ปึง!
ทวนศึกและหมัดปะทะกัน ส่งเสียงกัมปนาทราวฟ้าคำราม แสงศักดิ์สิทธิ์พุ่งสาดจตุรทิศ
หลินสวินเปี่ยมอานุภาพไม่เสื่อมถอย ใช้ประทับปี้อั้นฆ่าฟันอย่างดุเดือด
เงาร่างชายวัยกลางคนตะโกนก้อง ทวนศึกร่ายรำกลางอากาศสะท้านฟ้ามลายดิน ไอสังหารคลุ้มคลั่งแหวกทลายชั้นบรรยากาศ
นี่คือการประลองมรรคา หลินสวินและคู่ต่อสู้ต่างกำลังแสดงมรรคและกฎเกณฑ์ของตน
แต่เพียงครู่เดียวเงาร่างชายวัยกลางคนก็ถูกกำราบ ไม่ทันไรก็ยอมแพ้ เก็บทวนศึกประสานมือกล่าว “ในการประลองมรรคาข้าสู้เจ้าไม่ได้อยู่มาก”
หลินสวินประสานมือเช่นกัน “ออมมือแล้ว”
ซ่า…
เงาร่างชายวัยกลางคนหายไป
ในใจหลินสวินกลับตระหนักได้อีกอย่าง แม้คู่ต่อสู้จะแพ้ แต่กลับทำให้เขารู้ว่าอะไรคือ ‘พลังต้านสวรรค์’!
นี่คือการแสดงพลังยุทธ์ถึงขีดสุด ทำให้เขาเองได้รับประโยชน์ไม่น้อย
“ข้าขอประลองกับเจ้าหน่อย”
ไผ่ม่วงพลิ้วไหว เงามายาร่างเล็กอรชรโฉบออกมากล่าว “ที่ข้าฝึกคือวิชามายา ที่แสวงหาคือมรรคแห่งมายา ช่วยชี้แนะด้วย”
หลินสวินผงะในใจวูบหนึ่ง “เชิญ”
การต่อสู้ปะทุขึ้น
ละอองแสงงามตระการแถบหนึ่งพุ่งออกมาชั่วพริบตา ทำให้เบื้องหน้าหลินสวินเปลี่ยนไปทันที ปรากฏตัวอยู่ในคุกใต้เหมืองเมื่อครั้งเยาว์วัย
ในห้องมืดสลัวท่านลู่กำลังสลักรอยสลักวิญญาณ เงยหน้ามองเขาแล้วอดตวาดไม่ได้ “มัวตะลึงทำอะไร!”
หลินสวินก้าวเข้าไปอยู่ตรงมุมเงียบๆ
ที่นี่มีโต๊ะไม้เก่าแก่ตัวหนึ่ง ม้านั่งเตี้ยตัวหนึ่ง บนโต๊ะไม้มีหนังสัตว์วางอยู่ ยังมีด้ามสลักวิญญาณปลายเรียบด้ามหนึ่ง
ตั้งแต่จำความได้ที่นี่ก็คือสถานที่ที่เขาเรียนรู้รอยสลักวิญญาณ เติบโตมาพร้อมกับวัยเยาว์ของเขา
หลินสวินนั่งบนม้านั่งตัวเล็ก เหลือบตามองหลังของท่านลู่อย่างมึนงงอยู่บ้าง
“ยังจะกล้าอู้อีก!?”
ท่านลู่พลันผุดลุกขึ้น ผมเผ้าหนวดเคราพลิ้วไหวตวาดด่าหลินสวิน
นิสัยเขายังหงุดหงิดง่ายเสมอ
‘ท่านลู่ หากท่านยังอยู่จะดีแค่ไหนกันนะ’
หลินสวินถอนใจแผ่วเบา ลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง
เสียงก่นด่าของท่านลู่ไล่หลัง กำลังด่าว่าเขาเกียจคร้านไม่เชื่อฟัง แม้วาจาจะหยาบคาย แต่ทุกประโยคกลับเต็มไปด้วยความห่วงใย
ตอนเด็กหลินสวินยังเคยโกรธเขาด้วยเรื่องนี้
แต่หลังเติบใหญ่จึงรู้ว่าด้วยการอบรมที่เข้มงวดของท่านลู่ ถึงทำให้เขาประสบความสำเร็จบนเส้นทางสลักวิญญาณอย่างทุกวันนี้ได้
น่าเสียดาย หลินสวินรู้ว่าทุกอย่างนี้เป็นเขตแดนมายาทั้งสิ้น!
เมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับความเวิ้งว้างไร้ขอบเขต!
ตูม!
เมื่อพลังขับเคลื่อนของหลินสวินส่งเสียงกัมปนาท ภาพต่างๆ ตรงหน้าก็สลายหายไปราวทำจากกระดาษ
เพียงแต่เมื่อหลินสวินเงยหน้ามองโดยรอบก็พบว่าตนอยู่ในหมู่บ้านเฟยอวิ๋นแล้ว ได้เจอกับหัวหน้าหมู่บ้านและชาวบ้านพวกนั้น
เขตแดนมายาในเขตแดนมายารึ
นัยน์ตาดำของหลินสวินฉายแววชื่นชมเสี้ยวหนึ่ง แต่ทุกอย่างนี้ยังไม่คณามือเขา!
ความตั้งมั่นแห่งสภาวะจิตของเขาดุจดาบกระบี่ สามารถฟาดฟันตะวันจันทราภูตผีเทวดา!
แต่เหนือความคาดหมายหลินสวิน ในช่วงเวลาต่อมาเขาทยอยปรากฏตัวที่นครต้องห้ามแห่งจักรวรรดิ ตระกูลหลิน สำนักศึกษามฤคมรกตอย่างต่อเนื่อง…
กระทั่งต่อมายังปรากฏตัวในสถานที่ที่เพิ่งผ่านมามากมาย
มีเหตุการณ์ต่างๆ หลังเขาออกมาจากป่าไผ่ม่วง และมี…
ทุกเขตแดนมายาล้วนเสมือนจริง เช่นเดียวกัน หลังจากทุกเขตแดนมายาถูกทำลายก็จะปรากฏตัวที่เขตแดนมายาใหม่
ราวกับว่าไม่อาจกลับไปยังโลกแห่งความเป็นจริงอีก
หากเปลี่ยนเป็นผู้ฝึกปราณคนอื่นเกรงว่าคงหลงทางจมดิ่งอยู่ในนี้แล้ว!
เพราะเขตแดนมายานี้ราวกับโลกแห่งความจริง ทุกอย่างที่เจอในนี้ล้วนเสมือนจริง
เพียงแค่สภาวะจิตประมาทไปเสี้ยวหนึ่งก็จะหลงทาง แยกไม่ออกว่าทุกอย่างตรงหน้าเป็นความฝันหรือความจริงกันแน่
‘ทลาย!’
ในใจหลินสวินก้องเสียงตวาดหนึ่ง
ตูม!
ลักษณ์มายาทั้งหมดหายไปราวเครื่องแก้วที่แตกละเอียด
พร้อมกันนี้เงามายาร่างเล็กอรชรนั้นก็ประสานมือกล่าว “สหายยุทธ์จิตดั่งดวงตะวัน สามารถส่องฟ้าดินสว่างไสว ข้าเทียบไม่ได้”
หลินสวินเองก็ประสานมือ “ออมมือแล้ว”
ฟุ่บ!
ไผ่ม่วงพลิ้วไหว ชายร่างผอมบางคนหนึ่งพุ่งออกมา “ข้ามีหนึ่งกระบี่ สามารถฟาดฟันภูตผีปีศาจทั้งมวลบนโลก หมายประลองกับท่าน”
“เชิญ!”
การต่อสู้ปะทุขึ้นอีกครั้ง
เวลาต่อมาหลินสวินทะลวงด่านอย่างราบรื่นไร้เทียมทาน
คู่ต่อสู้ของเขาบ้างเป็นผู้กล้าที่พลังต่อสู้เหนือพิภพ บ้างเป็นผู้ฝึกปราณวิญญาณที่เชี่ยวชาญมายา บ้างเป็นผู้หลอมกายที่ร่างเหมือนมังกร…
ไม่มีใครที่ไม่ใช่ยอดฝีมือ ไม่มีใครไม่ใช่ผู้กล้าโดดเด่นซึ่งครองยุคสมัยหนึ่ง!
