มกุฎราชันเจ็ดคนถูกสังหารต่อเนื่องสามคนในการต่อสู้ดุเดือด
สี่คนที่เหลือหนีโดยไม่สู้!
บนเขาฝนดาวตก ผู้แข็งแกร่งแต่ละขุมอำนาจที่กระจายอยู่ต่างบริเวณเห็นดังนี้ก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก หวีดร้องหนีกระเจิดกระเจิง
แม้แต่มกุฎราชันยังไม่ใช่คู่ต่อสู้หลินสวิน ใครยังกล้าอยู่ต่ออีกเล่า
เวลานี้ในสายตาทุกคนหลินสวินประหนึ่งไม่อาจเอาชนะ ห้าวหาญไร้ซึ่งคู่ต่อกร สามารถทำให้ใครๆ ต่างหนาวเยือกในใจ
“ตาย!”
เสียงหลินสวินเย็นเยียบ จู่ๆ เงาร่างก็วาบหายไปปรากฏอยู่หลังมกุฎราชันที่กำลังหนีคนหนึ่ง ปล่อยหมัดทะลวงราวกับไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้
มกุฎราชันนั้นคือเด็กหนุ่มที่สง่างามไม่ธรรมดาคนหนึ่ง ก่อนหน้านี้อวดตนเหลือประมาณ เวลานี้กลับเผยสีหน้าสิ้นหวัง ใช้พลังทั้งหมดต้านทานราวสัตว์ถูกต้อนจนมุม
แต่เพียงพริบตาก็ถูกหลินสวินสังหาร ปล่อยหมัดครอบคลุมลงมาทำให้ทั่วร่างเขาระเบิดกระจุย ฝนโลหิตสาดกระจาย
“เผ่นโว้ย!”
บนเขาฝนดาวตกวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม ทุกหนแห่งคือภาพวิปโยคสับสนอลหม่าน
ก่อนหน้านี้ที่พึ่งสำคัญของพวกเขาก็คือมกุฎราชันซึ่งนั่งบัญชาที่นี่เจ็ดคนนั่น แต่เมื่อเหล่ามกุฎราชันทยอยถูกสังหารก็ทำให้ผู้แข็งแกร่งบนเขาพวกนี้ล้วนพังทลาย
ไม่มีทางตอบโต้สิ้นเชิง!
แม้เทพมารหลินจะตัวคนเดียว แต่กลับมีอานุภาพซัดกวาดมวลชน ใครเล่าจะต่อกรได้
ถึงขั้นที่พวกเขายังสงสัยว่า ต่อให้องค์ชายเก้าอูหลิงเฟิงกลับมาก็คงกำราบความหยิ่งทะนงของเทพมารหลินนี้ได้ยาก
“ตาย!”
เสียงเยียบเย็นของหลินสวินดังขึ้นอีกครั้ง นิ้วมือเขาเหยียดกางเผยธารดาราลุกโชนสายหนึ่งกลางอากาศ
ดวงดาวแต่ละดวงแตกระเบิดลุกโชนอยู่ภายใน สิ่งที่แฝงไว้คือพลังกฎเกณฑ์ธาตุไฟที่แท้จริง อานุภาพต่างจากแต่ก่อนสิ้นเชิง
ครืน!
ในจุดที่ห่างออกไปมกุฎราชันคนหนึ่งที่โฉบขึ้นฟ้าหนีลนลานไปแล้ว ยังไม่ทันได้ออกจากรัศมีเขาฝนดาวตก ทั้งตัวก็ถูกธารดาราแดงเพลิงผืนหนึ่งปกคลุม
ในธารดารานั้นหมื่นดาราลุกโชนระเบิดดังสนั่น ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสอย่างไม่อาจแบกรับทันที ร่วงลงมาท่ามกลางเสียงร้องโหยหวนไม่ยินยอม ผิวหนังกระดูกล้วนถูกแผดเผา จิตสิ้นวิญญาณสลาย!
“หืม?”
เดิมหลินสวินกำลังคิดไล่ตามมกุฎราชันที่หนีไปทางอื่น แต่เมื่อสังเกตเห็นร่องรอยของชายชุดคลุมเพลิงนั่นก็เปลี่ยนใจทันที
ฟุ่บ!
พริบตาต่อมาเขาก็หายไปจากจุดเดิม
ชายชุดคลุมเพลิงคือคนแรกที่เลือกหนี ทว่าทิศทางที่เขาหลบหนีไม่ใช่นอกภูเขา แต่เป็นยอดเขา
เวลานี้เขามาถึงหน้าน้ำตกแร่วิญญาณแห่งหนึ่งข้างยอดเขาแล้ว
ด้านล่างน้ำตกคือสระน้ำแห่งหนึ่ง บัวเทพสองลักษณ์สามต้นพลิ้วไหวอยู่ภายใน ไอหยินหยางศักดิ์สิทธิ์ราวภาพฝันไหลวน
ทันทีที่มาถึงชายชุดคลุมเพลิงสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง หมอกเทพผืนหนึ่งม้วนแผ่คลุมไปยังบัวเทพสองลักษณ์กลางสระนั่น
แต่เกือบเวลาเดียวกัน รอบสระน้ำพลันแผ่พลังกระบวนผนึกชวนประหวั่นชั้นหนึ่งออกมาทันที
ครืน!
หมอกเทพระเบิดออก พลังผนึกต้องห้ามนั่นปลดปล่อยอานุภาพเต็มกำลัง หากไม่ใช่ว่าชายชุดคลุมเพลิงหลบทันก็คงถูกโจมตีไปแล้ว
“เจ้าอูหลิงเฟิงบัดซบ ยังวางกระบวนผนึกไว้ที่นี่อีก!”
ชายชุดคลุมเพลิงสีหน้าขรึมลงทันที โกรธจนเสียอาการ ตระหนักได้ว่าต่อให้อูหลิงเฟิงจากไป ตั้งแต่ต้นจนจบก็ไม่เคยเชื่อใจพวกเขาเหล่าขุมอำนาจที่ยอมสวามิภักดิ์!
“บัวเทพสองลักษณ์?”
หลินสวินปรากฏตัวแล้ว ในนัยน์ตาดำฉายวาบประกาย ในใจเลี่ยงไม่ได้ที่จะสั่นสะท้าน นี่เป็นถึงโอสถเทพที่สาบสูญไปนานแล้วในโลกภายนอก เทียบเคียงตำนาน
แต่ตอนนี้กลางสระน้ำนี่กลับมีบัวเทพสองลักษณ์อยู่ตั้งสามต้น!
ก็ไม่แปลกที่เขาฝนดาวตกจะถูกมองเป็น ‘แดนมงคลใหญ่’ เป็นสถานที่ที่ควบรวมพลังวิญญาณแห่งฟ้าดิน กำเนิดศุภโชคตามธรรมชาติ
สวบ!
ชายชุดคลุมเพลิงหนีโดยไม่ลังเล
เดิมถูกหลินสวินฆ่าจนกระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวนก็ทำให้เขาไม่อาจยอมรับอยู่แล้ว
ตอนนี้แม้แต่จะชิงบัวเทพสองลักษณ์ก็ถูกขัดจนหน้าหงาย เสียโอกาสหนีที่ดีที่สุดไป ทำเอาเขาโกรธจนแทบกระอักเลือด
ดังคาด หลินสวินคาดเดาได้จึงพุ่งเข้าโจมตีสังหารในทันที
ชายชุดคลุมเพลิงถูกสังหารโดยไม่ต้องสงสัย กระทั่งใกล้ตายแล้วยังจ้องมองบัวเทพสองลักษณ์สามต้นในสระนั้นอย่างไม่ยินยอม ความคั่งแค้นที่สุดในใจกลับไปตกอยู่ที่อูหลิงเฟิงแทน…
เพราะจากมุมมองชายชุดคลุมเพลิง หากไม่ใช่เจ้าหมอนี่ลอบวางกระบวนผนึกขวางหนทางแย่งชิงบัวเทพสองลักษณ์ของตน ตนคงมีโอกาสหนีรอดไปแล้ว!
น่าเสียดาย นึกเสียใจไปก็ไร้ประโยชน์
เมื่อชายชุดเพลิงถูกสังหาร สุดท้ายมกุฎราชันเจ็ดคนก็มีแค่คนเดียวที่หนีรอด
หลินสวินคร้านจะไล่ล่า เหลือบสายตามองไปยังบัวเทพสองลักษณ์ที่อยู่กลางสระนั่น
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
ผนึกต้องห้ามรอบสระถูกหลินสวินทำลายอย่างง่ายดาย และบัวเทพสองลักษณ์สามต้นนั้นก็ตกอยู่ในมือหลินสวินอย่างราบรื่น
‘มีโอสถเทพนี้ ก็เพียงพอให้ข้าครอบครองมหามรรคเทียมฟ้าได้อีกอย่าง!’
นัยน์ตาดำหลินสวินเป็นประกาย
มหามรรคบนโลกแบ่งเป็นเก้าระดับ แต่เหนือเก้าระดับนี้ยังมีมหามรรคเทียมฟ้าอีกเก้าสิบเก้าสาย!
และในบัวเทพสองลักษณ์ก็ประทับมหามรรคระดับหนึ่งอย่างหยินและหยางไว้ หากหลอมรวมมหามรรคหยินหยางเข้าด้วยกัน ก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นมหามรรคเทียมฟ้าสายหนึ่ง…
ยอดเอกอุ!
ในสมัยบรรพกาลมรรคานี้ถูกมองเป็นหนทางเชื่อมตรงสู่ต้นกำเนิดฟ้าดินอยู่ก่อนแล้ว มีความอัศจรรย์เกินคาดเดา
หลังจากนั้นหลินสวินไม่ชักช้า เริ่มปฏิบัติการเก็บกวาดเขาฝนดาวตก!
สำหรับหนึ่งใน ‘แดนมงคลใหญ่’ ที่มีจำนวนนับนิ้วได้ของแดนอัคคีทักษิณ ศุภโชคและวาสนาที่เขาฝนดาวตกให้กำเนิดขึ้นมาอยู่เหนือความคาดหมายของหลินสวินโดยสิ้นเชิง
ในป่าสนริมผามีสนเจดีย์สมบัติทองคำอยู่ต้นหนึ่ง ด้านบนควบรวมลูกสนทองอร่ามส่งกลิ่นหอมบางเบา เป็นโอสถเทพอย่างหนึ่งเช่นกัน
ริมลำธารในหุบเขามีสวนโอสถแห่งหนึ่ง ภายในสาดแสงสว่างไสว กลิ่นโอสถแผ่กระจายกลายเป็นหมอกวิญญาณซ้อนสลับหอมกรุ่น
แค่โอสถราชันก็มีสิบกว่าต้น!
นอกจากนี้ยังมีหินแร่ที่แฝงวัตถุดิบวิญญาณหายาก บ่อแร่วิญญาณที่ไหลโกรก…
สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกหลินสวินกวาดเรียบ
ผู้แข็งแกร่งแต่ละขุมอำนาจบนภูเขาต่างลุกลนหลบหนีราวสุนัขไร้เจ้าของ บางคนคิดฉวยโอกาสช่วงชุลมุนหาประโยชน์ส่วนหนึ่งค่อยจากไป
แต่ด้วยความโลภครอบงำกลับเป็นว่าเสียโอกาสหลบหนี ถูกหลินสวินสังหารอย่างหมดจด กล้ำกลืนความแค้นตายคาที่
กระทั่งต่อมาหลินสวินมาถึงยอดเขา ที่นี่ตำหนักเรียงรายตั้งตระหง่าน เดิมเป็นของขุมอำนาจต่างกันไป
เมื่อหลินสวินมาถึง ตำหนักเหล่านี้ก็ว่างเปล่าไร้ผู้คน สภาพเละเทะเกลื่อนกลาดทั่วแล้ว แม้เหลือสมบัติกระจายอยู่ไม่น้อย แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่เข้าตาหลินสวิน
ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ยังทำให้หลินสวินกอบโกยผลประโยชน์ได้ค่อนข้างมาก มีวัตถุดิบวิญญาณหลายหลากที่ใช้หลอมสมบัติ และมีลูกกลอนโอสถและสมบัติหลากชนิดที่หลอมไว้แล้ว
แม้ส่วนใหญ่หลินสวินจะใช้ไม่ได้ แต่มูลค่าก็น่าตื่นตาตื่นใจ
“หืม?”
ขณะหลินสวินกำลังเตรียมออกจากตำหนักที่ว่างเปล่าของเผ่าอีกาทอง ทันใดนั้นก็สังเกตเห็นภาพโบราณหนึ่งแขวนอยู่บนผนัง
ม้วนภาพยาวสี่ฉื่อกว้างหนึ่งฉื่อ ดูอยู่มานานมากจนเผยคราบเหลืองคร่ำคร่า เก่าแก่กระดำกระด่าง
บนภาพวาดร่างผอมบางร่างหนึ่งนั่งอยู่บนฟ้าดารา ท่าทางผ่อนคลาย มีกลิ่นอายลอยชายอิสระเสรี
ในมือเขากุมคันเบ็ด ด้านล่างคือธารดารากว้างใหญ่ไพศาลหมู่ดาวระยิบระยับ
ตกปลาบนฟ้าดารา!
ภาพวาดธรรมดายิ่ง ถึงขั้นพร่ามัวผุพังอยู่บ้าง แต่บรรยากาศในภาพกลับเรียกได้ว่าสะเทือนใต้หล้า ทำให้ผู้คนสั่นสะท้าน
กวาดสายตามองตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน ใครเล่าจะนั่งบนฟ้าดารา ตกปลาอยู่หน้าธารดาราสายหนึ่ง
ท่าทางเสรี หลุดพ้น อิสระนั้น ต้องบรรลุถึงระดับใดจึงจะสามารถมีได้
ดวงตาหลินสวินพลันถูกดึงดูด จิตใจถูกกระเทือน
เพียงแต่ยามพินิจดูโดยละเอียดกลับพบว่าร่างผอมบางนั้นเผยให้เห็นโครงหน้าแค่ด้านเดียว ทั้งยังเลือนรางยิ่งนัก
เช่นเดียวกัน ในมือเขามีคันเบ็ดแต่ไร้สาย
หรือนัยของภาพนี้คือผู้สมัครใจเชิญขึ้นเบ็ด?
หลินสวินใจกระตุก อาศัยจิตรับรู้ทำการรับสัมผัส
แต่กลับไม่ได้ผลแม้แต่น้อย ราวกับว่านี่คือภาพโบราณทั่วไป
หลินสวินขมวดคิ้วมุ่น ในใจแอบกล่าวว่า ภาพนี้ถูกแขวนไว้ที่นี่ราวสิ่งไร้ค่า แสดงว่าเผ่าอีกาทองก็ไม่เคยหยั่งรู้ความลับอะไรจากภาพนี้
แต่ทำไมตนถึงรู้สึกผิดแปลกอยู่บ้าง
สายตาหลินสวินมองไปยังร่างผอมบางที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟ้าดารานั่น จ้องมองและสังเกตโดยละเอียด
ท่ามกลางความเลือนรางในใจเขาเกิดความรู้สึกคุ้นเคยเสี้ยวหนึ่ง
เป็นเขา!
ทันใดนั้นในสมองหลินสวินวาบประกาย พลิกฝ่ามือปรากฏก้อนทองแดงหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
ก้อนทองแดงสนิมเขรอะกระดำกระด่าง ด้านบนสลักภาพชายชราชุดนักพรตคนหนึ่งนั่งอยู่บนหลังวัวเขียว กำลังแหงนมองฟ้าด้วยท่าทางผ่อนคลาย
ภาพดูเรียบง่าย ผ่านการกัดกร่อนของกาลเวลาจนพร่ามัวและเลือนรางอยู่บ้าง แต่บนนั้นกลับเปี่ยมอานุภาพกดดันยิ่งใหญ่ถาโถมเข้าใส่!
พลังกดดันนั้นแผ่ไพศาลไร้จำกัด ล้ำลึกไร้สิ้นสุด ราวกับชายชราชุดนักพรตนั่นสามารถฟื้นคืนชีพได้ตลอดเวลา
แค่แววตานั้นของเขาก็ทำเอาผู้คนใจสั่น ล้ำลึกและแผ่กว้าง สะท้อนลักษณ์แห่งปริศนาแห่งสุริยันจันทราเคลื่อนคล้อย กาลเวลาสับเปลี่ยนหมุนเวียน มหามรรคปวงสวรรค์ ที่ราวกับซ่อนอยู่ในส่วนลึกของนัยน์ตา!
นี่ก็คือ ‘ภาพนักพรตขี่วัว’!
ตอนนั้นหลินสวินถูกเผ่าสุนัขสวรรค์มายาทมิฬตามล่าที่แดนฐิติประจิม ไม่อาจไม่หนีเอาตัวรอดไปอยู่ในป่าเขา
ในระหว่างนี้เขาแค่มีจิตเอื้ออาทร ไว้ชีวิตเสือดาวโลหิตตัวหนึ่ง ใครจะคิดว่าเสือดาวโลหิตรู้จักทดแทนบุญคุณ มอบก้อนทองแดงที่สลัก ‘ภาพนักพรตขี่วัว’ นี้แก่เขา
หลินสวินยังจำได้ ผ่านการสืบค้นเขาจึงได้รู้ว่าก้อนทองแดงนี้มาจากมือผู้ฝึกปราณที่หมดลมในท่านั่งสมาธิคนหนึ่ง
คนผู้นี้หมายเลียนแบบเหล่าอริยะ ก้าวผ่านฟากฝั่งฟ้าดารา มุ่งสู่ ‘แหล่งสถานอัศจรรย์’ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล
แต่ค้นหาอย่างยากลำบากมาสี่หมื่นแปดพันปีก็ไม่สมหวังดั่งปรารถนา ท้ายที่สุดจึงตายไปด้วยความเสียดาย!
และก้อนทองแดงนี้ก็ถูกผู้ฝึกปราณคนนั้นมองเป็น ‘วัตถุต่างหน้าเมธี’ ด้วยมีวาสนาจึงถูกเสือดาวโลหิตนั้นได้มา ภายหลังจึงตกสู่มือตน
ด้วยประการฉะนี้จึงทำให้หลินสวินคาดเดาว่า ‘ภาพนักพรตขี่วัว’ นี้น่าจะเกี่ยวข้องกับ ‘แหล่งสถานอัศจรรย์’ หนึ่งในจตุโบราณสถานบรรพกาล!
ตอนนี้หลินสวินนำก้อนทองแดงออกมาเปรียบเทียบเล็กน้อย แล้วพลันพบว่าชายชราชุดนักพรตขี่วัวเขียวบนก้อนทองแดงนั่น ก็คือคนเดียวกันกับชายร่างผอมบางบนภาพ ‘ตกปลาบนฟ้าดารา’ อย่างเห็นได้ชัด!
ภาพนี้ความเป็นมาไม่ธรรมดาดังคาด!
ในใจหลินสวินไหวสะท้าน
ทันใดนั้นกลางฝ่ามือเขาร้อนระอุ ก็เห็นก้อนทองแดงสนิมเขรอะกระดำกระด่างนั่น ยามนี้มีกลิ่นอายอัศจรรย์หมุนวนโถมเข้าสู่ภาพตกปลาบนฟ้าดารานั่น
ภาพน่าอัศจรรย์ปรากฏขึ้นทันใด ม้วนภาพที่เดิมเก่าคร่ำคร่าเวลานี้ราวหวนคืนชีวิต เกิดประกายแสงศักดิ์สิทธิ์
เงาร่างที่นั่งอยู่บนฟ้าดาราในภาพพลันส่งเสียงหัวเราะเบิกบานใจ “น่าสนใจ เฝ้ารอมาเนิ่นนาน ในที่สุดผู้มีวาสนาก็มาแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็เชิญผู้สมัครใจขึ้นเบ็ด”
เขาพูดพลางสะบัดคันเบ็ดในมือเบาๆ ก็เห็นดาวเจิดจรัสดวงหนึ่งในธารดารากว้างใหญ่ไร้สิ้นสุดนั้นถูกตกขึ้นมา!
……………………….