Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ – ตอนที่ 1207 สังหารภายใต้การโจมตีเดียว

ตอนที่ 1207 สังหารภายใต้การโจมตีเดียว

ไม่ว่าคนอื่นๆ จะคิดอย่างไร อย่างน้อยๆ สำหรับหลินสวิน เพลิงมรรคต้นกำเนิดที่อยู่บนยอดภูเขาเงินนี้ยังคงไม่เป็นที่พอใจของหลินสวินนัก

เขาไม่ได้ใช้สัญชาตญาณในการตัดสิน แต่ใช้ดาบหักในห้วงนิมิตหยั่งเชิง

แต่การตอบสนองกลับเป็น…

นิ่งสนิทไม่รู้สึกรู้สา!

คล้ายว่าดาบหักไม่มีความสนใจเลยว่าจะได้รับการหลอมจากเพลิงมรรคดวงนี้หรือไม่ ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด

ไม่เพียงแค่หลินสวินที่ตัดสินเช่นนี้ เขาถามจี้ซิงเหยาแล้ว ตอนที่นางเก็บเพลิงมรรคสีเขียวนั่น สมบัติของนางเกิดความตื่นเต้นและความปรารถนาอย่างเห็นได้ชัด

นี่ทำให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่า เพราะ ‘สายตา’ ของดาบหักเลือกมากเกินไป หรือคุณลักษณะของเพลิงมรรคสีเงินนี้ไม่เป็นที่น่าพอใจจริงๆ

แต่จากปฏิกิริยาของพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอ ต่างปรารถนาในเพลิงมรรคสีเงินนี้อย่างมาก และมั่นใจว่าคุณลักษณะของเพลิงมรรคสีเงินนี้เหนือกว่าเพลิงมรรคที่พวกเขาได้รับไปช่วงหนึ่ง…

ความคิดเหล่านี้แวบขึ้นในหัวหลินสวินครู่หนึ่งก็หายไป ไม่คิดอะไรมากไปกว่านี้

ฟุ่บ!

เขาทะยานอากาศขึ้นไปกำลังเตรียมจะลงมือ ตอนนี้เองกลิ่นอายน่ากลัวปกคลุมฟ้าดินเข้ามา

หลินสวินพลันเงยหน้า ก็มองเห็นยานสำเภาลำหนึ่งถูกแสงมรรคห่อหุ้ม พุ่งลงมาด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ

หืม

พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอต่างพากันเงยหน้าขึ้น ตอนที่เห็นยานลำนั้นสายตาต่างหดรัดลง

ยานรบเพลิงลาม!

นี่คือยานพาหนะของอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามแห่งเผ่าอีกาทอง ความเร็วราวกับไฟลามสุริยัน ว่องไวอย่างที่สุด มีชื่อเสียงอย่างมากในโลกภายนอก

“วาสนาระดับนี้ใช่ว่าใครจะครอบครองได้ง่ายๆ ไสหัวไป!”

เสียงคำรามเย็นเยียบดังมาจากยานสมบัติลำนั้น ในเวลาเดียวกันเงาร่างที่สูงใหญ่กำยำพลันปรากฏตรงหน้ายานรบ

เขาถือธนูกระดูกสัตว์คันใหญ่ขึ้นมา ยิงใส่หลินสวินที่อยู่กลางอากาศ!

ฟิ้ว!

ธนูวิญญาณสว่างไสวพุ่งออกมา ฉีกทึ้งห้วงอากาศแฝงอานุภาพรุนแรงและเผด็จการ

รอบๆ ธนูนั่นยังระเหยเป็นเงามายาของสัตว์ปีศาจพลิกฟ้าตัวหนึ่ง เงยหน้าคำราม อานุภาพดุร้ายมืดฟ้ามัวดิน

แววตาหลินสวินเย็นเยียบขึ้นมาโดยพลัน ผู้มาไม่พูดไม่จาก็ลงมือทันที หมายจะสังหารเขา นี่เผด็จการและโอหังมากอย่างเห็นได้ชัด

เพราะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน หลินสวินเองก็คิดไม่ถึงอยู่บ้าง ทำได้เพียงกระตุ้นพลังปราณรอบตัวเพื่อหลบหนี

ตูม!

ห่างออกไปหลายพันจั้ง ภูเขายักษ์ลูกหนึ่งถูกธนูหนึ่งยิงจนระเบิดถล่มลง กลายเป็นเถ้าถ่านคละคลุ้งเต็มท้องฟ้า

แม้เป็นหลินสวิน แววตาก็ยังหดรัดลง

โลกใต้สุสานแตกต่างจากโลกภายนอก ภูเขา พื้นดินล้วนแข็งแกร่งยากจะทำลาย

แต่คนผู้นี้กลับสามารถทำลายภูเขาได้ในธนูเดียว ต้องมีพลังต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน!

“หน๊อย หลบได้ซะด้วย ถือว่าดูถูกเจ้าเกินไป”

ยานรบนั่นลอยอยู่กลางอากาศ ถูกแสงมรรคชั้นหนึ่งปกคลุม เงาร่างที่สูงใหญ่กำยำนั่นยืนอยู่ด้านบน มองหลินสวินด้วยสายตาตะลึงแวบหนึ่ง

คนผู้นี้เผ้าผมหนวดเคราราวกับง้าว ร่างกายเป็นสีทองแดง ในมือถือธนูกระดูกสัตว์คันใหญ่ ไอเผด็จการป่าเถื่อนและชวนกดดันแผ่ไปทั่วทั้งตัว

พร้อมกันกับตอนที่เขาส่งเสียง ตรงหัวเรือหนุ่มสาวหลายคนพากันเดินออกมา ล้วนมีอานุภาพยิ่งใหญ่ บุคลิกยอดเยี่ยม แววตาราวกับสายฟ้ากวาดมอง น่ากลัวอย่างที่สุด

มีกลิ่นอายระดับมกุฎราชัน อีกทั้งยังเผยไอดุดันไปทั่วทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเป็นบุคคลร้ายกาจที่ผ่านมานับร้อยศึก เคยผ่านการต่อสู้นองเลือดมามาก

พูดแล้วเหมือนช้าแต่ทุกอย่างเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ไม่ให้โอกาสหลินสวินเปิดปากพูด ชายหนุ่มที่เงาร่างสูงใหญ่กำยำก็ง้างธนูอีกครั้งพร้อมตะโกนว่า “ตาย!”

ร่างกายเขาเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ แผ่แสงมรรคสีทองไปทั่ว ราวกับเทพสงครามที่เจิดจ้า ธนูดอกหนึ่งยิงออกมา ทะลุทองทำลายหิน แหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

อะไรที่เรียกว่ากำแหง

เช่นนี้อย่างไรเล่า ไม่แม้แต่จะพูดกันก่อนสักคำก็เข้าสังหารช่วงชิงศุภโชคโดยตรง!

คนที่กล้าทำเช่นนี้ หากไม่ใช่พวกคนอวดดีที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ก็คือพวกคนดุร้ายที่มีความมั่นใจเปี่ยมล้น

ในใจหลินสวินไอสังหารพลุ่งพล่าน ตั้งแต่เขาเหยียบย่างระดับมกุฎราชัน ยังไม่เคยถูกใครกระทำเช่นนี้มาก่อน!

“หยุดมือ!”

เพียงแต่ยังไม่รอให้หลินสวินลงมือ เงาร่างหนึ่งก็พุ่งเข้ามาแล้ว ฟันฝ่ามือลงไปทีหนึ่ง ตบใส่ธนูวิญญาณที่พุ่งเข้ามาด้วยความเร็วสูงนั่น ทำให้ทิศทางของมันเปลี่ยนไป

ตูม บนพื้นถูกกระแทกเป็นหลุมลึกทั้งอย่างนั้น พื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที!

เงาร่างนี้ก็คือเจิ้นอวิ๋นเฟิงนั่นเอง เมื่อเห็นว่าเป็นเขาหลินสวินก็ประหลาดใจเล็กน้อย พยายามข่มกลั้นไอสังหารในใจเอาไว้

ในเวลาเดียวกันพวกจี้ซิงเหยา โม่เทียนเหอเองก็ขยับเข้ามาใกล้ ยืนอยู่ฝั่งเดียวกับหลินสวิน มองไปยังยานสำเภาลำนั้นด้วยสีหน้าทะมึน

“อู่ซานหลิน เจ้าโจมตีสหายของข้าโดยไม่แม้แต่จะคำพูดใด จะเผด็จการเกินไปหรือเปล่า”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสีหน้าเย็นเยียบ สายตาจ้องชายหนุ่มที่รูปร่างกำยำบนยานลำนั้น

‘เจ้าหมอนี่เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณที่มาจากเผ่าแรดพลิกฟ้าแห่งแดนเร้นอริยะ เป็นบุคคลที่ดุร้ายอย่างที่สุดคนหนึ่ง’

ในเวลาเดียวกันจี้ซิงเหยาสื่อจิตกับหลินสวิน ‘เพียงแต่ เขากลับนั่งยานรบเพลิงลามของอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทองมา นี่เหนือความคาดหมายไม่น้อย’

เผ่าแรดพลิกฟ้า!

เผ่าที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสมัยบรรพกาล รากฐานพลังไม่ด้อยไปกว่าเผ่าอีกาทอง เป็นเผ่าที่เชี่ยวชาญการต่อสู้แต่กำเนิด

เพียงแต่ความสนใจของหลินสวินถูกประโยคที่ว่า ‘อูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทอง’ ดึงดูดไปอย่างสิ้นเชิง

สายตาของเขามองไปยังยานรบนั่น เพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่แท้ยานลำนี้ก็เป็นของ ‘ศัตรู’ ของเขา

“ฮ่า ที่แท้ก็เป็นคนของจวนเทพขุมทมิฬ พวกเจ้าก็อยู่นี่ด้วยหรือ ขอโทษที เมื่อครู่นี้ไม่ได้สังเกตเห็นพวกเจ้า”

อู่ซานหลินแสยะยิ้ม ดูเหมือนรู้สึกผิด ความจริงท่าทีเหลาะแหละและเย่อหยิ่งอย่างมาก ไม่กลัวคำถามของเจิ้นอวิ๋นเฟิงเลยสักนิด

ข้างๆ เขา ชายหญิงกลุ่มหนึ่งต่างสีหน้าขบขำ

นี่ทำให้สีหน้าของพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอต่างเดือดดาล เจ้าพวกนี้อวดดีจริงๆ!

“ตอนนี้สังเกตเห็นแล้ว ควรจะจากไปหรือยัง”

เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจเข้าลึกๆ พูดเสียงเย็น อีกฝ่ายคนมากพลังมาก และเขาสงสัยมากว่าอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทองก็อยู่บนยานรบด้วย

หากไม่เป็นเช่นนี้ ด้วยอุปนิสัยของเขาย่อมไม่ยอมทนอย่างแน่นอน อย่างน้อยเขาก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณจากจวนเทพขุมทมิฬเช่นกัน จะกลัวคนในรุ่นเดียวกันได้อย่างไร

“จากไปหรือ ฮ่าๆ เหตุใดพวกข้าต้องจากไป”

อู่ซานหลินเอียงหัว แคะหูท่าทางไม่สนใจ ราวกับมองทุกคนเป็นอากาศธาตุแล้วพูดว่า “คำพูดอาจไม่น่าฟังหน่อย ข้าขอเตือนว่าพวกเจ้ารีบไปจากที่นี่ดีกว่า วาสนาใต้สุสานนี้ถูกพวกข้าจับจ้องแล้ว ใครกล้าเพ้อหา คนผู้นั้นก็จะเป็นศัตรูกับพวกข้า”

ด้านหลังเขา ชายหญิงกลุ่มนั้นสีหน้ายิ่งเย้ยหยัน

พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอสีหน้าต่างมืดทะมึน ในใจเดือดดาล ในสายตาเผยไอสังหาร

คนพวกนี้มองพวกเขาเป็นของประดับหรือ

เจิ้นอวิ๋นเฟิงกำลังจะพูดอะไรสักอย่างก็ถูกหลินสวินขวางเอาไว้ เอ่ยว่า “สิ่งที่พวกเขาจะช่วงชิงคือเพลิงมรรคของข้า ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ให้ข้าเป็นคนจัดการเถอะ”

พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างอึ้ง แทบจะไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง

ขนาดนี้แล้ว เจ้าหมอนี่ยังจะล้อเล่นเช่นนี้อีกหรือ

หรือเขาดูไม่ออกว่าอีกฝ่ายคนมากพลังมาก ล้วนเป็นมกุฎราชันทั้งสิ้น

แม้แต่พวกอู่ซานหลินยังอึ้ง อดหัวเราะลั่นขึ้นมาไม่ได้ เจ้าหมอนี่โกรธจนเพี้ยนอย่างเห็นได้ชัด เสียสติไปแล้ว ถึงได้กล้าพูดโง่ๆ อย่างไม่รู้จักประเมินกำลังของตนเช่นนี้

สีหน้าตอนนี้ของหลินสวินนิ่งมาก ไม่มีคลื่นความรู้สึกเลยสักนิด ดวงตาดำลึกล้ำและเรียบเฉย ราวกับไม่รับรู้เสียงหัวเราะเยาะที่ดังอยู่รอบๆ

แต่มีเพียงจี้ซิงเหยาที่รู้ว่า เทพมารหลิน…

โกรธอย่างสิ้นเชิงแล้ว!

“เจ้าบอกว่าเจ้าจะจัดการพวกข้าเองหรือ มาๆๆ บอกข้าทีว่าใครให้ความกล้ากับเจ้า ถึงได้กล้าอวดดีเช่นนี้”

บนหัวยานอู่ซานหลินยื่นมือชี้หลินสวิน

ท่าทางเช่นนี้เดิมก็แฝงความเย้ยหยันอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงความดูถูกและเสียดสีที่เผยออกมาจากคำพูดของเขา

“เหตุใดต้องเสียเวลาพูดไร้สาระกับคนโง่คนหนึ่ง พี่อู่ ข้าจะไปชิงเพลิงมรรคดวงนั้นมาให้ท่าน!”

ในเวลาเดียวกันชายชุดคลุมขาวที่รูปร่างกำยำล่ำสัน นัยน์ตาเป็นสีทองเดินออกมา แล้วทะยานตรงไปยังยอดภูเขาเงินนั่นโดยตรง

นี่เป็นการมองข้ามพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงโดยสิ้นเชิงอย่างไม่ต้องสงสัย ในสายตาเห็นค่าเพียงเพลิงมรรคสีเงินดวงนั้นเท่านั้น ทำให้พวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างเดือดดาล นี่จะทนได้อย่างไร

เพียงแต่ยังไม่รอให้พวกเขาโจมตี ก็มีเงาร่างหนึ่งชิงลงมือตัดหน้าพวกเขาไปก้าวหนึ่งแล้ว!

เป็นหลินสวิน

เขาก้าวย่างกลางอากาศ ดูเหมือนเนิบช้าแต่ความจริงนั้นว่องไว ราวกับลำแสงมายา เพียงชั่วพริบตาก็มาถึงตรงหน้าชายชุดคลุมขาวคนนั้นแล้ว

ชายชุดคลุมขาวตกใจยิ่ง เห็นได้ชัดว่าตกใจกับความไวของหลินสวิน มุมปากพลันหยัดโค้งอย่างเย้ยหยัน “คิดจะรนหาที่ตายจริงๆ หรือ”

ตอนที่พูดเขาก็ออกโจมตีอย่างเหี้ยมหาญแล้ว กำหมัดยกชูราวกับยกค้อนยักษ์ แล้วกระแทกใส่ศีรษะหลินสวินอย่างแรง

ตูม!

การโจมตีนี้ฉับไว แม่นยำและรุนแรง พลังหมัดควบรวม สว่างไสวสะดุดตา เสียงธรรมคำรามราวกับภูเขาถล่มคลื่นสมุทรซัดสาด จิตวิญญาณสั่นคลอน

แค่การโจมตีที่เด็ดขาดและการตอบสนองที่รวดเร็วก็สามารถดูออกว่า ในระดับมกุฎราชัน ชายชุดคลุมขาวคนนี้ก็ไม่ใช่คนธรรมดา

แต่น่าเสียดายที่ครั้งนี้เขาเจอหลินสวินเข้า!

อีกทั้งยังเป็นหลินสวินที่อยู่ในสภาพไอสังหารดุเดือด!

เผชิญกับหมัดนี้ หลินสวินเพียงแค่ยื่นมือออกไป พลังแข็งแกร่งไร้ใดเปรียบแผ่พุ่ง สลายพลังหมัดของเขาและคว้าข้อมือของอีกฝ่ายเอาไว้ได้อย่างง่ายดาย

กร๊อบ!

ชายชุดคลุมขาวไม่ทันตั้งตัวเลยสักนิด ตกใจจนสะดุ้ง เพิ่งคิดจะเปลี่ยนกระบวนท่าก็รู้สึกกระดูกข้อมือเจ็บอย่างรุนแรง ระเบิดแหลกละเอียดอย่างสิ้นเชิง

ไม่รอเขากรีดร้อง มืออีกข้างของหลินสวินก็คว้าคอของเขาไว้แล้ว

“เจ้า…”

ชายชุดคลุมขาวส่งเสียงร้อง ลนลานอย่างสิ้นเชิง ใช้พลังทั้งหมดดิ้นรนแต่ก็ไร้ประโยชน์

เสียงปังดังลั่น ลำคอของเขาถูกกุมจนแหลก เลือดสดๆ ไหลพรูราวกับน้ำตก

พลังจิตของเขายิ่งหมายจะทะยานหนีออกจากร่าง ก็ถูกพลังที่แผ่ขยายจากฝ่ามือหลินสวินกลบทับ ระเบิดแหลกสลายไปในชั่วพริบตา

ทั้งที่นั้นล้วนเงียบสนิท

พวกจี้ซิงเหยา เจิ้นอวิ๋นเฟิง โม่เทียนเหอเดิมทีไฟสุมอก กำลังจะออกโจมตี แต่เพียงพริบตาก็เห็นภาพคาวเลือดนี้ สายตาพลันพร่าเลือน จิตใจสั่นสะเทือน

บนยานสำเภาพวกอู่ซานหลินยังคงหัวเราะเยาะ ท่าทางเหมือนชมดูเรื่องสนุก มองหลินสวินเป็นเหมือนคนตาย

แต่ใครจะคิดว่าเพียงชั่วพริบตาเท่านั้นก็เกิดการพลิกผันระดับนี้ ทำให้พวกเขาต่างผิดคาด เบิกตาโพลง ต่างสงสัยว่าเป็นภาพลวงตาหรือไม่

การโจมตีเดียวก็สังหารมกุฎราชันคนหนึ่งได้แล้วหรือ

ภาพนี้สะท้านสะเทือนเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย ราวกับสายฟ้าผ่ากะทันหัน ทำเอาทุกคนทำอะไรไม่ถูก ยากจะเชื่อ

ท่ามกลางความเงียบสงบหลินสวินเอ่ยปากขึ้น “วาสนาของข้า ใช่สิ่งที่ขยะอย่างเจ้าจะแตะต้องได้หรือ ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย”

เมื่อสิ้นเสียง

ปัง!

ศพของชายชุดคลุมขาวระเบิดออกเป็นหมอกโลหิต ร่างกายและวิญญาณสลายอย่างสิ้นเชิง!

——

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์

Status: Ongoing
 ณ มหาทวีปชางถูอันกว้างใหญ่ไพศาล มีเซียนอมตะผู้อยู่เหนือสวรรค์ชั้นฟ้า มีเทพมารบรรพกาลผู้ควบคุมโลกันต์ ก่อเกิดเป็นตำนานอันรุ่งโรจน์ไม่รู้จบบนหน้าประวัติศาสตร์
ในโลกใบเดียวกันนั้น เด็กชายนามว่าหลินสวินจำต้องอาศัยการฝึกปราณและการจารึกรอยสลักวิญญาณ บากบั่นมุ่งหน้าไปบนหนทางสู่ความเป็นหนึ่งแต่เพียงลำพัง
หลินสวินเป็นผู้เดียวที่หนีรอดมาได้จากคุกใต้เหมือง ที่ที่เขาถูกเลี้ยงดูจนเติบใหญ่ เขาไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร ยกเว้นเพียงความจริงไม่กี่อย่างที่ท่านลู่ ผู้อุปการะของเขาเป็นคนเล่าให้ฟัง ด้วยเครื่องมือวิญญาณโบราณสองอย่างที่ท่านลู่มอบไว้ให้ก่อนคุกใต้เหมืองจะถล่ม หลินสวินเริ่มออกเดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า เพื่อค้นหาว่าเพราะเหตุใดชีพจรวิญญาณของเขาจึงถูกพรากไป และใครที่เป็นคนสังหารครอบครัวของเขา จนทำให้เด็กชายต้องโดดเดี่ยวอ้างว้างอย่างที่เป็นอยู่นี้
แม้ภายนอกจะเป็นเพียงเด็กชายตัวผอมแห้งอายุสิบสองสิบสามที่ดูไร้พิษสง แต่ภายในนั้นเด็ดขาดและไร้ความปราณีเป็นที่สุด ท่านลู่เปรียบเสมือนแสงแดดอุ่นที่คอยสอนไม่ให้หลินสวินหยุดเรียนรู้และสอนวิชาเอาตัวรอดให้เขา ในทางกลับกัน ทหารยามและนักโทษทั้งหลายทำให้เขารู้จักว่าความดำมืดที่แท้จริงเป็นเช่นไร และมนุษย์คนหนึ่งจะชั่วช้าได้สักแค่ไหน…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท