ่ยพูดอย่างเลื่อนลอยว่า “เช่นนั้น…”
“ข้าไม่อาจอยู่ที่เขาดารารายไปตลอด พวกเจ้าสามารถเลือกอยู่ต่อได้ พำนักที่นี่เพื่อฝึกปราณ” หลินสวินเอ่ย
ยังมีเรื่องดีพรรค์นี้ด้วยหรือ
เหล่าผู้แข็งแกร่งสำนักเพลิงมืดอย่างลี่ซั่งสุ่ยต่างตาเบิกกว้าง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง
“แน่นอนว่าแดนมงคลเช่นนี้ก็ไม่ได้ให้พวกเจ้าอยู่เปล่าๆ ในเขามีแร่ทองเทพสมประสงค์ซ่อนอยู่ ต้องจ่ายให้ข้าห้าจินทุกวัน”
หลินสวินกล่าว
พวกลี่ซั่งสุ่ยได้ยินคำพูดนี้ในใจกลับคลายกังวลลงไม่น้อย อย่างนี้ถึงปกติ หากหลินสวินไม่ขอค่าตอบแทนใดๆ พวกเขากลับจะแคลงใจ
“ขอบคุณนายท่าน!”
ลี่ซั่งสุ่ยโค้งตัวขอบคุณอีกครั้งด้วยความซาบซึ้งจากใจ
พวกเขาสำนักเพลิงมืดจนตอนนี้ยังหาที่ตั้งหลักไม่ได้ ร้อนรนใจเป็นไฟมานานแล้ว แต่ตอนนี้ได้เข้าพักบนเขาดารารายด้วยวิธีนี้ ทำให้พวกเขาดีใจกับเรื่องที่คาดไม่ถึง
“ใช่แล้ว ขอเรียนถามว่านายท่านมีนามว่ากระไร” ลี่ซั่งสุ่ยเอ่ยถามอย่างระมัดระวัง
“หลินสวิน”
เมื่อบอกชื่อ หลินสวินก็หันกายกลับไปยังบ้านหิน
พลังแก่นมรรคธาตุไฟกำลังจะทะลวงขอบเขตแล้ว หากไม่เหนือความคาดหมาย พรุ่งนี้ก็ได้ครอบครองระดับระเบียบมรรคแห่งธาตุไฟ!
“หลินสวิน… ขะ… เขาคือเทพมารหลิน!”
ลี่ซั่งสุ่ยตกตะลึงอ้าปากค้าง สูดหายใจเย็นเยียบไม่หยุด
ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดคนอื่นก็ล้วนอึ้งไป
ครู่ใหญ่พวกเขาถึงได้สติจากอารมณ์สั่นสะท้าน ทอดถอนใจในใจ แพ้ด้วยน้ำมือเทพมารหลิน… ก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้…
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป บนเขาดารารายจึงมีขุมอำนาจเพิ่มขึ้นมาอีกสำนักหนึ่ง
พวกเมิ่งอิงหวาไม่ได้มีความเห็นใด กลับกัน มีหลินสวินกับลี่ซั่งสุ่ย ผู้มีปราณระดับมกุฎราชันสองคนดูแล จะทำให้สถานการณ์ของพวกเขาปลอดภัยยิ่งขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย เป็นเรื่องดี!
