ปึง!
ครู่หนึ่งผ่านไป จั่นลู่ซิวเขย่าหอกใหญ่ที่อยู่ในมืออย่างเฉียบพลัน สำแดงการประหัตประหารเด็ดขาดราวมังกรดำกลืนสุริยันสังหารคู่ต่อสู้ ละอองแสงปลิวว่อน
ซ่า!
แต่เพียงชั่วพริบตา ร่างของขุนพลวิญญาณเพลิงคนแรกก็รวมตัวขึ้นมา ไม่เสียหายแต่อย่างใด
ทว่าเขาออกตัวถอยไปอยู่อีกด้านเองแล้ว
จั่นลู่ซิวเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้หยุดพัก พุ่งโจมตีต่อไป
หนึ่งถ้วยชาผ่านไป มีขุนพลวิญญาณเพลิงถูกเอาชนะ หลีกทางให้แล้วอย่างต่อเนื่องสิบเจ็ดคน
ไม่อาจไม่พูดว่าในหมู่มกุฎราชัน พลังต่อสู้ที่จั่นลู่ซิวสำแดงออกมาเรียกได้ว่าชั้นหนึ่งแล้ว
ทว่าทุกคนกลับนิ่วหน้าไม่หยุด
เพราะต่างดูออกว่าจั่นลู่ซิวต่อสู้มาถึงตอนนี้ ได้ผลาญพลังไปมากแล้ว ส่วนคู่ต่อสู้ของเขายิ่งคนหลังๆ ไปพลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาก็ยิ่งแข็งแกร่ง!
ในสถานการณ์ที่ฝ่ายหนึ่งพลังถดถอยส่วนอีกฝ่ายพลังสูงขึ้น จั่นลู่ซิวคิดจะเอาชนะคู่ต่อสู้ทุกคนนั้นมีความหวังไม่มากแล้ว
ดังคาด หลังจากเอาชนะคู่ต่อสู้คนที่ยี่สิบสี่ สุดท้ายพลังกายของจั่นลู่ซิวก็รับไม่ไหว พ่ายแพ้ในการต่อสู้
เขาหอบหายใจ เหงื่อซึมไปทั้งกาย บนใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอม
ศุภโชคเย้ยฟ้าชิ้นใหญ่อยู่ตรงหน้า แต่กลับทำได้เพียงหยุดลงเท่านี้ สิ่งนี้กระทบจิตใจใหญ่หลวงยิ่งนัก
“เจ้าไปพักก่อน ถ้าข้ามีโอกาสฝ่าด่านได้จะไปช่วยเจ้าเสาะหาเพลิงมรรคต้นกำเนิดมาสักดวง”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยปลอบโยน
จั่นลูซิวนิ่งเงียบ แม้ในใจจะไม่ยินยอมแค่ไหนก็ทำได้เพียงเท่านี้
ด้วยเรื่องนี้ก็ทำให้คนอื่นรับรู้ได้ว่า ด่านนี้ไม่ได้ผ่านได้ง่ายดายเช่นนั้น!
ต่อมาอิ๋นเสวี่ยออกโจมตี
พลังต่อสู้ของนางเหนือกว่าจั่นลู่ซิวเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หลังจากเอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่ยี่สิบเก้าได้ สุดท้ายก็ยืนหยัดไม่ไหวพ่ายแพ้ในการต่อสู้
นี่ทำให้สีหน้าของทุกคนยิ่งคร่ำเคร่งหนักอึ้งขึ้นมา
“ข้าไปเอง!”
โม่เทียนเหอออกโจมตี ความแข็งแกร่งของพลังต่อสู้ที่สำแดงออกมาทำให้ทุกคนตาเป็นประกาย ฮึกเหิมไม่หยุดเพราะเขา
ทว่าสุดท้ายตอนปลิดชีพคู่ต่อสู้คนที่สามสิบเก้า โม่เทียนเหอก็แพ้การต่อสู้
“ทำไมถึงเป็นเช่นนี้”
คนอื่นต่างสีหน้าแปรผันไม่หยุดหย่อน
โม่เทียนเหอเป็นถึงสัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่ง แต่ก็พ่ายแพ้กลางทาง นี่ทำให้สภาวะจิตของคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง
แม้ศุภโชคที่อยู่บนภูเขาไฟนั้นจะใหญ่ แต่หากเข้าใกล้ไม่ได้ สุดท้ายก็เป็นความว่างเปล่าเท่านั้น!
ส่วนหลินสวินตั้งแต่เริ่มจนจบก็สังเกตการณ์อยู่ เปรียบเทียบและกะประมาณอยู่ในใจ พอจะตัดสินศักยภาพของขุนพลวิญญาณเพลิงเหล่านั้นได้แล้ว
แต่ว่าความพ่ายแพ้ของพวกโม่เทียนเหอก็ยังทำให้หลินสวินออกจะประหลาดใจ
ในสมองเขามีความคิดหนึ่งปรากฏขึ้นอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ ในระดับมกุฎราชันนี้ ควรจะแบ่งแยกสูงต่ำแข็งอ่อนอย่างไรกันแน่
ปัญหานี้แม้แต่อริยะในปัจจุบันยังไม่อาจตอบได้
เพราะระดับมกุฎราชัน ในอดีตไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
ไม่ว่าจะเป็นหลินสวินหรือมกุฎราชันผู้อื่นที่อยู่ในที่นี้ล้วนเหยียบย่างลงบนระดับนี้ระหว่างการแสวงมรรค เรียกได้ว่าไม่เคยมีมาก่อน
แต่ในขณะเดียวกันการรับรู้ความแข็งแกร่งของพลังในระดับนี้ กลับไม่มีทางให้คำตอบที่แน่ชัดได้
และตอนนี้ หลินสวินก็มีความคิดอันแรงกล้าอย่างหนึ่งในใจ ระดับนี้ว่างเปล่าไปหมด ในอดีตไม่เคยมีมาก่อน เหตุใดถึงจำกัดความเองไม่ได้
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมาตัวหลินสวินเองก็ตกใจไปครู่หนึ่ง
แต่หลังจากใจเย็นลงแล้ว เมื่อคิดดูอย่างละเอียด แม้ความคิดจะกล้าบ้าบิ่นแต่กลับไม่ได้เป็นเรื่องที่ทำไม่ได้!
การฝึกปราณ แต่ไหนแต่ไรก็ไม่ใช่การทำตามขั้นตอนรักษาวิธีดั้งเดิม แต่ต้องแผ้วทางเบื้องหน้า!
อีกทั้งในมรรคาที่ฝึกมีเพียงหนึ่งเดียวในอดีตและปัจจุบัน ย่อมต้องมีความกล้าที่จะบุกเบิกประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ไปสรรค์สร้างและอนุมานเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อนในทุกยุคสมัย!
ยิ่งคิด ส่วนลึกในจิตใจของหลินสวินก็ยิ่งมีแรงขับเคลื่อนที่ควบคุมไว้ไม่อยู่
แต่สุดท้ายเขาก็สูดหายใจลึก สงบใจลงโดยสมบูรณ์
กำหนดระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน ถ้าถูกอริยะในสมัยต่างๆ รู้เข้าเกรงว่าจะต้องถูกแช่งชักว่าตนใจกล้าบ้าบิ่นทำเรื่องเพ้อฝันแน่
ถึงขั้นว่าผู้คนในโลกต่างต้องไม่อาจยอมรับได้!
แต่ไม่ว่าอย่างไรหลินสวินตัดสินใจจะลองดูสักตั้ง เขาในตอนนี้อาจจะยังไม่มีความสามารถทำให้ผู้คนในโลกเชื่อถือได้เช่นนี้
แต่สักวันหนึ่ง เมื่อตนไร้ศัตรูในระดับมกุฎราชัน ทะลวงปริศนาของระดับนี้จนถึงที่สุดแล้ว การแบ่งแยกในระดับมกุฎราชันนี้ก็จะถูกกำหนดขึ้นโดยเขาหลินสวิน!
เสียงทอดถอนใจดังขึ้นระลอกหนึ่ง ปลุกให้หลินสวินตื่นจากภวังค์
ก็เห็นว่าไกลออกไปใบหน้างามของจี้ซิงเหยาซีดเผือด หว่างคิ้วเจือความไม่ยินยอม กลับมาจากสมรภูมิ
นางก็แพ้แล้ว แพ้ด้วยน้ำมือขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบสาม
นี่ทำให้บรรยากาศในที่นี้ยิ่งหนักอึ้งเสียแล้ว
“ให้ข้าสู้เองเถอะ”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วก้าวออกไป
น่าเสียดาย เขาก็แพ้แล้ว แพ้ด้วยน้ำมือขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบเจ็ด ห่างจากการผ่านด่านอีกไม่ไกลแล้ว
“ดูท่าคงมีแต่พี่หลินลงมือถึงอาจจะฝ่าด่านได้สำเร็จแล้ว”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงยิ้มฝืนนัก เห็นได้ชัดว่าความล้มเหลวคราวนี้ก็กระทบกระเทือนจิตใจเขามาก
“อย่า ให้ข้าไปก่อน!”
เจ้าคางคกรอจนทนไม่ไหวอยู่นานแล้ว ชิงพุ่งออกไปก่อน
การต่อสู้ปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว
ที่ทำให้ทุกคนประหลาดใจก็คือ เด็กหนุ่มชุดเขียวที่หยิ่งยโสหาใดเทียบคนนี้ พลังต่อสู้กลับแข็งแกร่งยิ่ง พลังทำลายล้างรุนแรงตลอดทาง!
แม้แต่หลินสวินยังรู้สึกเหนือความคาดหมายอย่างห้ามไม่ได้ ทันใดนั้นก็เข้าใจ เดิมทีเจ้าคางคกก็เป็นสัตว์ประหลาดยุคโบราณผู้หนึ่ง ว่าด้วยรากฐานพลังกับพรสวรรค์ย่อมไม่ด้อยไปกว่าสัตว์ประหลาดยุคโบราณอื่นใดเลย!
และในดินแดนแห่งวาสนาซึ่งเซียนผลาญเฉินหลินคงหลงเหลือไว้ให้ที่แดนเผาเซียนนั้น เจ้าคางคกย่อมได้รับพลังมรดกที่น่าเหลือเชื่อมา ถึงทำให้หลังจากเขาเป็นมกุฎราชันพลังต่อสู้ก็เปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าดินไปด้วย
แต่ที่ทำให้ผู้อื่นถอนใจด้วยความเสียดายก็คือ เจ้าคางคกล้มเหลวในระหว่างประลองกับขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบเก้าเสียแล้ว…
หรือพูดได้ว่า เขาขาดอีกก้าวเดียวก็จะผ่านด่านแล้ว!
“ให้ตายสิ เอาใหม่อีกครั้ง ข้าไม่เชื่อหรอกโว้ย!” เจ้าคางคกโมโหจนกระทืบเท้าด่าทอยกใหญ่ อัดอั้นจนแทบกระอักเลือด
ขาดอีกก้าวเดียวก็จะได้มหาศุภโชคมาไว้ในมือ แต่ดันมาพ่ายแพ้ในจังหวะนี้เสียได้ นี่ช่างทรมานกันเกินไปแล้ว
เพียงแต่โอกาสมีเพียงครั้งเดียว ยามเจ้าคางคกจะสู้ใหม่อีกครั้งก็ถูกขุนพลวิญญาณเพลิงทั้งสี่สิบเก้าคนล้อมเอาไว้ จับจ้องเขาด้วยสีหน้าเย็นชา
เจ้าคางคกสีหน้าเปลี่ยนไปมา สุดท้ายก็กล้ำกลืนความไม่พอใจลงท้อง สะบัดแขนเสื้อถอยออกไป
ดังนั้นในที่นั้นจึงเหลือเพียงหลินสวินคนเดียวที่ยังไม่เคยฝ่าด่าน
“พี่หลิน ตอนนี้ก็มีแต่เจ้าแล้วที่จะช่วยทุกคนระบายความคับข้อง”
เจิ้นอวิ๋นเฟิงกัดฟันกล่าว
คนอื่นๆ ต่างผงกศีรษะ คับแค้นเคืองขุ่นเช่นกัน จ้องขุนพลวิญญาณเพลิงพวกนั้นเหมือนเป็นศัตรูคู่แค้นที่ไม่อาจอยู่ใต้ฟ้าเดียวกัน
ย่อมต้องโกรธแค้นแน่นอน วาสนาเย้ยฟ้าครั้งหนึ่งมาอยู่ตรงหน้า แต่ดันถูกคู่ต่อสู้ที่จำแลงมาจากกฎระเบียบเหล่านี้ขวางทางเสียอย่างนั้น ไม่ว่าใครก็คงไม่พอใจ
“เอาพวกมันให้ตาย ต้องเอาพวกมันให้ตาย!” เจ้าคางคกร้องอ๊บๆ เสียงดังด้วย
หลินสวินผงกหัว ก้าวเดินไปข้างหน้า
เมื่อเห็นเช่นนี้ทุกคนต่างหุบปาก จับตามองอย่างกระวนกระวาย เพียงกลัวว่าจะรบกวนการต่อสู้ของหลินสวิน
“ดูจากพลังต่อสู้ที่พี่หลินสำแดงออกมาตอนสังหารอูหลิงเต้าองค์ชายสิบสามเผ่าอีกาทอง คู่ต่อสู้คนที่สี่สิบเก้านี้ไม่มีทางขวางเขาไว้ได้เลย”
โม่เทียนเหอกล่าว “ตอนนี้ที่ต้องกังวลเพียงอย่างเดียวก็คือ เทพมารหลินจะใช้เวลานานแค่ไหนกันแน่ถึงจะจัดการเจ้าพวกสมควรตายพวกนี้ได้”
“หนึ่งถ้วยชากระมัง” เจิ้นอวิ๋นเฟิงเอ่ยงึมงำ
“ไม่ ข้าว่าคงไม่เกินครึ่งเค่อ” จี้ซิงเหยาเอ่ยตอบหลังจากครุ่นคิดอย่างจริงจัง
“ครึ่งเค่อหรือ พวกเจ้าดูถูกพี่น้องของข้าไปแล้ว เท่าที่ข้าดู ไม่ถึงสี่สิบเก้าลมหายใจเขาก็จัดการทุกอย่างได้แล้ว”
เจ้าคางคกพูดเป็นมั่นเหมาะ
คนอื่นยิ้มอย่างอดไม่ได้ คิดว่าพูดเช่นนี้ออกจะคุยโวไปหน่อยแล้ว
ถ้าขุนพลวิญญาณเพลิงเหล่านั้นเป็นสวะอ่อนแอกลุ่มหนึ่ง แล้วจะขวางพวกเขาเหล่านี้ได้อย่างไร
ชิ้ง!
ในสมรภูมิ หลินสวินเรียกดาบหักออกมาอย่างไม่ลังเล
ชั่วพริบตากลิ่นอายทั้งตัวเขาก็เปลี่ยนไปเพราะมัน เงาร่างสันโดษน่าเกรงขามเต็มไปด้วยอานุภาพที่ทำให้ฟ้าดินเปลี่ยนสี
ดวงตาดำของเขาลุ่มลึกและสงบนิ่ง โคจรมรดกอักษร ‘ยอด’ ที่เพิ่งได้มาอย่างเงียบเชียบ!
วู้ม!
ทุกคนเพียงรู้สึกแสบแก้วหูไปครู่หนึ่ง ด้วยถูกเสียงร้องกังวานของดาบหักสั่นสะเทือนจนจิตวิญญาณสั่นคลอนไประลอกหนึ่ง
จากนั้นก็เห็นว่าในห้วงอากาศ ดาบหักขาวเจิดจ้าดุจหิมะมีกระบวนค่ายกลคลุมเครือแน่นขนัดปรากฏขึ้น ประหนึ่งตื่นขึ้นจากความเงียบงันโดยสมบูรณ์ ตระการตาหาใดเทียม
รอบๆ ดาบหักห้วงอากาศโกลาหลระเบิดแหลกทุกกระเบียด คล้ายรับพลานุภาพชั้นนี้ไว้ไม่ได้
“นี่…”
ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี แม้ยังไม่ได้ออกโจมตีแต่พวกเขาก็รับรู้ได้อย่างเฉียบคม ว่าเมื่อหลินสวินปลดปล่อยการโจมตีนี้ออกไป จะต้องผิดธรรมดาแน่
ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!
คล้ายสังเกตได้ถึงอันตราย ในตอนนี้ขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนนั้นกลับพากันเรียกอาวุธของตนออกมา ดั่งเข้าใกล้มหาศัตรู
“เฉือน!”
คำเดียวพ่นออกมาจากปากหลินสวินเบาๆ
ราวกับวาจาประกาศิต ดาบหักโฉบพุ่งออกไปอย่างรุนแรง
ฟุ่บ!
ขุนพลวิญญาณเพลิงคนแรกยังไม่ทันตั้งรับก็ถูกฟันออกเป็นสองท่อน ง่ายดายเหมือนใช้มีดผ่าเต้าหู้ ไม่ต้องห่วงกังวลสักนิด
แต่ไม่ทันรอให้ทุกคนร้องด้วยความประหลาดใจ อานุภาพที่เหลืออยู่ของดาบหักไม่ลดลงสักนิด สังหารขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สองไปด้วย
จากนั้นก็เป็นคนที่สาม คนที่สี่ คนที่ห้า…
ฟุ่บๆๆ!
ในที่นั้นเสียงแตกระเบิดดังติดๆ กัน ในสายตาทุกคนมองเห็นว่า ทุกที่ที่ดาบหักเคลื่อนผ่านราวกับกำลังจุดประทัด
ร่างกายของขุนพลวิญญาณเพลิงทุกคนล้วนระเบิดแหลก สลายเป็นละอองแสงปลิวว่อน
คล้ายกับดอกไม้ไฟที่ระเบิดออก งดงามพราวตา
ฟุ่บ
กระทั่งสุดท้าย กระบวนเฉือนนี้ก็ถูกขุนพลวิญญาณเพลิงคนที่สี่สิบเก้าสกัดไว้ในที่สุด
ทุกคนต่างลอบปาดเหงื่ออย่างห้ามไม่ได้
วิปริตเกินไปแล้ว!
กระบวนเฉือนเดียวก็เอาชนะขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบแปดคน ช่างดุดันอย่างที่สุด ทำเอาพวกเจิ้นอวิ๋นเฟิงต่างตกตะลึงอ้าปากค้าง
เพียงแต่ยังไม่ทันรอให้พวกเขาได้ถอนหายใจโล่งอก ได้สติจากความตื่นตะลึง หูก็ได้ยินเสียงดังฟุ่บ
จากนั้นพวกเขาก็เห็นว่า แม้ขุนพลวิญญาณเพลิงคนสุดท้ายจะสกัดกระบวนเฉือนนี้ไว้ได้ แต่ร่างกายกลับถูกสะเทือนจนแตกออกอย่างจัง ระเบิดแหลกครึกโครมในตอนนี้!
“นี่…”
ทุกคนเพียงรู้สึกถึงความหนาวยะเยือกบอกไม่ถูกที่ผุดขึ้นจากก้นบึ้งของจิตใจ พุ่งขึ้นมาตามกระดูกสันหลังไปถึงกลางศีรษะ เย็นวาบไปทั้งตัว อึ้งงันอยู่ตรงนั้นโดยสมบูรณ์
กระบวนเฉือนเดียว!
ขุนพลวิญญาณเพลิงสี่สิบเก้าคนถูกปลิดชีพจนหมด!
เรื่องนี้ ใครจะไปกล้าเชื่อกัน
ก่อนหน้านี้พวกเขายังไม่เห็นด้วยกับถ้อยคำของเจ้าคางคก มองว่าหากหลินสวินคิดจะผ่านด่านได้ภายในสี่สิบเก้าลมหายใจ แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
แต่ตอนนี้ผลลัพธ์ออกมาแล้ว
ไม่ต้องนานขนาดนี้เลย เพียงกระบวนเฉือนเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะแล้ว!
เพียงแต่ผลลัพธ์นี้เหนือความคาดหมายของผู้อื่นเกินไป ถึงกับสร้างความตกใจอย่างมากผิดธรรมดา แม้แต่เจ้าคางคกยังดวงตาเบิกโพลงแล้ว ยัง… ทำเช่นนี้ได้ด้วยหรือ
เมื่อพวกเขามองดูหลินสวินอีกครั้งหนึ่ง ต่างมีท่าทางเหมือนเห็นผีกลางวันแสกๆ
ส่วนเวลานี้ในใจหลินสวินก็ปั่นป่วนไม่หยุดหย่อน ไม่อาจสงบลงได้ ความแข็งแกร่งของอานุภาพกระบวนเฉือนก่อนหน้านี้ ก็อยู่เหนือความคาดหมายของเขาไปโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
นี่ก็คืออานุภาพของมรดกอักษร ‘ยอด’!
ถูกหลินสวินสำแดงพลังทั้งหมดของระเบียบมรรคธาตุน้ำซึ่งเสริมด้วยการโคจรวิชาอริยะยุทธ์และโทสะหยาจื้อ ความแข็งแกร่งของพลังพิฆาตที่สร้างขึ้นสามารถใช้คำว่าสะท้านฟ้าดิน พาให้เทพผีหลั่งน้ำตามาบรรยายได้!
——