Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1196 สนุกไหม

ตอนที่ 1196 สนุกไหม

ชายหนุ่มเสื้อคลุมนกกระเรียนวาจาสบายอารมณ์ สีหน้าเพลิดเพลิน ท่าทางเห็นเป็นเรื่องปกติอย่างไรอย่างนั้น

เขานามว่าโม่เทียนเหอ สัตว์ประหลาดยุคโบราณคนหนึ่งที่มาจากเรือนกระบี่เร้นปุจฉา ตั้งแต่ปรากฏตัวบนโลกจนถึงทุกวันนี้ล้วนไม่เคยเห็นบุคคลขอบเขตมกุฎยุคปัจจุบันในสายตา

ตอนนี้เขาเหยียบย่างในระดับมกุฎราชัน ไม่นานมานี้ยังร่วมทดสอบศิลาศึกอัคคีทักษิณ ก้าวขึ้นสู่อันดับที่แปดสิบสามของกระดานทองคำผู้กล้า

นับได้ว่าเป็นยอดบุคคลผู้มีอิทธิพลในแดนอัคคีทักษิณ

แม้แต่องค์ชายเก้าเผ่าอีกาทองอูหลิงเฟิงก็ไม่อยู่ในสายตาเขา!

หลินสวินชะงักไปก่อน จากนั้นค่อยยิ้มกล่าว “นี่เจ้าจะรีดไถข้ารึ”

โม่เทียนเหอส่ายหัว “รีดไถมันไม่น่าฟัง นี่คือการขอบคุณที่เจ้าต้องแสดงออก ถึงอย่างไรพวกข้าก็ช่วยเจ้าขุดรากถอนโคนที่อยู่ของเผ่าโบราณแสงทมิฬแล้ว”

หลินสวินยิ้มเยาะกล่าว “ข้าขอให้พวกเจ้าช่วยรึ ยุ่งไม่เข้าเรื่องก็แล้วไปเถอะ ยังจะฉวยโอกาสรีดไถข้า ไม่รู้สึกว่าสถุลต่ำทรามรึ”

โม่เทียนเหอสีหน้าขรึมลงทันที หว่างคิ้วฉายแววเย็นชาวูบหนึ่ง กล่าวราบเรียบ “หลินสวิน ผู้รู้สถานการณ์คือผู้มีปัญญาเลิศ แค่ให้เจ้าจ่ายค่าตอบแทนบางส่วนก็ถือว่าไว้หน้าเจ้าพอแล้ว หากอยากจัดการเจ้าก็คงไม่ต้องยุ่งยาก แค่รั้งตัวเจ้าไว้ที่นี่รอพวกอูหลิงเฟิงตามมาทัน เจ้าคิดว่า… เจ้ายังมีโอกาสหนีรอดอยู่ไหม”

นี่คือการข่มขู่!

กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเจ้ามอบโอสถเทพบางส่วนมาเสียโดยดี พวกเราจะไม่ทำให้เจ้าลำบากใจ แต่หากเจ้าไม่ให้ เช่นนั้นก็ได้แต่รั้งเจ้าไว้ที่นี่แล้ว

ยิ่งปล่อยเวลาเนิ่นนานพวกอูหลิงเฟิงก็จะไล่ตามมาทัน ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงรับมือยากแล้ว

“อีกอย่างตลอดทางมานี้เจ้าเริ่มจากทำลายเขาฝนดาวตก ทั้งยังโจมตีเขาช้างป่า เขาเพรียกมรกตไม่ว่างเว้น น่าจะใช้พลังกายไปมากกระมัง”

ไม่รอหลินสวินออกปาก โม่เทียนเหอก็พูดเองเออเอง “ในเวลาเช่นนี้หากเจ้าเลือกดื้อดึงไม่ยอมรับคงไม่ฉลาดนัก”

“อย่ามัวนิ่งอึ้ง รีบส่งโอสถเทพบนตัวมา!” ผู้แข็งแกร่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนอื่นที่อยู่ใกล้เคียงพากันเปิดปาก ท่าทางราวกุมชะตาหลินสวิน

หลินสวินมุ่นคิ้วกล่าวอย่างไม่เข้าใจ “ต่อให้พวกอูหลิงเฟิงเร่งตามมา แต่หากเห็นพวกเจ้าบุกรุกเขาหมอกทองคำเกรงว่าคงไม่ปล่อยเลยตามเลยกระมัง”

