กึง!
ชั่วขณะที่หลินสวินโจมตี ทุกคนต่างมีความรู้สึกหนึ่ง นั่นราวกับไม่ใช่คน แต่เป็นเจินหลงที่จำศีลอยู่และออกจากเหวลึกในเวลานี้
และเมื่อพอหลินสวินกดนิ้วออกมา จั่นลู่ซิวที่อยู่ตรงหน้ารับรู้ได้อย่างรุนแรงที่สุด ราวกับเข้าไปอยู่ในกาลเวลาอันเนิ่นนานในชั่วพริบตา
กายใจถูกอานุภาพอันยิ่งใหญ่พุ่งโจมตี!
เขานัยน์ตาหดรัดทันควัน เบื้องหน้าเจ็บแปลบ ราวกับสิ่งที่เผชิญไม่ใช่เพียงแค่นิ้วมือเดียวทั่วๆ ไป แต่เป็นอานุภาพโบราณที่พุ่งเข้ามา
เขาส่งเสียงตะคอกอย่างเดือดดาล พลังต่อสู้รอบตัวพลุ่งพล่าน โคจรจนถึงขีดสุดเพื่อสกัดกั้น
แต่ให้ความรู้สึกเหมือนตั๊กแตนตัวหนึ่ง กำลังต้านทานล้อรถที่บดขยี้มาจากกาลเวลาอันเนิ่นอย่างไม่กลัวตาย
ดูเล็กเป็นพิเศษ!
ปัง!
จั่นลู่ซิวถูกซัดจนปลิวออกไปโดยตรง ร่างกายราวกับว่าวที่สายป่านขาด ไม่สามารถควบคุมได้สักนิด
พูดแล้วเหมือนช้า แต่ความจริงทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา แม้เจิ้นอวิ๋นเฟิงจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ แต่ตอนที่คิดจะห้ามก็สายไปเสียแล้ว
ตูม!
ห่างออกไปนอกพันจั้ง ภูเขาลูกหนึ่งดังกึกก้อง ถูกร่างกายของจั่นลู่ซิวกระแทกจนถล่ม เศษหินบินว่อน ฝุ่นควันคละคลุ้ง
ทุกคนอึ้งตาค้าง บรรยากาศเงียบอย่างน่าประหลาด
จั่นลู่ซิวเป็นถึงปีศาจแห่งยุคของจวนเทพขุมทมิฬ บรรลุระดับมกุฎราชันเมื่อไม่นานมานี้ รัศมีแกล้วกล้า
แต่ตอนนี้ แม้แต่นิ้วเดียวยังไม่สามารถต้านทานได้ ถูกโจมตีจนยับเยินโดยตรง!
หากไม่ใช่เพราะเห็นกับตา ย่อมไม่มีใครกล้าเชื่อ
“แค่กๆ…” ห่างออกไปจั่นลู่ซิวคลานขึ้นจากพื้นอย่างล้มลุกคลุกฝุ่น เผ้าผมยุ่งเหยิง มุมปากกระอักเลือด สะบักสะบอมอย่างมาก
เห็นเช่นนี้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงรู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว ในใจตะลึงยิ่ง จินตู๋อีคนนี้… หรือจะเป็นผู้แข็งแกร่งที่เก็บซ่อนพลังที่แท้จริงไว้จริงๆ
“มาอีก!”
จั่นลู่ซิวคำราม ไอสังหารทะลักทะลวง ใบหน้าเขียวคล้ำ โกรธจนตาแทบถลนออกมา เขาคิดว่าตนประมาทเกินไป
“แพ้ไม่เป็นหรือ” หลินสวินพูด
ตอนที่พูดเงาร่างของเขาก็พริบไหว พุ่งเข้าไปแล้ว
“หยุดมือ!”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงตะโกนห้ามโดยไม่ทันได้คิดอะไรมาก
แต่ก็ช้าไปก้าวหนึ่ง พลันได้ยินเสียงปัง จั่นลู่ซิวถูกโจมตีจนปลิวอีกครั้ง ยังคงถูกสยบด้วยนิ้วมือเดียวของหลินสวิน
ตูมโครม!
บนพื้นจั่นลู่ซิวตัวกระแทกลง พื้นดินยุบเป็นหลุมรูปคน ฝุ่นควันคละคลุ้ง พื้นดินสั่นสะเทือนราวกับเกิดแผ่นดินไหว
นี่ทำให้จี้ซิงเหยายังทนดูไม่ได้
ตอนนี้เองหลินสวินก็กลับมายืนอยู่ที่เดิมแล้ว สีหน้าเรียบเฉย ท่าทางสงบนิ่ง ราวกับคนที่ลงมือเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขา
เพียงแต่ตอนที่หันมองเขาอีกครั้ง สายตาของพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงได้เปลี่ยนไปแล้ว แฝงความเดือดดาล ทั้งยังมีความประหลาดใจและหวาดเกรง
ถึงตอนนี้ไม่ว่าใครก็ดูความแข็งแกร่งด้านพลังต่อสู้ของ ‘จินตู๋อี’ ผู้นี้ออก มีความสามารถในการกำราบจั่นลู่ซิวได้!
ส่วนโม่เทียนเหอสีหน้าวูบไหวสับสน
เมื่อครู่นี้เขาจับจ้องอย่างไม่คลาดสายตามาโดยตลอด แต่กลับพบอย่างน่าตกใจ ว่าเจ้าคนที่อยู่ตรงหน้านี่แข็งแกร่งกว่าเทพมารหลินที่เขารู้จัก และยังวิปริตกว่าด้วย!
อีกอย่างกลิ่นอายที่ใช้ยามต่อสู้ก็แตกต่างจากเทพมารหลินอย่างสิ้นเชิง วิชามรรคการต่อสู้ที่ใช้ก็ไม่เหมือนกัน
‘หรือเขาไม่ใช่เทพมารหลินจริงๆ แต่เขาแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่น่าใช่คนที่ไม่มีชื่อเสียงสิ…’ โม่เทียนเหอคิดไม่ตกอยู่บ้าง
“มาอีก!” ห่างออกไปจั่นลู่ซิวเหมือนคนบ้าที่ระเบิดความโกรธ พุ่งเข้ามาอีกครั้ง
“พอแล้ว!”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงสีหน้ามืดทะมึน ต่อว่าออกมา ทำให้สีหน้าของจั่นลู่ซิวเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาว สุดท้ายก็หยุดฝีเท้า
จากนั้นสายตาของเจิ้นอวิ๋นเฟิงมองไปทางหลินสวิน น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นเกรงใจขึ้นมา “หากข้าดูไม่ผิด พลังมหามรรคที่สหายยุทธ์จินสำแดงออกมาคงจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงสินะ”
หลินสวินชะงักไปก่อนเอ่ยว่า “ไม่ผิด”
ได้ยินเช่นนี้คนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าอึ้งงัน สายตาที่มองหลินสวินยิ่งแตกต่างจากเดิม เกี่ยวข้องกับเผ่าเจินหลงหรือ
นี่ไม่ธรรมดามาก!
“เผ่าเจินหลงหรือ” โม่เทียนเหอรู้สึกหัวสมองสับสนอย่างสิ้นเชิง
มีเพียงจี้ซิงเหยาที่รู้ฐานะที่แท้จริงของหลินสวินที่เกือบกลั้นขำไม่อยู่ หากเทพมารหลินมาจากเผ่าเจินหลง ตอนที่อยู่ในดินแดนรกร้างโบราณ ขุมอำนาจใหญ่ที่ไหนจะยังกล้ารังแกเขา
“ฮ่าๆๆ ภารกิจครั้งนี้มียอดฝีมืออย่างพี่จินท่านนี้เข้าร่วม สำหรับพวกข้าแล้วเป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงหัวเราะลั่น ดูกระตือรือร้นอย่างมาก เปลี่ยนท่าทีที่มีต่อหลินสวินแล้ว “เมื่อครู่นี้พวกข้ามีตาหามีแววไม่ พี่จินอย่าได้ถือสา”
หลินสวินประสานหมัดกล่าว “สหายยุทธ์เกรงใจเกินไปแล้ว”
ในใจเขากลับระแวงเล็กน้อย สำหรับเขาแล้ว ความคิดความอ่านของเจิ้นอวิ๋นเฟิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลย ปล่อยวางไม่ยึดติด หากเป็นศัตรูด้วย จะต้องเป็นคู่ต่อสู้ที่ไม่สามารถดูถูกได้อย่างแน่นอน
“อย่าชักช้าเสียเวลาเลย พวกเราควรออกเดินทางได้แล้ว”
จี้ซิงเหยาพูด
“ไม่ผิด ต้องทำเวลา เท่าที่ข้ารู้ครั้งนี้ยังมีขุมอำนาจอื่นหมายจะมุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามแม่น้ำนรก”
สีหน้าของเจิ้นอวิ๋นเฟิงเคร่งขรึม “ขุมอำนาจทั่วไปไม่จำเป็นต้องใส่ใจ แต่มีอยู่สองกลุ่มที่สมควรได้รับความสนใจจากพวกเรา”
“ใคร?”
โม่เทียนเหออดถามไม่ได้
“กลุ่มหนึ่งคือลัทธิไร้สวรรค์ อีกกลุ่มคือเผ่าอีกาทอง”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงกล่าว
ตอนที่ได้ยินคำว่าลัทธิไร้สวรรค์ ในใจทุกคนในที่นั้นต่างกระตุกวูบ นี่เป็นถึงลัทธิใหญ่แห่งหนึ่งในแดนเร้นอริยะ รากฐานพลังน่ากลัวเกินกว่าจะจินตนาการ
ส่วนตอนที่ได้ยินคำว่าเผ่าอีกาทอง หลายคนอดหัวเราะออกมาไม่ได้
“ตอนที่อยู่แดนเผาเซียน อูหลิงเฟยองค์ชายเจ็ดของเผ่าอีกาทองก็ถูกเทพมารหลินสังหารแล้ว”
“เมื่อไม่นานมานี้เขาฝนดาวตกที่พวกเขาอยู่ยิ่งถูกเทพมารหลินกวาดล้าง เสียหายอย่างหนักตั้งนานแล้ว พวกเขากลับกล้าหมายตาวาสนาในเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกหรือ นี่ไม่ใช่รนหาที่ตายรึ”
โม่เทียนเหอเอ่ยหัวเราะเยาะ
กลับเห็นเจิ้นอวิ๋นเฟิงส่ายหน้า เตือนว่า “อย่าได้ดูถูกรากฐานของเผ่าอีกาทอง สมัยบรรพกาล ‘หุบเขาตะวันคล้อย’ ที่เผ่านี้อาศัยอยู่ไม่มีใครกล้าล่วงเกิน แม้แต่อริยะยังไม่กล้าหาเรื่องเผ่านี้ง่ายๆ”
“จริงอยู่ว่าตอนนี้พวกเขาถูกเทพมารหลินก่อกวนจนบาดเจ็บล้มตาย แต่ยังไม่ถึงขั้นสั่นคลอนรากฐาน”
“เพราะเท่าที่ข้ารู้ อูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทองที่เดิมทีฝึกฝนอยู่ใน ‘แดนวารีอุดร’ หลังจากได้รู้สิ่งที่อูหลิงเฟยและอูหลิงเฟิงประสบ ก็เดินทางมายังแดนอัคคีทักษิณแล้ว สาบานว่าจะสังหารเทพมารหลิน!”
ฟังถึงตรงนี้ ความเย็นเยียบที่ยากจะสังเกตเห็นเสี้ยวหนึ่งพลันแวบผ่านในดวงตาดำของหลินสวิน
ตอนที่อยู่ในแดนเผาเซียนเขาก็เคยได้ยินแล้วว่า บุคคลร้ายกาจของเผ่าอีกาทองที่เข้าสู่แดนมกุฎในครั้งนี้มีทั้งหมดสามคน
แบ่งเป็นองค์ชายเจ็ดอูหลิงเฟย องค์ชายเก้าอูหลิงเฟิง และองค์ชายสิบสามอูหลิงเต้า!
“อูหลิงเต้านี่เป็นบุคคลที่ร้ายกาจยิ่งคนหนึ่ง อย่าได้มองว่าลำดับต่ำเชียว ในบรรดาพี่น้องของพวกเขาพลังต่อสู้เรียกได้ว่าชั้นยอด ถูกมองว่าเป็น ‘ราชันสงครามน้อย’ สมัยบรรพกาลเขาเองก็เคยเข้ามาในแดนมกุฎ บุคคลขอบเขตมกุฎที่ตายในมือเขาไม่น้อยเลย”
ความหนักอึ้งวาบผ่านหว่างคิ้วของเจิ้นอวิ๋นเฟิง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็หวาดกลัวอูหลิงเต้าอยู่บ้าง
“และตอนนี้เขากลายเป็นมกุฎราชันแล้ว หากเขาร่วมเคลื่อนไหวเข้าสู่เขตต้องห้ามแม่น้ำนรกด้วย พวกเราจะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
ทุกคนได้ยินเช่นนี้ต่างอดเคร่งครัดขึ้นไม่ได้
ยามที่สนทนากันพวกเขาก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวไปด้วย มุ่งหน้าไปยังเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกนั่น
ระหว่างทางไม่ได้มีเรื่องไม่คาดฝันอะไร จนกระทั่งเข้าสู่ผืนป่าดึกดำบรรพ์นั่น ทุกคนถึงชะลอความเร็วลง เปลี่ยนเป็นระมัดระวังขึ้น
ที่นี่คือรอบนอกของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกแล้ว
เพียงแต่หลินสวินกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าแตกต่างจากเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้กลิ่นอายแปลกประหลาดที่คละคลุ้งในผืนป่าบางเบาลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด
ถึงขั้นที่หากไม่สัมผัสอย่างละเอียดก็ไม่สามารถรับรู้ได้ว่ามี
หึ่งๆๆ
ไม่นานยุงโลหิตหกปีกฝูงหนึ่งพุ่งออกมา ทำให้ทุกคนต่างตกใจ
“ทุกคนระวัง เจ้าตัวนี้ดุร้ายอย่างที่สุด เหี้ยมหาญไม่กลัวตาย เกาะตัวกันเป็นกลุ่ม เดินหน้าต่อไปอย่าไปยุ่งกับพวกมัน”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วเอ่ยเตือน
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาผิดคาดคือ หลังจากยุงโลหิตหกปีกเหล่านั้นพุ่งออกมาก็เหมือนตกใจ ยังไม่ทันได้เข้าใกล้ก็หันหลังหนีกระเจิง เพียงพริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว
“หนีหรือ”
แม้แต่เจิ้นอวิ๋นเฟิงยังออกจะมึนงง
“บางทีอาจจะตกใจพวกเรากระมัง ถึงอย่างไรพลังของพวกเราทั้งกลุ่มรวมกันย่อมสามารถกวาดซัดในแดนอัคคีทักษิณได้”
โม่เทียนเหอพูดพร้อมสีหน้าเย่อหยิ่ง
มีเพียงหลินสวินที่ยิ้มไม่พูดจา
เขาจะไม่พูดหรอกว่ายุงโลหิตหกปีกพวกนี้ไม่ใช่โง่เขลาไร้ปัญญา พวกมันเหี้ยมหาญไม่กลัวตายก็จริง แต่ก็มีช่วงเวลาที่ถูกสังหารจนอกสั่นขวัญแขวน!
สิบวันก่อนหน้านี้ ยุงโลหิตหกปีกที่ตายในมือเขามีไม่น้อยกว่าหนึ่งพัน ทำให้เขาเพียงปรากฏตัว สัตว์ดุร้ายเหล่านี้ก็หนีกระเจิงแล้ว!
‘ฝีมือเจ้าใช่หรือไม่’
จี้ซิงเหยาที่อยู่ข้างๆ สื่อจิตอย่างสงสัยอยู่หน่อยๆ
หลินสวินเอ่ยด้วยสีหน้าราบเรียบ ‘ข้ากลับคิดว่าที่ศิษย์พี่โม่ของเจ้าพูดไม่ผิด’
จี้ซิงเหยากลอกตาใส่เขาทีหนึ่ง ‘เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ’
หลินสวินยิ้มพูด ‘ก็ได้ ข้ายอมรับว่าพวกมันกลัวข้า’
‘ใครจะเชื่อเจ้า’
จี้ซิงเหยายิ้มเยาะ ท่าทางเหมือนกำลังบอกว่าเจ้าอย่ามาคุยโว
หลินสวินหมดคำพูด ผู้หญิงนี่นะ ช่างแปลกประหลาดเสียจริง ไม่ว่าจะพูดจริงหรือโกหกก็ล้วนไม่เชื่อ เชื่อแต่สิ่งที่พวกนางตัดสิน
ระหว่างทางหลังจากนั้นบรรยากาศค่อยๆ อึดอัดขึ้น
ที่แห่งนี้ต้นไม้โบราณบดบังฟ้าดิน มืดครึ้มเปียกชื้น ทั้งมีสัตว์ดุร้ายที่หาได้ยากในโลกภายนอกมากมายกระจายอยู่ น่ากลัวอย่างที่สุด
ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าประมาท
แต่ที่น่าแปลกคือ ระหว่างทางพวกเขากลับไร้อันตราย ไม่พบเจอการเข่นฆ่าหรืออุปสรรคใดๆ!
แม้จะเจอสัตว์ปีศาจที่น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้บางส่วน แต่ทันทีที่ปรากฏตัวก็เหมือนตกใจและตื่นตระหนก หันหลังหนีทันที ท่าทางเหมือนอยากจะมีเท้าเพิ่มอีกสักสองข้างอย่างไรอย่างนั้น
อย่างเช่นเมื่อครู่นี้งูยักษ์กิเลนเขียวที่ยาวร้อยจั้ง ลำตัวหนาใหญ่ราวกับถังน้ำ กลิ่นอายสยดสยองอย่างที่สุด ทำให้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟินประหนึ่งเผชิญกับศัตรูที่แข็งแกร่ง ตัวเกร็งแข็ง เตรียมจะต่อสู้อย่างดุเดือดสักยก
ใครจะคิดว่างูยักษ์ตัวนี้เพิ่งจะปรากฏตัวก็ร้องโหยหวนออกมา หนีไปอย่างรวดเร็ว กระแทกต้นไม้โบราณไปไม่รู้กี่ต้น
นี่ทำให้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างอึ้งค้างหมดคำพูด
‘เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่างูยักษ์นั่นคล้ายจะกลัวเจ้า’ จี้ซิงเหยาอดถามอีกครั้งไม่ได้
‘หลายวันก่อนข้าเคยจับมันได้ แล่เนื้อชิ้นหนึ่งมาต้มน้ำแกง แต่รสชาติกลับแย่เกินไป มีกลิ่นคาวที่ไม่สามารถกำจัดได้’ หลินสวินพูดอย่างสบายๆ
‘คุยโวอีกแล้ว!’ จี้ชิงเหยาถลึงตาใส่เขาแวบหนึ่ง
หลินสวินจนปัญญา สาบานกับฟ้าได้เลยว่าเขาไม่ได้พูดโกหก แต่จี้ซิงเหยาผู้หญิงคนนี้กลับไม่เชื่อ จะโทษใครได้
“ทุกคนระวัง ข้างหน้าเป็นอาณาเขตของเขตต้องห้ามแม่น้ำนรกแล้ว ที่แห่งนั้นแปลกประหลาดและไม่เป็นมงคลอย่างที่สุด จะประมาทไม่ได้เด็ดขาด”
ด้านหน้าเจิ้นอวิ๋นเฟิงพูดเตือน
หลินสวินเงยหน้าขึ้นมองไป ก็เห็นว่าตรงสุดแดนผืนป่าดึกดำบบรรพ์ปรากฏโลกสีแดงเลือดผืนหนึ่ง แดงจัดบาดตา!
——