มรรคาและวิชามรรคของพวกเขาพิสดารต่างกันไป ล้วนโดดเด่นไม่เหมือนใคร ทำให้หลินสวินได้รับประโยชน์ไม่น้อย หยั่งรู้เพิ่มขึ้นมาก
จนอยู่ในการต่อสู้เช่นนี้ ทำให้เขาหลงลืมสิ้นทุกอย่าง!
และเมื่อหยั่งรู้มากขึ้นเรื่อยๆ ความเข้าใจที่มีต่อวิถียุทธ์ ความคิดความอ่านที่มีต่อวิชามรรคของเขาก็เกิดการเปลี่ยนแปลง
ดังคำกล่าวที่ว่า ในสามคนที่เดินมา ต้องมีสักคนเป็นครูของเรา!
บางทีอีกฝ่ายอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน แต่ข้อได้เปรียบในด้านใดด้านหนึ่งกลับสามารถทำให้ตนได้ศึกษาและเรียนรู้
…
เวลาล่วงเลย
หลินสวินยังคงต่อสู้ถกมรรคในรูปแบบต่างๆ ต่อ
คู่ต่อสู้ของเขาแต่ละคนเป็นผู้แข็งแกร่งที่เคยโดดเด่นในช่วงเวลาที่ผ่านมา เป็นผู้มีความเชี่ยวชาญลึกซึ้งในด้านใดด้านหนึ่ง
และเขาก็ได้ใช้มรรคและกฎเกณฑ์แห่งตนต้านทำลายในคราเดียว
การประลองรอบที่หนึ่งร้อย
การประลองรอบที่สองร้อย
การประลองรอบที่สามร้อย
…
ตั้งแต่ต้นจนจบหลินสวินไม่รู้สึกอ่อนเพลียสักนิด
แทนที่จะพูดว่าเป็นการต่อสู้ ไม่สู้พูดว่าเป็นการศึกษาแลกเปลี่ยนความรู้กับคนรุ่นเดียวกันมากมายในสมัยโบราณดีกว่า
วิชาอัศจรรย์และมรรคานานัปการเบ่งบานราวดอกไม้ไฟที่เจิดจรัส ทำให้หลินสวินรู้สึกตกตะลึง จากนั้นก็จดจำและซึมซับเงียบๆ เปลี่ยนเป็นการสัมผัสรู้อย่างหนึ่งของตน
หน้ากระท่อม หญิงสาวดื่มชาจอกที่สี่ด้วยท่าทางผ่อนคลาย นางมองเห็นทุกการประลองในสายตา
…
การประลองรอบที่หนึ่งพันเก้าร้อย
ตูม!
หลังเอาชนะคู่ต่อสู้ ทั่วร่างหลินสวินแผ่ลักษณะพลังน่าอัศจรรย์ออกมาทันที
เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ถูกทำความเข้าใจอย่างปรุโปร่งโดยสมบูรณ์!
ตั้งแต่นั้นทุกหมัดที่เขาปล่อยล้วนมีอานุภาพสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ไม่ต้องยึดติดกระบวนท่า ดุจอาชาสวรรค์จรผ่านอากาศ
วิชานี้ถูกหลินสวินอนุมานถึงขั้นสัมบูรณ์แล้ว!
ว่ากันตามจริง เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ที่หลินสวินใช้ตอนนี้ต่างจากเดิมโดยสิ้นเชิง
ด้วยในวิชาหมัดนี้หลอมรวมความเข้าใจนานัปการบนวิถียุทธ์ของหลินสวินไว้ด้วยกัน กลายเป็นวิชายุทธ์เฉพาะตัวของเขาแล้ว!
ทีแรกเป็น ‘รับเจตจำนงแล้วลืมรูปลักษณ์’
แต่ตอนนี้กลับเป็น ‘รับนัยแท้จริง เปลี่ยนเป็นเจตจำนงแห่งตน’ !
นี่ก็เหมือนการแปลง ‘วิชา’ เป็น ‘ไร้วิชา’ สุดท้ายจึงเปลี่ยนเป็น ‘อัตวิชา’
อัตวิชา คือนภาแห่งตน!
ต่อให้คนอื่นสังเกตเห็นความเร้นลับภายใน ก็ยากจะเรียนรู้มันแม้เพียงผิวเผิน
‘เยี่ยม!’ หน้ากระท่อม หญิงสาวชมในใจ
นางมองออกว่าความเข้าใจที่หลินสวินมีต่อวิถียุทธ์ได้เลื่อนสู่ขั้นใหม่แล้ว เริ่มไล่ตามหนทางแห่ง ‘อัตวิชา’
…
การประลองรอบที่สองพันสามร้อย
มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปรทะลวงขั้น ถูกเข้าใจปรุโปร่งอย่างสมบูรณ์
วิชานี้เสริมส่งกับมหามรรคเจินหลง ปัจจุบันเมื่อหลินสวินสำแดงออกมา อักษรเคราะห์แต่ละตัวล้วนมีเจตจำนงแห่งเจินหลง!
ไม่ว่าจะเป็นชือน้ำแข็ง ปี้อั้น ป้าเซี่ย เฉาเฟิง ซวนหนี หรือฉิวหนิว ผูเหลา หยาจื้อ ฟู่ซี่ ต่างก็เริ่ม ‘แปลงมังกร’!
ลูกมังกรเก้าตัว แต่ละตัวต่างกันไป
แต่ตอนนี้ลูกมังกรทั้งเก้ากลับเริ่มย้อนกรรมพันธุ์ เหยียบย่างสู่ขั้นแปลงมังกร!
‘ยอดวิชาของเผ่าเจินหลงถูกเขายึดกุมนัยเร้นลับสำคัญแล้ว…’ หญิงสาวลอบเอ่ยชม
…
การประลองรอบที่สองพันเจ็ดร้อย
นัยเร้นลับกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ทะลวงขั้นต้นสำเร็จ!
แต่ก่อนแค่ยึดกุมแก่นจริงแท้ของกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้เสี้ยวหนึ่งก็พาให้หลินสวินทำอะไรล้วนราบรื่น ถูกเขาใช้เป็นไพ่ตาย
แต่ตอนนี้กระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ทะลวงระดับอีกครั้ง ความแข็งแกร่งของอานุภาพมัน มีเพียง ‘วสันต์สารทชั่วพริบตา’ ที่โคจรด้วยมรดกอักษร ‘ยอด’ เท่านั้นที่เทียบได้!
หรือพูดได้ว่าหากใช้มรดกอักษรยอดควบคุมกระบวนเฉือนไม่เที่ยงแท้ อานุภาพของมันจะเหนือกว่ากระบวนท่าแรกของดรรชนีมหาอุดมสลายมายาที่โคจรด้วยมรดกอักษรยอดเหมือนกันอยู่โข!
‘กฎกรรมบนตัวเขามีไม่น้อยจริงๆ…’
หญิงสาวใคร่ครวญ นางมองออกว่ามรดกวิชาหกกระบวนเฉือนวัฏจักรฟ้าและ ‘ประตูสวรรค์’ มีความสัมพันธ์ใหญ่หลวง
ตัวดาบหักเองก็คือกฎกรรมหนึ่งเช่นกัน!
นี่ต่างหากจุดที่ทำให้หญิงสาวสนใจ
…
การประลองรอบที่สองพันเก้าร้อย
อานุภาพของ ‘วสันต์สารทชั่วพริบตา’ ทะลวงระดับขึ้นอีก จากระดับแรกก้าวสำรวจมาถึงขั้นต้นสำเร็จ!
หนึ่งดรรชนีดุจครองพลานุภาพแห่งฤดูกาลหมื่นสมัย ย้อนทวนฟ้าดิน!
เวลานี้หญิงสาวดื่มชาจอกที่เก้า
นางเขย่ากาน้ำชาไผ่ม่วงเล็กน้อย ในใจคิดคำนวณเงียบๆ เหลือเวลาก่อนจากไปไม่มากแล้ว…
การประลองรอบที่สามพัน
เมื่อชนะคู่ต่อสู้ หลินสวินยืนอยู่ตรงนั้น ใจผ่อนคลายจากสภาวะต่อสู้ถึงขีดสุด ตกอยู่ในความเคลิบเคลิ้มมึนงง
การหยั่งรู้และใจความนานัปการราวคลื่นน้ำซัดสาดกระหน่ำใจ
ตูม!
ขณะนี้พลังปราณของเขาพัฒนาสู่ระดับราชันขั้นปลายแล้ว ลักษณะพลังที่แผ่ออกมาทั่วร่างแข็งแกร่งขึ้นหลายเท่าตัวทันที
‘นี่หรือขอบเขตมกุฎระดับราชัน…’ หญิงสาวทอดถอนใจ ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันมีบุคคลเทียมฟ้าสะท้านดินเท่าไรตรอมตรมด้วยเสียดายขอบเขตนี้
เมื่อหลินสวินได้สติ ทั้งตัวก็ส่องประกาย มีบุคลิกสง่างามดุจห้วงมายา ราวกระบี่เล่มหนึ่งที่เพิ่งผ่านพันค้อนร้อยหลอมจากเตาเพลิง นิ่งสงบดุจชะล้างสิ้นสิ่งสำอาง
พร้อมกันนี้กาน้ำชาไผ่ม่วงในมือหญิงสาวก็ว่างเปล่า
นางลุกขึ้นมองหลินสวินกล่าว “ข้าฝึกปราณมาสามพันปี ก่อนข้าจากไป ข้าโลดแล่นสันโดษในใต้หล้า สังหารศัตรูนับไม่ถ้วน ในหมู่คนรุ่นเดียวกันไม่มีใครเทียบได้ ตลอดชีวิตเรียนรู้วิชาเรือนพันวิธีเรือนหมื่น แต่ต่อมาข้าเหลือเพียงวิชากระบี่เดียวนามว่า ‘ไปไร้หวน’”
น้ำเสียงราบเรียบแต่กลับมีท่วงท่าไร้เทียมทาน!
โดยเฉพาะประโยคสุดท้ายทำให้หลินสวินไหวหวั่น เหลือเพียงวิชากระบี่เดียว ไปไร้หวน?
“ขอสหายยุทธ์ชี้แนะ!”
หลินสวินสูดหายใจลึก ประสานมือกล่าว
หญิงสาวพยักหน้า กลิ่นอายของนางพลันเปลี่ยนเป็นดุดันชั่วพริบตา ราวกระบี่ที่ต่อให้ซ่อนคมมาหมื่นสมัยก็ไม่เคยถูกกร่อนคมดาบ!
ฝ่ามือขาวกระจ่างเรียวยาวเหยียดออก รวบนิ้วดุจกระบี่กรีดผ่านห้วงอากาศ
เรียบง่ายสบายๆ ความเรียบง่ายสบายอารมณ์เช่นนั้นไม่เจือร่องรอยใดๆ ทั้งสิ้น
แต่หลินสวินกลับแข็งทื่อไปทั้งร่าง จากนั้นหน้าผากก็เหงื่อแตกพลั่ก เสื้อผ้าถูกหยาดเหงื่อซึมจนชุ่ม กระทั่งต่อมาใจเริ่มสะท้านไหว จิตวิญญาณเหมือนถูกแทงเจ็บ เกร็งไปทั้งตัวดั่งคันธนู!
ในครรลองสายตาเขามีปราณกระบี่สายหนึ่งเบียดเต็มฟ้าดิน เฉือนแหวกวัฏจักร มีนัยที่ไม่อาจอธิบาย
คล้ายแฝงสิ่งอัศจรรย์ไร้สิ้นสุดอยู่ภายใน ทั้งให้ความรู้สึกเรียบง่ายกลับคืนสู่สามัญ
คมกระบี่ไร้เทียมทาน ไม่มีสิ่งใดกีดขวาง
อานุภาพไร้เสมอเหมือน พาให้เทพผีถอยร่น!
ปราณกระบี่เช่นนี้ไม่เคยพบเห็น ไม่เคยได้ยินมาก่อนจริงๆ แม้ไม่ได้ฟาดฟันออกมา ก็ยังทำเอาหลินสวินรู้สึกตัวเล็กจ้อยปิ่มจะหายใจไม่ออก จิตวิญญาณถูกทำให้หวั่นหวาดโดยสมบูรณ์
กระบี่นี้นามว่า ‘ไปไร้หวน’
…………………