โม่เทียนเหอหัวเราะลั่นทันที หน้าตาหยิ่งทะนงกล่าวอย่างเฉยเมย “เจ้าช่างอ่อนต่อโลกนัก ไม่รู้เลยว่าหลังจากที่เจ้าออกโจมตีบุกรุกเขาวิญญาณหลายลูก ขุมอำนาจใหญ่อื่นๆ ก็ออกเคลื่อนไหวไปแย่งชิงอาณาเขตพวกนี้หมดแล้ว”

“ตอนนี้พวกอูหลิงเฟิงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องอื่นเพราะศัตรูมากเกินไป พวกเขาได้แต่นำเพลิงโทสะระบายลงที่ตัวการอย่างเจ้า!”

หยุดไปชั่วขณะ นัยน์ตาโม่เทียนเหอฉายแววเวทนาวูบหนึ่ง จ้องมองหลินสวินพลางกล่าว “เข้าใจหรือยัง เจ้าได้ช่วยเหลือขุมอำนาจไม่น้อยด้วยการเป็นทัพหน้าโดยไม่ตั้งใจ เจ้าบุกตะลุยโจมตีข้าศึกอยู่ข้างหน้า แต่เหล่าขุมอำนาจกลับแย่งชิงอาณาเขตอยู่เบื้องหลัง ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตัว”

กล่าวถึงตอนท้ายเขาอดทอดถอนใจไม่ได้ “คิดถึงว่าเจ้าเทพมารหลินก็เป็นคนป่าเถื่อนอหังการผู้หนึ่ง ตอนนี้ความทุ่มเททั้งหมดกลับเข้าทำนองลำบากทำแทนคนอื่น ช่างทำให้ผู้คนทอดถอนใจจริงๆ”

หลินสวินทนฟังจนจบแล้วยิ้มน้อยๆ ทันที “ดังนั้นเจ้าก็เลยคิดฉวยโอกาสนี้ผสมโรงมารีดไถข้า?”

โม่เทียนเหอมุ่นคิ้วกล่าวไม่พอใจ “ข้าจะพูดอีกครั้ง นี่ไม่ได้เรียกว่ารีดไถ หากเจ้ามีอารมณ์มาต่อปากต่อคำเช่นนั้นข้าก็จะอยู่เป็นเพื่อน ถึงอย่างไรเวลายิ่งยืดเยื้อ โอกาสที่พวกอูหลิงเฟิงจะตามมาทันก็ยิ่งมาก”

เขาสงบนิ่งยิ่งนัก ตั้งแต่ต้นจนจบท่าทีราวกำชัยไว้แล้ว

ผู้แข็งแกร่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาคนอื่นล้วนสีหน้าสัพยอก แววตาเพลิดเพลิน ฟังคำของโม่เทียนเหอแล้วพวกเขาดูไม่ร้อนใจเลย

แต่ยามนี้หลินสวินตัดสินใจอย่างหนึ่ง กล่าวออกมาว่า “เจ้าบอกว่าข้าเป็นทัพหน้าโดยไม่ตั้งใจ แล้วเหตุใดพวกเจ้าจะเป็นทัพหน้าของข้าบ้างไม่ได้เล่า”

นัยน์ตาโม่เทียนเหอฉายแววเย็นชาวูบหนึ่ง “นี่เจ้าหมายความว่าอะไร”

หลินสวินยิ้มเล็กน้อย “เขาหมอกทองคำคือสถานที่ที่ข้าหมายตาไว้ แต่กลับถูกพวกเจ้าตัดหน้าชิงไปก่อน ข้าไม่โทษพวกเจ้าที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง แต่ต้องส่งมอบสมบัติที่พวกเจ้าได้มาจากเขาหมอกทองคำก่อน จากนั้นค่อยไสหัวไป…”

คำว่าไสหัวไปถูกกล่าวอย่างราบเรียบ

พวกโม่เทียนเหอสีหน้าขรึมลงทันที พูดมาถึงขั้นนี้เทพมารหลินนี่ไม่เพียงไม่รู้ตัว ยังจะกล้ามารีดไถพวกเขาอีก นี่ไม่อาจข่มกลั้นต่อไปแล้ว

“เจ้าแน่ใจนะ?”