การพำนักที่แดนมงคลเขาวิญญาณ เท่ากับมีฐานหลักแหล่ง มีที่ให้ถอยกลับ
ผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดก็จะจากไปเป็นครั้งคราว เพื่อไปเสาะหาศุภโชคและวาสนาที่บริเวณอื่น
พวกเมิ่งอิงหวาก็ใจเต้น กลมกลืนสนิทสนมกับผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดแล้ว จึงตามออกไปเคลื่อนไหวข้างนอกด้วยกัน
กับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้ขัดขวาง ขอเพียงพวกเขารับรองว่าจะมอบทองเทพสมประสงค์ในจำนวนที่แน่นอนทุกวัน เรื่องอื่นเขาไม่มีกะจิตกะใจไปสนใจ
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ในแดนอัคคีทักษิณยิ่งยุ่งเหยิงขึ้นแล้ว การปะทะหลั่งเลือดปะทุขึ้นไม่ว่างเว้น บ้างเพื่อแก่งแย่งแดนมงคลมีชื่อ บ้างโจมตีอย่างหนักหน่วงยามช่วงชิงวาสนาและศุภโชค
ขุมอำนาจสำนักมากมายที่อ่อนแอก็ถูกกลืน ส่วนที่แข็งแกร่งก็ยิ่งแข็งแกร่งขึ้นไปอีก
ในกลุ่มนี้การประลองระหว่างผู้มีปราณระดับมกุฎราชันยิ่งปะทุขึ้นไม่ขาด ทั้งยังมีข่าวระดับมกุฎราชันสิ้นชีพแพร่ออกมา
โดยสรุปแล้วแดนอัคคีทักษิณวุ่นวายนัก มีเรื่องโหดเหี้ยมนองเลือดเกิดขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน
แม้แต่เขาดารารายยังได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างเลี่ยงไม่ได้
ขุมอำนาจใหญ่ที่ยังไม่มีฐานปฏิบัติการบางกลุ่มหันมาสนใจเขาดารารายอย่างต่อเนื่อง เหมือนผู้สืบทอดสำนักเพลิงมืดก่อนหน้านี้
ทว่ามีหลินสวินสั่งการ และมีลี่ซั่งสุ่ยเข้าปกป้อง ในการจู่โจมครั้งแล้วครั้งเล่า จนตอนนี้เขาดารารายก็ยังไม่ถูกตียึดไป
กลับเป็นผู้สืบทอดขุมอำนาจใหญ่ที่มาจู่โจมเหล่านั้นที่ถูกตีจนเลือดตกยางออก เสียหายหนักหน่วง
ที่เบาก็หนีตายกระเจิดกระเจิง ส่วนที่หนักก็ถูกกวาดล้างไปเลย
ช่วงที่ผ่านมานี้เพียงแค่ระดับมกุฎราชันที่ตายด้วยน้ำมือหลินสวินก็เกินห้าคนเข้าไปแล้ว!
เช่นเดียวกัน ก็มีขุมอำนาจที่เลือกสวามิภักดิ์ สยบยอมให้เขาดารารายเหมือนกับสำนักเพลิงมืด การปฏิบัติที่ได้รับกลับไม่ดีเท่าการปฏิบัติต่อสำนักเพลิงมืดอยู่บ้าง
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะในช่วงที่ผ่านมานี้ สำนักเพลิงมืดแสดงท่าทีได้ไม่เลว ไม่ถึงกับเป็นวัวเป็นม้าให้ แต่อย่างน้อยก็มีประโยชน์ต่อการคุ้มกันเขาดาราราย
เมื่อเป็นเช่นนี้เท่ากับลงเรือลำเดียวกันกับหลินสวินโดยสมบูรณ์ หลินสวินจึงย่อมไม่ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไม่เป็นธรรม
สำหรับขุมอำนาจที่เพิ่มเข้ามาใหม่ หลินสวินก็รู้ดีว่าพวกเขาเพียงต้องการหาที่พึ่งพิงเท่านั้น ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา อย่างน้อยก็ยังมีเขาหลินสวินคุ้มหัว
ว่าด้วยความจงรักภักดี เทียบกับเขาวิญญาณหมื่นอสูรกับสำนักเพลิงมืดไม่ได้อยู่หลายขุม
แต่หลินสวินคร้านจะถือสา ต่างฝ่ายต่างใช้ประโยชน์กันเท่านั้น
อีกฝ่ายมองเขาเป็นร่มคันใหญ่ที่กันลมกันฝน ส่วนเขาก็ตักตวงผลประโยชน์จากผู้อื่น ทุกวันจะเก็บวัตถุดิบเทพและโอสถราชันหลายชนิดจากขุมอำนาจเหล่านี้
กระทั่งตอนนี้ขุมอำนาจที่อยู่บนเขาดารารายเหมือนได้ตั้งตัวมีอิทธิพลขึ้นมาแล้ว ผู้สืบทอดขุมอำนาจทั่วไปไม่กล้ามาล่วงเกินแล้ว
อีกทั้งด้วยการต่อสู้หลายครั้ง ข่าวเรื่องหลินสวินดูแลเขาดารารายก็เริ่มแพร่กระจายไปในแดนอัคคีทักษิณ ก่อให้เกิดคลื่นยักษ์ไม่น้อยไปด้วย
……
“ใครจะไปคาดคิดว่าเทพมารหลินจะบรรลุระดับมกุฎราชันอย่างเงียบๆ แล้วเสียได้!”
“ตั้งแต่สมัยอยู่แดนเผาเซียน เจ้าหมอนั่นก็กวาดล้างทั้งเมือง ล้างบางขุมอำนาจใหญ่ไปไม่น้อย ตอนนี้ยิ่งมีระดับมกุฎราชันหลายคนถูกเขาฆ่าตาย ช่างโหดเหี้ยมจนน่าสะท้านใจจริงๆ”
“ยังดีที่เทพมารผู้นี้อ้อยอิ่งอยู่ที่เขาดารารายไม่ได้ออกเคลื่อนไหวมาตลอด หาไม่แล้วเกรงว่าแดนอัคคีทักษิณแห่งนี้จะยิ่งยุ่งเหยิงกว่านี้!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ทำนองนี้มีขึ้นในบริเวณต่างๆ ของแดนอัคคีทักษิณ
และไม่อาจปิดบังได้เลย ขอเพียงไปสืบข่าวเล็กน้อยก็จะรู้วีรกรรมต่างๆ หลังจากหลินสวินเข้ามายังแดนอัคคีทักษิณ
ณ เขาฝนดาวตก
หนึ่งในแดนมงคลใหญ่ไม่กี่แห่งที่มีชื่อเสียงในแดนอัคคีทักษิณ
ตั้งแต่แดนเก้าบนเพิ่งเปิดออก เขาฝนดาวตกก็ถูกเผ่าอีกาทองยึดครอง อีกทั้งกระทั่งตอนนี้ยังไม่มีขุมอำนาจไหนสั่นคลอนได้
“องค์ชายเก้า เทพมารหลินปรากฏตัวแล้วขอรับ!”
วันนี้มีข่าวหนึ่งแพร่เข้ามาในเขาฝนดาวตก ถูกองค์ชายเก้าอูหลิงเฟิงที่กำลังนั่งสมาธิฝึกตนล่วงรู้เข้า
“ในที่สุดก็ปรากฏตัวแล้วหรือ…”
ลูกเพลิงสีทองผุดขึ้นกลางนัยน์ตาอูหลิงเฟิง น่าหวาดหวั่นหาใดเทียบ
เพียงแต่เมื่อรู้เรื่องที่หลินสวินทำบนเขาดาราราย อูหลิงเฟิงก็สีหน้าถมึงทึงขึ้นทันที ตกอยู่ในความเงียบงัน
เทพมารหลิน บรรลุระดับมกุฎราชันแล้วหรือนี่
นี่เป็นสิ่งที่อูหลิงเฟิงคิดไม่ถึงอย่างยิ่ง
เดิมทีตามแผนของเขา คือจะสังหารหลินสวินให้ได้ตอนที่อีกฝ่ายยังไม่เลื่อนระดับเป็นราชัน แต่เห็นได้ชัดว่าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นแล้ว
โดยเฉพาะเมื่อได้ยินว่าเวินเอ้าไห่ถูกหลินสวินฆ่าตาย ยิ่งทำให้ความคับแค้นใจที่พูดไม่ถูกผุดขึ้นในใจของอูหลิงเฟิง
ตามแผนการ อีกสามวันเขาก็จะไปหาวาสนาใหญ่เย้ยฟ้าชิ้นหนึ่งในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกแห่งนั้นกับพวกมกุฎราชันอย่างเวินเอ้าไห่
ใครจะคิดว่าเวินเอ้าไห่กลับตายไปนานแล้ว…
“องค์ชายเก้า สหายยุทธ์ของขุมอำนาจอย่างเผ่าวิญญาณสมุทร สำนักยุทธ์นครนิล ลัทธิบูชาจันทร์มาเยือน บอกว่ามีเรื่องใหญ่จะหารือกับท่านขอรับ”
ตอนนี้มีคนมารายงานอีกแล้ว
“ข้าไปเดี๋ยวนี้”
ประกายแสงไหวเคลื่อนในดวงตาของอูหลิงเฟิง เขาลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว เดินก้าวยาวออกจากสถานที่ฝึกตน
ตำหนักแห่งหนึ่งสร้างขึ้นที่ไหล่เขา อลังการแจ่มจรัส
ในโถงใหญ่มีชายหญิงเจ็ดแปดคนรออยู่ก่อนแล้ว แต่ละคนล้วนมีพลานุภาพดั่งสมุทร กลิ่นอายมรรคราชันน่าครั่นคร้ามแผ่กระจายออกมา
พวกเขาเป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎราชันที่มาจากขุมอำนาจใหญ่ต่างๆ
“ทุกท่าน เทพมารหลินปรากฏตัวแล้ว!”
ทันทีที่เดินเข้ามาในโถงใหญ่ อูหลิงเฟิงก็เอ่ยปากทันที
เหนือความคาดหมายของเขา ทุกคนไม่ได้ประหลาดใจ แต่พยักหน้าพูดว่า “พวกเราก็มาเพราะเรื่องนี้ล่ะ”
ชั่วพริบตาอูหลิงเฟิงก็เข้าใจ เพราะการปรากฏตัวของเทพมารหลินทำให้ขุมอำนาจใหญ่เหล่านี้นั่งไม่ติดแล้ว
มาเยือนตนคราวนี้ เกรงว่าคงมาเพื่อปรึกษาเรื่องจะต่อกรกับเทพมารหลิน!
ดังคาด ครู่ต่อมาทุกคนก็แย่งกันเอ่ยปาก
“ไอ้สวะตัวจ้อยนี่ไม่รู้ไปได้ศุภโชคเย้ยฟ้าอะไรมา ถึงผงาดขึ้นเป็นระดับมกุฎราชันแล้ว หนำซ้ำตอนนี้ยังมีคนรุ่นเดียวกันหลายคนตายด้วยน้ำมือมันไปแล้วด้วย”
“ทุกท่านก็รู้ว่าฝีมือเจ้านี่โหดเหี้ยมร้ายกาจ แก้แค้นแม้แต่เรื่องเล็กน้อย หากพวกเราไม่เคลื่อนไหวบางอย่าง เกรงว่าจะถูกเขาจู่โจมถึงที่ทีละคน”
“พวกเรามาคราวนี้ก็เพื่อหารือเสียหน่อยว่าจะต่อกรกับหมอนี่อย่างไรดี!”
อูหลิงเฟิงแววตาไหววูบ ฟังอยู่เงียบๆ
ครู่ใหญ่เขาถึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ความแน่วแน่วูบผ่านในดวงตา เอ่ยว่า “เอาเถิด รอฆ่าเทพมารหลินนี่แล้ว พวกเราค่อยไปเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกแห่งนั้นก็ไม่สาย!”
ทุกคนต่างพยักหน้า ในใจถอนหายใจโล่งอกอย่างไม่ได้นัดหมาย
เทพมารหลินเลื่อนระดับเป็นมกุฎราชัน เดิมทีนี่ก็ทำให้ใครๆ หวั่นกลัวได้อยู่แล้ว
ตอนนี้ยังมีข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้รับรองอีกว่า ช่วงนี้มีมกุฎราชันหลายคนตายในมือเขาอย่างต่อเนื่อง
นี่จะให้ผู้ใดไม่ระแวดระวังและหวาดกลัวได้เล่า
ก็เพราะเหตุนี้พวกเขาถึงได้มาหาอูหลิงเฟิง ต้องการรวมพลังเหล่าราชันร่วมกันสังหารหลินสวิน!
——