โม่เทียนเหอแววตาดุจอสนี ฉายประกายราวคมดาบ อานุภาพเปลี่ยนเป็นน่าหวาดกลัวหาใดเปรียบในชั่วพริบตา

หลินสวินแหงนมองฟ้า จากนั้นก็ถอนสายตากลับ “เหลือเวลาไม่มากแล้ว หากเจ้าพูดพร่ำร่ำไรอีก ไม่แน่ว่าข้าอาจเลือกไปเยือนแดนมงคลของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาสักรอบ”

ข่มขู่โดยไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เห็นได้ว่าเปิดเผยนัก

นี่เป็นการยั่วโทสะโม่เทียนเหอ ทำเอาสีหน้าเขาเยียบเย็นยิ่งกว่าเดิม “ยอดเยี่ยมมาก ดูท่าเจ้าเทพมารหลินคงอยากเป็นศัตรูร่วมกันของแต่ละขุมอำนาจใหญ่แห่งแดนอัคคีทักษิณแล้ว เช่นนั้นก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”

ตูม!

น้ำเสียงเพิ่งแผ่วลงเขาก็ก้าวไปข้างหน้าแล้ว ด้านหลังปรากฏกระบี่โบราณเล่มหนึ่งทันที โชติช่วงชัชวาลดั่งสุริยันจันทราฟาดฟันลงมา

อานุภาพแห่งเจตกระบี่ทำเอาฟ้าดินมืดสลัว

เสียงตึงดังขึ้น หลินสวินเหวี่ยงหมัดจู่โจม หมัดกระบี่เข้าประจัญ ระเบิดแสงไร้จำกัด

ชิ้ง!

โม่เทียนเหอสีหน้าราบเรียบ ข้างหลังกระบี่โบราณอีกเล่มโฉบพุ่งออกมา อานุภาพดั่งเคลื่อนขวางใต้หล้า มีเจตจำนงไพศาลกดอัดห้วงอากาศ

พร้อมกันนี้กระบี่โบราณที่ถูกหลินสวินตีพ่ายโฉบขึ้นมาอีกครั้ง พุ่งสังหารจากอีกฝั่ง

ความเร็วของการเคลื่อนไหว ความเด็ดขาดของการสังหาร เหนือกว่ามกุฎราชันทั่วไปอยู่มาก!

นัยน์ตาดำหลินสวินพลันหรี่ลง รู้สึกผิดคาดอยู่บ้าง แต่จากนั้นก็ปล่อยวาง หากไร้รากฐานพลัง โม่เทียนเหอนี่ไหนเลยจะกล้ารีดไถตนอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้

ตูม!

หลินสวินสำแดงพลังที่แท้จริงโดยไม่ยั้งมือเช่นกัน แสงมรรคไหลวนไปทั่วร่าง เผยนัยเร้นลับแห่งเคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ออกมาจนหมด ท่าทางห้าวหาญไม่มีถอยหนี

“ไม่เจียมตัว!”

เห็นดังนี้โม่เทียนเหอยิ้มเยาะ สะบัดแขนเสื้อซัดกระบี่โบราณแถบหนึ่งออกมา รวมกับสองเล่มก่อนหน้ากลายเป็นสามสิบหกเล่ม แปลงเป็นค่ายกลกระบี่ที่ดุดันน่ากลัวเข้าสังหาร

กระบี่โบราณมากมายนั้นล้วนต่างกันออกไป บ้างเจิดจรัสดั่งตะวันจันทรา บ้างสูงตระหง่านราวภูเขา บ้างโหมซัดดั่งทะเล บ้างเหมือนลมวสันต์เปลี่ยนเป็นสายฝน…

สภาพบรรยากาศนับหมื่นพันขานรับซึ่งกันและกัน

ท่ามกลางความเลือนราง เหมือนผู้ฝึกกระบี่ไร้เทียมทานสามสิบหกคนเคลื่อนพลพร้อมกัน เผยเจตกระบี่สะท้านฟ้าสะเทือนดิน หมายตัดสะบั้นใต้หล้า!

ส่วนโม่เทียนเหอก็เหมือนนายใหญ่ในหมู่กระบี่ ฝ่ามือควบคุมกระบี่ทั้งมวลให้เคลื่อนกวาดทั่วทิศ อานุภาพแข็งแกร่งยิ่งยวด

เขาสามารถก้าวขึ้นสู่กระดานทองคำผู้กล้าได้ย่อมไม่ใช่ชื่อเสียงจอมปลอม แต่มีความสามารถอย่างแท้จริง

เคร้งๆๆ

ปราณกระบี่ไขว้ขนานฟาดผ่า ทำจนผู้คนสับสนตาลาย พลานุภาพที่แผ่ออกมายิ่งทำให้ฟ้าดินแถบนี้ตกอยู่ในความโกลาหล

ก้อนหินแตกระเบิด พื้นดินยุบตัวถ้วนทั่ว ห้วงอากาศถูกฉีกกระชากราวผืนผ้าเกิดรอยแยกหลากสาย

“คงมีแค่ศิษย์พี่โม่เทียนเหอที่สามารถสร้าง ‘ค่ายกลกระบี่เร้นปุจฉานภา’ นี้ออกมาได้ถึงขั้นสุดยอด!”

เหล่าผู้แข็งแกร่งของเรือนกระบี่เร้นปุจฉาต่างสีหน้าฮึกเหิม ถูกทำให้ตกตะลึงแล้ว

“เทพมารหลินได้ตายด้วยค่ายกลกระบี่เช่นนี้ก็ไม่ต้องเสียดายแล้ว” มีคนเฝ้ารอเช่นกัน

ครืน!

ฝนกระบี่แน่นหนาหลั่งรินเผยไอสังหารไร้สิ้นสุด ลึกซึ้งเกินคาดเดา เกือบฝังกลบร่างของหลินสวินสิ้น

ผ่านการปะทะช่วงสั้นๆ หลินสวินก็รู้ว่าหากใช้แค่เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์และมังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร ต้องทุ่มเต็มกำลังถึงจะสามารถเอาชนะโม่เทียนเหอได้

แต่หากคิดสังหารอีกฝ่ายคงเสี่ยงอยู่บ้าง

แม้เจ้าหมอนี่จะอวดดียิ่ง แต่หลินสวินก็ไม่อาจไม่ยอมรับ ว่าเขาคือบุคคลร้ายกาจคนหนึ่งที่ตนเคยเจอตั้งแต่ครอบครองกฎเกณฑ์มรรคราชันมาได้ เหนือกว่าระดับมกุฎราชันทั่วไปอยู่โข

แต่… ก็ได้แค่นี้!

ชิ้ง!

เวลาต่อมาดาบหักที่ขาวกระจ่างดุจหิมะพลันโฉบออกไป เผยคมประกายสะเทือนใต้หล้า

“หึๆ เทพมารหลิน ในที่สุดเจ้าก็อดใช้ดาบหักไม่ได้ใช่ไหม อย่างนี้สิถึงจะถูก ไม่อย่างนั้นการกำราบเจ้าก็ไม่สนุกแล้ว”

โม่เทียนเหอหัวเราะเบาๆ สีหน้าราบเรียบ ทั่วร่างแผ่เจตกระบี่ดุดันทะลุทะลวง สำแดงอานุภาพของกระบี่โบราณสามสิบหกเล่มออกมาถึงขีดสุด

แต่ละกระบี่ล้วนมีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน!

แม้เขาจะอวดดีก็รู้ว่าตอนนี้หลินสวินได้ใช้วิธีที่แข็งแกร่งที่สุดแล้ว ในใจจึงไม่กล้าประมาท อานุภาพเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวยิ่งกว่าเดิม

“ไม่สนุกรึ”

นัยน์ตาดำหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ ก็ได้ยินดาบหักส่งเสียงวู้มบางเบา ส่องประกายเจิดจ้าดั่งธารดาราสายหนึ่งม้วนพัดออกไป

กระบวนเฉือนคว้าดารา!

ดาบหักที่ปกคลุมด้วยพลังระเบียบมรรคธาตุน้ำเผยอานุภาพดุจไม่มีสิ่งใดทำลายไม่ได้ เคลื่อนขวางห้วงอากาศราวฉากรัตติกาลมาเยือน เฉือนปลิดดวงดาวเต็มฟ้า!

แม้นี่จะเป็นปรากฏการณ์ประหลาด แต่กลับน่าหวาดกลัวถึงขีดสุด

ปึง!

กระบี่โบราณเล่มหนึ่งถูกซัดพ่าย ส่งเสียงคร่ำครวญรุนแรง

โม่เทียนเหอที่อยู่ห่างออกไปแข็งทื่อไปทั้งตัว เลือดลมตีกลับ เก็บความหยามเหยียดบนหน้า เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันที

ทว่าภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อมาเหนือความคาดหมายของเขาสิ้นเชิง ก็เห็นว่าระหว่างที่ดาบหักเคลื่อนกวาดประหนึ่งเข้าไปในแดนไร้ผู้คน ได้เผยอานุภาพยิ่งใหญ่ไร้สิ้นสุด

ปึงๆๆ

ค่ายกลกระบี่เร้นปุจฉานภาที่เดิมถูกเขาควบคุมอย่างสมบูรณ์แบบถูกพังจนเสียกระบวน กระบี่โบราณหลายเล่มส่งเสียงคร่ำครวญ ถูกซัดกระเด็นกระดอน กระบวนรบซ่านเซ็น

ขณะเดียวกันโม่เทียนเหอราวถูกฟ้าผ่าไปทั้งตัวหลายครา ซวนเซถอยร่นไปหลายก้าว ถูกกระเทือนจนเลือดลมซัดโหม ยากจะรับจนเกือบกระอักเลือด

สีหน้าเขาเปลี่ยนจากจริงจังเป็นเคร่งเครียด แล้วเปลี่ยนจากเคร่งเครียดเป็นตระหนกขุ่นเคืองและไม่น่าดูคล้ายยากจะเชื่อ

ในจุดที่ห่างออกไปผู้แข็งแกร่งเรือนกระบี่เร้นปุจฉาที่เดิมกำลังตื่นเต้นดีใจ เวลานี้ต่างหน้าถอดสี ไม่ทันตั้งตัวจึงยากจะเชื่ออยู่บ้าง

เทพมารหลินนี่ทำไมถึงแข็งแกร่งเช่นนี้

ต้องรู้ว่าไม่นานมานี้โม่เทียนเหอบังเอิญเจอวาสนา ทำให้การฝึกปราณรุดหน้าบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ของระดับมกุฎราชัน อีกนิดเดียวก็จะชักนำให้เกิดอมตะเคราะห์ครั้งแรกได้แล้ว!

พูดได้ว่าในแดนอัคคีทักษิณ หากกล่าวถึงเพียงพลังปราณ ระดับมกุฎราชันที่มีปราณเช่นนี้คงมีไม่เกินห้าคน

แต่ตอนนี้ถึงกับไม่อาจกำราบเทพมารหลินได้ นี่เหนือความคาดหมายเกินไปแล้ว

“ตอนนี้รู้สึกสนุกไหม”

หลินสวินย้อนถาม ในขณะกล่าวดาบหักโฉบบนฟากฟ้า กระบวนเฉือนเผาตะวันปะทุพล่าน ราวกับอาทิตย์ดวงใหญ่ระเบิดกลางห้วงอากาศ ทำลายค่ายกลกระบี่นั้นอย่างสมบูรณ์

พรูด!

โม่เทียนเหอกระอักเลือดอย่างกลั้นไม่อยู่ ผมเผ้ายุ่งเหยิง สีหน้าประหลาดใจจนไม่น่าดู ไม่อวดดีและเรียบเฉยเหมือนดังก่อน “เจ้า… เจ้าเพิ่งก้าวสู่ระดับมกุฎราชันชัดๆ แต่ทำไมพลังถึงแข็งแกร่งเช่นนี้”

“เรื่องที่เจ้าไม่รู้ยังมีอีกมาก ขอถามเจ้าว่าสนุกไหม”

หลินสวินยิ้มถาม นัยน์ตาดำล้ำลึก

เงาร่างเขาพุ่งไปข้างหน้า ดาบหักส่งเสียงบางเบา ส่องประกายลานตา แสงมรรคเจิดจรัสเวียนวน สำแดงอานุภาพของดาบคลั่งพลิกฟ้า ผ่าแหวกเต็มกำลังออกไป

……………………

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท